เงินเก็บ 20 ล้านบาท เพียงพอต่อการดำรงชีวิตหรือไม่

สวัสดีค่ะ ขอเกริ่นก่อนเลยว่าเรามีทรัพย์สินอยู่ราว 15 ล้านบาท ซึ่งแบ่งออกเป็นหุ้น / สหกรณ์ / กองทุนรวม

ปัจจุบันอายุ 30 กลาง ๆ ทำงานเงินเดือนประมาณ 7x,xxx เงินเดือนไม่สูงมากเพราะเป็นงานกึ่งรัฐ เรียนตามตรงว่าเงินที่ได้มาเป็นเงินต่อเงิน (ได้รับมรดก) เงินตรงนี้ = 10 ล้านบาทโดยประมาณ

เราอยากลาออกจากงานประมาณนึง อีกซัก 3-5 ปี ปัจจุบันผ่านมาประมาณ 2-3 ปี เรามีเงินเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านบาท จากปันผลหุ้นและปันผลสหกรณ์ + เก็บเงินใส่เพิ่มเข้าไป บ้านไม่ต้องเช่า อยู่บ้านพ่อ โสด ไม่คิดมีลูก ไม่มีครอบครัว ไม่มีคนต้องส่งเสีย พี่น้องมีงานทำที่มั่นคงกว่าเราเสียอีก รถยนต์ใช้คันเก่าของที่บ้าน ซึ่งเราคิดว่าเราคงซื้อรถใหม่ทุก 10-15 ปี ตามสภาพการใช้งาน

ลองคำนวณแล้ว ถ้าทำงานต่อ จนเกษียณ 60 คงเก็บเงินได้สิริรวมราว 40 ล้านบาท แต่ถ้าออกตอน 43 - 45 ปี คงเก็บได้ 20 ล้านบาท ใจนึงก็เสียดายเงินถ้าลาออกมาก่อน อีกใจก็แอบคิด แล้วจะทำงานต่อไปทำไม งานเราหนักจริง ๆ แม้องค์กรเราจะชิล ๆ เป็นเพราะตัวเราเอง (หรือคนสั่งงานเราเองเห็นว่าทำได้ก็สั่ง ๆ) เคยกลับบ้านดึกสุด คือเช้าของอีกวัน

ประเด็นคือ เราทำงานได้ดีนะ ในสายตาคนอื่น (อันนี้คิดเอง 555) แต่เราไม่ได้อินกับงานที่ทำ เราแค่ทำเพราะเป็นหน้าที่ + ความรับผิดชอบ

ถ้าเราออกมา เราจะมีรายได้ประมาณปีละ 600,000 บาทอย่างต่ำ จากปันผลทั้งหลาย ซี่งก็รู้แหละว่าไม่ได้มาก และไม่แน่นอน เพราะบางปีปันผลสหกรณ์ลดลง ถ้าทำงานต่อไป ก็จะมีรายได้ 1 ล้าน - 1.5 ล้านบาทต่อปี บวกปันผล 6 แสน เลยเป็นที่มาว่าทำไมเราสามารถมีทรัพย์สินเพิ่ม 1 ล้านบาทต่อปีได้

ประกันสุขภาพมีแล้ว จ่ายรายปี ตอนนี้อายุไม่มากก็เลยไม่มีโรคประจำตัว แต่ติดว่าไม่ชอบออกกำลังกาย >> ทุกอย่างจะโทษไปที่งาน + ไม่มีเวลา งานเราเสาร์ - อา ก็ต้องมาทำ บางทีไม่ได้หยุดติด ๆ กันเป็นเดือน

เรากลัว 2 - 3 อย่าง 1.) แพ้เงินเฟ้อ 2.) หัวโขน 3.) รู้สึกด้อยค่าในชีวิตตัวเองจากการไม่ทำงาน

