JJNY : แอมเนสตี้ เดินขบวนหน้ายูเอ็น│พิธา อัด รบ. ฝันใช้เอเปค│สลด! นักเรียนสุมหัวพี้กัญชา│วุ่นแก้ปัญหากดราคามันสำปะหลัง

แอมเนสตี้ เดินขบวนหน้ายูเอ็น จี้รัฐบาลไทยเจ้าภาพเอเปค ‘ยุติการนองเลือดในเมียนมา’ ยื่น 4 ข้อเรียกร้อง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3676489

 
 
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 10.00 น. ที่หน้าอาคารสำนักงานองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เดินขบวนเพื่อยื่นหนังสือเรื่อง ‘ยุติการนองเลือดในเมียนมา’ ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สำเนาถึง นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปก ประจำปี 2022 (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) ว่าควรมีบทบาทสำคัญในการร่วมหารือเพื่อยุติการนองเลือดในประเทศเมียนมาและแสดงพลังในการยืนหยัดเคียงข้างประชาชนชาวเมียนมา โดยมี นางนลินี มหาขันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน เป็นตัวแทนรับเอกสาร
 
นางสาวปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า เป็นเวลาเกือบสองปีหลังการทำรัฐประหาร ประชาชนกว่า 1.4 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐานในเมียนมา อีก 12,839 คนถูกควบคุมตัวในสภาพที่ไร้มนุษยธรรม และอย่างน้อย 73 คนตกเป็นนักโทษประหาร โดย 4 คนถูกประหารชีวิตไปแล้ว รวมถึงมีเด็ก 7.8 ล้านคนที่ต้องออกจากโรงเรียน กองทัพเมียนมาได้สังหารผู้ชุมนุมประท้วงและประชาชนทั่วไปหลายร้อยคน และอีกหลายพันคนเสียชีวิตจากการขัดแย้งกันด้วยอาวุธที่เกิดขึ้นทั่วประเทศภายหลังรัฐประหาร แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จึงนำ 2,129 รายชื่อของประชาชนในประเทศไทยที่ร่วมเรียกร้องผ่านแคมเปญออนไลน์บนเว็บไซต์ Change.org เพื่อแสดงเจตจำนง ‘ยุติการนองเลือดในเมียนมา’

“กองทัพเมียนมาเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องให้เคารพสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังเพิกเฉยต่อ ฉันทามติ 5 ข้อ ของอาเซียน ซึ่งเมื่อเดือนเมษายน 2564 ทางกองทัพเมียนมารับปากว่าจะดำเนินการตาม แต่ก็ล้มเหลวและไม่สามารถหยุดกองทัพกองทัพเมียนมาในการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มากขึ้นต่อประชาชนชาวเมียนมาได้
 
ทางการไทยในฐานะรัฐภาคีอาเซียนและในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปกต้องแสดงท่าทีอย่างเร่งด่วนต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเมียนมา ทั้งการการสนับสนุนให้เข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งการไม่บังคับส่งกลับผู้ขอลี้ภัยและผู้ลี้ภัยที่หลบหนีมาจากความรุนแรง และต้องให้การประกันว่าภาคธุรกิจหรือรัฐวิสาหกิจของไทยจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพเมียนมา และหน่วยงานในเครือในฐานะผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน และต้องเรียกร้องให้กองทัพเมียนมารับฟังเสียงจากประชาชนชาวเมียนมาซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักด้วย” นางสาวปิยนุชกล่าว
 
สำหรับข้อเรียกร้องของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ต่อรัฐบาลไทย มีดังต่อไปนี้
1. รัฐบาลไทยต้องใช้วิธีการทุกอย่างที่เป็นไปได้ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระหว่างชายแดน
2. ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน กลุ่มพหุภาคี และองค์การระหว่างประเทศเช่นหน่วยงานในสหประชาชาติเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและด้านมนุษยธรรมในเมียนมา 
3. รับผู้ขอลี้ภัยและประกันการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในประเทศไทย รวมทั้ง ละเว้นจากการเนรเทศหรือการส่งกลับของผู้ขอลี้ภัยชาวเมียนมา และให้ความคุ้มครองแก่ผู้ขอลี้ภัยและหยุดการดำเนินคดีกับพวกเขาระหว่างพำนักในประเทศไทย
4. หน่วยงานของรัฐต้องออกประกาศ ระเบียบ หรือกฎกระทรวงอย่างเป็นทางการแก่ผู้ประกอบการธุรกิจและรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามหลักการของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบของบริษัทอย่างเต็มที่ที่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ กองทัพเมียนมาและหน่วยงานในเครือในฐานะผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน
 

