สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
ตอบตามประสบการณ์ และ ความเป็นจริงของผมที่เป็นอยู่นะครับ ปัจจุบันผมก็ early retire แล้ว อายุ 40 ปลาย ๆ มีเงินมากกว่าที่คุณมีอยู่ เพราะทำงานเอกชน เงินเดือนสุดท้ายก่อนเลิกทำงานประมาณ 5 แสน และปัจจุบันได้ปันผลจากหุ้นกู้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ตอนก่อน retirement ผมก็คิดมากเหมือนคนทั่ว ๆ ไปแหละ เพราะเป็นมนุษย์เงินเดือนมาเกือบ 30 ปี ถูกสอนมาตามหลักสูตร ว่าเงินจะพอใช่มั๊ย เงินที่มีอยู่มันจะหดหายมั๊ยจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น ตลาดหุ้นพัง หรือ หุ้นกู้ default เงินที่มีอยู่มันจะสูญเสียมูลค่าจากเงินเฟ้อมั๊ย เลิกทำงาน ชีวิตจะยืนยาวจนเงินไม่พอใช้มั๊ย และอื่น อีก บลา ๆ ๆ ๆ ทำให้โคตรคิดมากเลย แต่อีกทางนึงของชีวิต คือ โคตรไม่อยากทำงานเลย คือชีวิตทำงานทำมานานมากแล้ว ต้องแหกตาตื่นทุกเช้าเหมือนโดนใครโปรแกรม เจอความเครียด ความกดดัน ปัญหาจากงาน สังคมเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันดีอะไร รวมถึงความคาดหวังจากคนจ่ายเงินเดือนเราที่สูงขึ้นตลอด
แต่สุดท้ายผมกลับมานั่งคิดว่า ชีวิตคนเราจริง ๆ แล้วเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ เกิดมาเพื่อต้องทำงานใช้ชีวิตตามแบบฉบับที่สังคมที่สอนมาคือ ทำงาน หาเงิน ใช้ จนกว่าจะอายุ 60 ถึงได้พัก หรือ คนเราเกิดมาควรใช้ชีวิตแบบสัตว์โลก คือ ใช้ชีวิตไปวันๆ ทุกวันให้มีความสุขแค่มีกินไม่อดตายก็พอ
สุดท้ายผมก็ เลือก retirement ครับ เพราะคิดได้ว่า สิ่งที่ สังคมสอนเรามา มันไม่ใช่วิธีของมนุษย์ที่ควรจะเป็นครับ มันคือ วิถีชีวิตที่ถูกนักเศรษฐศาสตร์ และนักการตลาด เขียนมาให้มนุษย์เป็นแบบนี้ แล้วฝังลงในหัวของคน สร้างให้คนเป็นทรัพยากรแรงงานในระบบเศรษฐกิจ และ ใช้การตลาดสร้างกิเลสในการใช้ชีวิต ลองมองดูสิครับว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ รึเปล่า
ตอนนี้ผมปรับโหมดการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด หลังจากเลิกทำงาน คือ ใช้ชีวิตให้ง่าย และ เลิกใช้ชีวิตแบบที่นักการตลาดเป่าหัวมา สรุปคือ ชีวิตโคตรมีความสุข แต่ละวันตื่นมา แค่หาของกิน วันละ 3 มื้อ คือกินจนท้องแตก ท้องมันก็ใส่อาหารได้แค่นี้แหละ วันนึงเฉพาะค่ากิน ยังไม่ถึง 5 ร้อยบาทเลย ก็กินไม่ไหวจะกินแล้ว ส่วนที่เหลือก็แค่ค่าน้ำ ค่าไฟเดือนละ ไม่กี่พันบาท ไปไหนมาไหน ผมก็ปั่นจักรยานเล่นสนุกดีไม่มีค่าน้ำมัน