งานอดิเรกเราคือการอ่านหนังสือฟรีตามห้องสมุด ไม่ชอบซื้อ เพราะอ่านทีเดียว ซื้อแล้วเปลืองที่เก็บ เฉลี่ยเราอ่านหนังสือปีละ 50-80 เล่ม ไม่มากไม่น้อย
นอกจากนี้ เรายังชอบดูหนัง (Netflix / MUBI) หนังโรงปีละ 1-2 ครั้ง มีเขียนหนังสือบ้างเป็นบทความสั้น ๆ อะไรแบบนี้ ไม่เคยทำธุรกิจ และคิดว่าคงไม่เก่งจริง ๆ ไม่งั้นคงทำควบคู่กับการทำงานไปนานแล้ว (ข้ออ้างว่าไม่ว่างทำธุรกิจก็มา) เราลงทุนหุ้นเป็นตัว ๆ ไม่เน้นเสี่ยง มีหมด Intuch AOT BTS BDMS ใด ๆ ตามที่เค้าถือกัน เน้นถือยาว ความฝันประเภทเที่ยวรอบโลกไม่มี เพราะตอนเด็ก ๆ ไปมาหลายที่แล้ว เคยอยู่ตปท. ตอนช่วงวัยก่อนทำงานมารวม ๆ กันราว 5-6 ปี เราบริจาคเงินเยอะเมื่อเทียบกับเงินเดือน คือบริจาคปีละ 200,000 บาท ถ้าลาออกคงจะไม่มีตรงนี้อีก แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร เราคงช่วยสังคมในทางอื่น ๆ ได้

เขียนมานานเพื่อจะถามชาวพันทิป ว่าด้วยเหตุทั้งหมดทั้งมวล เงิน 20 ล้านบาท /// รายได้ 6 แสนต่อปี เป็นทุกคนจะยอมลาออกจากงานมาชิล ๆ กับชีวิตในวัย 40 กว่า ๆ ไหม
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
ตอบตามประสบการณ์ และ ความเป็นจริงของผมที่เป็นอยู่นะครับ  ปัจจุบันผมก็ early retire แล้ว อายุ 40 ปลาย ๆ มีเงินมากกว่าที่คุณมีอยู่ เพราะทำงานเอกชน เงินเดือนสุดท้ายก่อนเลิกทำงานประมาณ 5 แสน  และปัจจุบันได้ปันผลจากหุ้นกู้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ตอนก่อน retirement ผมก็คิดมากเหมือนคนทั่ว ๆ ไปแหละ เพราะเป็นมนุษย์เงินเดือนมาเกือบ 30 ปี ถูกสอนมาตามหลักสูตร ว่าเงินจะพอใช่มั๊ย เงินที่มีอยู่มันจะหดหายมั๊ยจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น ตลาดหุ้นพัง หรือ หุ้นกู้ default  เงินที่มีอยู่มันจะสูญเสียมูลค่าจากเงินเฟ้อมั๊ย เลิกทำงาน ชีวิตจะยืนยาวจนเงินไม่พอใช้มั๊ย และอื่น อีก บลา ๆ  ๆ ๆ  ทำให้โคตรคิดมากเลย  แต่อีกทางนึงของชีวิต คือ โคตรไม่อยากทำงานเลย คือชีวิตทำงานทำมานานมากแล้ว ต้องแหกตาตื่นทุกเช้าเหมือนโดนใครโปรแกรม เจอความเครียด ความกดดัน ปัญหาจากงาน สังคมเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันดีอะไร รวมถึงความคาดหวังจากคนจ่ายเงินเดือนเราที่สูงขึ้นตลอด

แต่สุดท้ายผมกลับมานั่งคิดว่า ชีวิตคนเราจริง ๆ แล้วเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่  เกิดมาเพื่อต้องทำงานใช้ชีวิตตามแบบฉบับที่สังคมที่สอนมาคือ ทำงาน หาเงิน ใช้ จนกว่าจะอายุ 60 ถึงได้พัก หรือ คนเราเกิดมาควรใช้ชีวิตแบบสัตว์โลก คือ ใช้ชีวิตไปวันๆ ทุกวันให้มีความสุขแค่มีกินไม่อดตายก็พอ

สุดท้ายผมก็ เลือก retirement ครับ เพราะคิดได้ว่า สิ่งที่ สังคมสอนเรามา มันไม่ใช่วิธีของมนุษย์ที่ควรจะเป็นครับ มันคือ วิถีชีวิตที่ถูกนักเศรษฐศาสตร์ และนักการตลาด เขียนมาให้มนุษย์เป็นแบบนี้ แล้วฝังลงในหัวของคน สร้างให้คนเป็นทรัพยากรแรงงานในระบบเศรษฐกิจ และ ใช้การตลาดสร้างกิเลสในการใช้ชีวิต ลองมองดูสิครับว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ รึเปล่า  