สรุปคือ ทุกวันนี้ผมใช้เงิน เดือนละไม่ถึง 2 หมื่น ก็อยู่ได้แล้ว แล้วจากที่เคยอยากได้ของโน่น นี่ นั่น ทุกวันนี้ไม่เห็นอยากได้อะไร ไม่เหมือนสมัยทำงาน ซื้อเครื่องเสียงชุดละหลายแสนก็ซื้อได้ รถต้องหรูไว้โชว์คนอื่น ตอนนี้เงินที่ได้จากปันผลเดือนละเป็นแสน คือใช้ยังงัยก็ใช้ไม่หมดกับ รูปแบบชีวิตที่ผมใช้อยู่ จากที่เคยป่วยบ่อย ๆ ตอนทำงาน ผ่านมา 2 ปี ไม่มีไอสักแอะ เพราะได้ออกกำลังกาย ความเครียดเป็นศูนย์มันก็ส่งผลชีวิตที่เป็นบวก
ลองพิจารณาดูครับ แล้วตัดสินใจ ว่าคุณอยากใช้ชีวิตที่เป็นสุขในแบบฉบับของคุณ หรือ เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมให้ทำงานจน 60 แล้วสุดท้ายออกมาใช้ชีวิตที่เหลือ แบบคนชราไม่มีแรง และอีกไม่กี่สิบปีก็ลาโลก ทั้ง ๆ ที่ต้องเหนื่อยมาทั้งชีวิต
ส่วนเงินที่เหลือหลังจากผมลาโลก ผมไม่คิดอะไรมาก ส้งต่อเป็นมรดกคนรุ่นต่อไปก็เท่านั้นเอง เหลือเท่าไรก็เอาไปเท่านั้นแหละ
ตอนก่อน retirement ผมก็คิดมากเหมือนคนทั่ว ๆ ไปแหละ เพราะเป็นมนุษย์เงินเดือนมาเกือบ 30 ปี ถูกสอนมาตามหลักสูตร ว่าเงินจะพอใช่มั๊ย เงินที่มีอยู่มันจะหดหายมั๊ยจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น ตลาดหุ้นพัง หรือ หุ้นกู้ default เงินที่มีอยู่มันจะสูญเสียมูลค่าจากเงินเฟ้อมั๊ย เลิกทำงาน ชีวิตจะยืนยาวจนเงินไม่พอใช้มั๊ย และอื่น อีก บลา ๆ ๆ ๆ ทำให้โคตรคิดมากเลย แต่อีกทางนึงของชีวิต คือ โคตรไม่อยากทำงานเลย คือชีวิตทำงานทำมานานมากแล้ว ต้องแหกตาตื่นทุกเช้าเหมือนโดนใครโปรแกรม เจอความเครียด ความกดดัน ปัญหาจากงาน สังคมเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันดีอะไร รวมถึงความคาดหวังจากคนจ่ายเงินเดือนเราที่สูงขึ้นตลอด
แต่สุดท้ายผมกลับมานั่งคิดว่า ชีวิตคนเราจริง ๆ แล้วเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ เกิดมาเพื่อต้องทำงานใช้ชีวิตตามแบบฉบับที่สังคมที่สอนมาคือ ทำงาน หาเงิน ใช้ จนกว่าจะอายุ 60 ถึงได้พัก หรือ คนเราเกิดมาควรใช้ชีวิตแบบสัตว์โลก คือ ใช้ชีวิตไปวันๆ ทุกวันให้มีความสุขแค่มีกินไม่อดตายก็พอ
สุดท้ายผมก็ เลือก retirement ครับ เพราะคิดได้ว่า สิ่งที่ สังคมสอนเรามา มันไม่ใช่วิธีของมนุษย์ที่ควรจะเป็นครับ มันคือ วิถีชีวิตที่ถูกนักเศรษฐศาสตร์ และนักการตลาด เขียนมาให้มนุษย์เป็นแบบนี้ แล้วฝังลงในหัวของคน สร้างให้คนเป็นทรัพยากรแรงงานในระบบเศรษฐกิจ และ ใช้การตลาดสร้างกิเลสในการใช้ชีวิต ลองมองดูสิครับว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ รึเปล่า
ตอนนี้ผมปรับโหมดการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด หลังจากเลิกทำงาน คือ ใช้ชีวิตให้ง่าย และ เลิกใช้ชีวิตแบบที่นักการตลาดเป่าหัวมา สรุปคือ ชีวิตโคตรมีความสุข แต่ละวันตื่นมา แค่หาของกิน วันละ 3 มื้อ คือกินจนท้องแตก ท้องมันก็ใส่อาหารได้แค่นี้แหละ วันนึงเฉพาะค่ากิน ยังไม่ถึง 5 ร้อยบาทเลย ก็กินไม่ไหวจะกินแล้ว ส่วนที่เหลือก็แค่ค่าน้ำ ค่าไฟเดือนละ ไม่กี่พันบาท ไปไหนมาไหน ผมก็ปั่นจักรยานเล่นสนุกดีไม่มีค่าน้ำมัน
สรุปคือ ทุกวันนี้ผมใช้เงิน เดือนละไม่ถึง 2 หมื่น ก็อยู่ได้แล้ว แล้วจากที่เคยอยากได้ของโน่น นี่ นั่น ทุกวันนี้ไม่เห็นอยากได้อะไร ไม่เหมือนสมัยทำงาน ซื้อเครื่องเสียงชุดละหลายแสนก็ซื้อได้ รถต้องหรูไว้โชว์คนอื่น ตอนนี้เงินที่ได้จากปันผลเดือนละเป็นแสน คือใช้ยังงัยก็ใช้ไม่หมดกับ รูปแบบชีวิตที่ผมใช้อยู่ จากที่เคยป่วยบ่อย ๆ ตอนทำงาน ผ่านมา 2 ปี ไม่มีไอสักแอะ เพราะได้ออกกำลังกาย ความเครียดเป็นศูนย์มันก็ส่งผลชีวิตที่เป็นบวก
ลองพิจารณาดูครับ แล้วตัดสินใจ ว่าคุณอยากใช้ชีวิตที่เป็นสุขในแบบฉบับของคุณ หรือ เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมให้ทำงานจน 60 แล้วสุดท้ายออกมาใช้ชีวิตที่เหลือ แบบคนชราไม่มีแรง และอีกไม่กี่สิบปีก็ลาโลก ทั้ง ๆ ที่ต้องเหนื่อยมาทั้งชีวิต
ส่วนเงินที่เหลือหลังจากผมลาโลก ผมไม่คิดอะไรมาก ส้งต่อเป็นมรดกคนรุ่นต่อไปก็เท่านั้นเอง เหลือเท่าไรก็เอาไปเท่านั้นแหละ
ความคิดเห็นที่ 6
ชีวิตคนเรา เราก็อาศํยแค่ ปัจจัย 4 อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย (ขอบวกยานพาหนะและเครื่องมือสื่อสารเข้าไปด้วย) ยารักษาโรค
ที่เหลือคือ "ความฟุ้งเฟ้อ"
จะมีพอ ไม่พอ ในชีวิต มันก็ขึ้นกับ "ความฟุ้งเฟ้อ" นี่ แหล่ะ
ก็เลือกเอาว่าอยากมีชีวิต ที่มีสุขกับตัวเอง หรือมีชีวิตที่ต้องกังวลกับการ "อวดคนอื่นว่ามี"
ที่เหลือคือ "ความฟุ้งเฟ้อ"
จะมีพอ ไม่พอ ในชีวิต มันก็ขึ้นกับ "ความฟุ้งเฟ้อ" นี่ แหล่ะ
ก็เลือกเอาว่าอยากมีชีวิต ที่มีสุขกับตัวเอง หรือมีชีวิตที่ต้องกังวลกับการ "อวดคนอื่นว่ามี"
ความคิดเห็นที่ 7
คำว่าพอของแต่ละคน คงไม่เหมือนกันครับ ถ้าคุณออกมาแล้วมีเงินปีละ 600,000 บาทเท่ากับว่าใช้เดือนละ 50,000 บาท พอใช้ไหมล่ะครับ สบายๆไม่ต้องทำงาน ถ้าผมมีเท่านี้ ผมก็ออกครับอยู่บ้านสบายๆ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าเดือนละ 50,000 บาทไม่พอใช้หรอก หรือบางคนแค่เดือนละ 20,000 บาท เขาก็พอใช้สบายๆแล้ว
แสดงความคิดเห็น
เงินเก็บ 20 ล้านบาท เพียงพอต่อการดำรงชีวิตหรือไม่
ปัจจุบันอายุ 30 กลาง ๆ ทำงานเงินเดือนประมาณ 7x,xxx เงินเดือนไม่สูงมากเพราะเป็นงานกึ่งรัฐ เรียนตามตรงว่าเงินที่ได้มาเป็นเงินต่อเงิน (ได้รับมรดก) เงินตรงนี้ = 10 ล้านบาทโดยประมาณ