ตอนนี้ผมปรับโหมดการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด หลังจากเลิกทำงาน คือ ใช้ชีวิตให้ง่าย และ เลิกใช้ชีวิตแบบที่นักการตลาดเป่าหัวมา  สรุปคือ ชีวิตโคตรมีความสุข   แต่ละวันตื่นมา แค่หาของกิน วันละ 3 มื้อ คือกินจนท้องแตก ท้องมันก็ใส่อาหารได้แค่นี้แหละ วันนึงเฉพาะค่ากิน ยังไม่ถึง 5 ร้อยบาทเลย ก็กินไม่ไหวจะกินแล้ว  ส่วนที่เหลือก็แค่ค่าน้ำ ค่าไฟเดือนละ ไม่กี่พันบาท  ไปไหนมาไหน ผมก็ปั่นจักรยานเล่นสนุกดีไม่มีค่าน้ำมัน

สรุปคือ ทุกวันนี้ผมใช้เงิน เดือนละไม่ถึง 2 หมื่น ก็อยู่ได้แล้ว แล้วจากที่เคยอยากได้ของโน่น นี่ นั่น ทุกวันนี้ไม่เห็นอยากได้อะไร ไม่เหมือนสมัยทำงาน ซื้อเครื่องเสียงชุดละหลายแสนก็ซื้อได้ รถต้องหรูไว้โชว์คนอื่น   ตอนนี้เงินที่ได้จากปันผลเดือนละเป็นแสน คือใช้ยังงัยก็ใช้ไม่หมดกับ รูปแบบชีวิตที่ผมใช้อยู่ จากที่เคยป่วยบ่อย ๆ ตอนทำงาน ผ่านมา 2 ปี ไม่มีไอสักแอะ เพราะได้ออกกำลังกาย ความเครียดเป็นศูนย์มันก็ส่งผลชีวิตที่เป็นบวก

ลองพิจารณาดูครับ แล้วตัดสินใจ ว่าคุณอยากใช้ชีวิตที่เป็นสุขในแบบฉบับของคุณ  หรือ เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมให้ทำงานจน 60  แล้วสุดท้ายออกมาใช้ชีวิตที่เหลือ แบบคนชราไม่มีแรง และอีกไม่กี่สิบปีก็ลาโลก ทั้ง ๆ ที่ต้องเหนื่อยมาทั้งชีวิต

ส่วนเงินที่เหลือหลังจากผมลาโลก ผมไม่คิดอะไรมาก ส้งต่อเป็นมรดกคนรุ่นต่อไปก็เท่านั้นเอง เหลือเท่าไรก็เอาไปเท่านั้นแหละ
ความคิดเห็นที่ 6
ชีวิตคนเรา เราก็อาศํยแค่ ปัจจัย 4 อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย  (ขอบวกยานพาหนะและเครื่องมือสื่อสารเข้าไปด้วย) ยารักษาโรค

ที่เหลือคือ "ความฟุ้งเฟ้อ"

จะมีพอ ไม่พอ ในชีวิต  มันก็ขึ้นกับ  "ความฟุ้งเฟ้อ" นี่ แหล่ะ

ก็เลือกเอาว่าอยากมีชีวิต ที่มีสุขกับตัวเอง หรือมีชีวิตที่ต้องกังวลกับการ "อวดคนอื่นว่ามี"
ความคิดเห็นที่ 7
คำว่าพอของแต่ละคน คงไม่เหมือนกันครับ ถ้าคุณออกมาแล้วมีเงินปีละ 600,000 บาทเท่ากับว่าใช้เดือนละ 50,000 บาท พอใช้ไหมล่ะครับ สบายๆไม่ต้องทำงาน ถ้าผมมีเท่านี้ ผมก็ออกครับอยู่บ้านสบายๆ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าเดือนละ 50,000 บาทไม่พอใช้หรอก หรือบางคนแค่เดือนละ 20,000 บาท เขาก็พอใช้สบายๆแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่