เราอยากลาออกจากงานประมาณนึง อีกซัก 3-5 ปี ปัจจุบันผ่านมาประมาณ 2-3 ปี เรามีเงินเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านบาท จากปันผลหุ้นและปันผลสหกรณ์ + เก็บเงินใส่เพิ่มเข้าไป บ้านไม่ต้องเช่า อยู่บ้านพ่อ โสด ไม่คิดมีลูก ไม่มีครอบครัว ไม่มีคนต้องส่งเสีย พี่น้องมีงานทำที่มั่นคงกว่าเราเสียอีก รถยนต์ใช้คันเก่าของที่บ้าน ซึ่งเราคิดว่าเราคงซื้อรถใหม่ทุก 10-15 ปี ตามสภาพการใช้งาน
ลองคำนวณแล้ว ถ้าทำงานต่อ จนเกษียณ 60 คงเก็บเงินได้สิริรวมราว 40 ล้านบาท แต่ถ้าออกตอน 43 - 45 ปี คงเก็บได้ 20 ล้านบาท ใจนึงก็เสียดายเงินถ้าลาออกมาก่อน อีกใจก็แอบคิด แล้วจะทำงานต่อไปทำไม งานเราหนักจริง ๆ แม้องค์กรเราจะชิล ๆ เป็นเพราะตัวเราเอง (หรือคนสั่งงานเราเองเห็นว่าทำได้ก็สั่ง ๆ) เคยกลับบ้านดึกสุด คือเช้าของอีกวัน
ประเด็นคือ เราทำงานได้ดีนะ ในสายตาคนอื่น (อันนี้คิดเอง 555) แต่เราไม่ได้อินกับงานที่ทำ เราแค่ทำเพราะเป็นหน้าที่ + ความรับผิดชอบ
ถ้าเราออกมา เราจะมีรายได้ประมาณปีละ 600,000 บาทอย่างต่ำ จากปันผลทั้งหลาย ซี่งก็รู้แหละว่าไม่ได้มาก และไม่แน่นอน เพราะบางปีปันผลสหกรณ์ลดลง ถ้าทำงานต่อไป ก็จะมีรายได้ 1 ล้าน - 1.5 ล้านบาทต่อปี บวกปันผล 6 แสน เลยเป็นที่มาว่าทำไมเราสามารถมีทรัพย์สินเพิ่ม 1 ล้านบาทต่อปีได้
ประกันสุขภาพมีแล้ว จ่ายรายปี ตอนนี้อายุไม่มากก็เลยไม่มีโรคประจำตัว แต่ติดว่าไม่ชอบออกกำลังกาย >> ทุกอย่างจะโทษไปที่งาน + ไม่มีเวลา งานเราเสาร์ - อา ก็ต้องมาทำ บางทีไม่ได้หยุดติด ๆ กันเป็นเดือน
เรากลัว 2 - 3 อย่าง 1.) แพ้เงินเฟ้อ 2.) หัวโขน 3.) รู้สึกด้อยค่าในชีวิตตัวเองจากการไม่ทำงาน
งานอดิเรกเราคือการอ่านหนังสือฟรีตามห้องสมุด ไม่ชอบซื้อ เพราะอ่านทีเดียว ซื้อแล้วเปลืองที่เก็บ เฉลี่ยเราอ่านหนังสือปีละ 50-80 เล่ม ไม่มากไม่น้อย
นอกจากนี้ เรายังชอบดูหนัง (Netflix / MUBI) หนังโรงปีละ 1-2 ครั้ง มีเขียนหนังสือบ้างเป็นบทความสั้น ๆ อะไรแบบนี้ ไม่เคยทำธุรกิจ และคิดว่าคงไม่เก่งจริง ๆ ไม่งั้นคงทำควบคู่กับการทำงานไปนานแล้ว (ข้ออ้างว่าไม่ว่างทำธุรกิจก็มา) เราลงทุนหุ้นเป็นตัว ๆ ไม่เน้นเสี่ยง มีหมด Intuch AOT BTS BDMS ใด ๆ ตามที่เค้าถือกัน เน้นถือยาว ความฝันประเภทเที่ยวรอบโลกไม่มี เพราะตอนเด็ก ๆ ไปมาหลายที่แล้ว เคยอยู่ตปท. ตอนช่วงวัยก่อนทำงานมารวม ๆ กันราว 5-6 ปี เราบริจาคเงินเยอะเมื่อเทียบกับเงินเดือน คือบริจาคปีละ 200,000 บาท ถ้าลาออกคงจะไม่มีตรงนี้อีก แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร เราคงช่วยสังคมในทางอื่น ๆ ได้
เขียนมานานเพื่อจะถามชาวพันทิป ว่าด้วยเหตุทั้งหมดทั้งมวล เงิน 20 ล้านบาท /// รายได้ 6 แสนต่อปี เป็นทุกคนจะยอมลาออกจากงานมาชิล ๆ กับชีวิตในวัย 40 กว่า ๆ ไหม