 
พิธา อัด รบ. ฝันใช้เอเปค สร้าง ศก.สีเขียว แค่ PM2.5 ฝุ่นข้ามชาติ ยังไร้ภาวะผู้นำจะแก้ไข
https://www.matichon.co.th/politics/news_3675913

พิธา อัด รบ. ฝันใช้เอเปค สร้าง ศก.สีเขียว แค่ PM2.5 ฝุ่นข้ามชาติ ยังไร้ภาวะผู้นำจะแก้ไข
 
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง
 [ จาก ASEAN ถึง APEC ถึง BCG Economy โอกาสที่สูญเปล่าในการแก้ปัญหา “ฝุ่นข้ามชาติ” ให้กับคนไทย ] โดยมีรายละเอียดดังนี้ 
  
สัปดาห์ที่ผ่านมารวมถึงสัปดาห์นี้มีเวทีใหญ่ระหว่างประเทศถึง 2 เวที จาก ASEAN ถึง APEC แต่น่าเสียดายที่ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่สามารถใช้เป็นโอกาสในการแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนไทย นั่นคือปัญหา PM 2.5 ที่คนไทยต้องเจออยู่ทุกปี และปัญหากำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
 
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กรมการแพทย์เปิดเผยว่าในแต่ละปีคนไทยเสียชีวิตด้วยมะเร็งปอดเป็นอันดับ 2 หลายท่านคงโทษบุหรี่ แต่ข้อมูลที่ออกมาตรงกันข้ามครับ เพราะข้อมูลของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขออกมาตรงกันข้ามว่าภาคเหนือที่มีประชาชนสูบบุหรี่น้อยที่สุด กลับมีอัตราการตายจากมะเร็งปอดสูงที่สุด

นอกจากนี้ เรายังเห็นความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากมะเร็งปอดสูงกับปัญหามลพิษ ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ หรือกรุงเทพมหานคร ข้อมูลจาก Rocket Media Lab บอกเราว่าในแต่ละปี คนที่อาศัยในกรุงเทพฯได้รับมลพิษจาก PM2.5 เท่ากับการสูบบุหรี่ปีละ 1,261 มวน
เราต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมาว่าปัญหามลพิษ PM2.5 เป็นปัญหา “ฝุ่นข้ามชาติ” ที่ไทยไม่สามารถแก้ปัญหาประเทศเดียวได้ ตัวอย่างความสำเร็จที่เกิดขึ้นในต่างประเทศล้วนมาจากความร่วมมือ ซึ่งเราเรียนรู้ได้จาก เราดูได้จาก Convention on Long-Range Transboundary Air-Pollution (LRTAP) ของยุโรป สหรัฐ และแคนาดา ที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1979 มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ลดมลภาวะได้ 30-80% และเพิ่มอายุขัยของชาวยุโรปถึง 1 ปี และที่ LRTAP ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะมีกลไกในการรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศตลอดจนมีกลไกในการจำกัดมลภาวะแต่ละประเภทที่ประเทศสมาชิกสามารถปล่อยได้
 
ถึงแม้ว่าอาเซียนจะมี “ข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษและหมอกควันข้ามแดน” ปี 2002 มี “แผนปฏิบัติการเชียงราย” ปี 2017 ในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์อาเซียนปลอดหมอกควันในปี 2020 แต่ก็ปัญหากลับเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีจุดความร้อนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นจาก 79,000 จุดในปี 2017 เป็น 130,000 จุดในปี 2020 จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และ Green Peace Thailand
 
นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ส่วนใหญ่ยังเน้นการแก้ปัญหาระหว่าง อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และภาคใต้ของประเทศไทย มากกว่าการแก้บนภาคพื้นทวีป อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง นี่คือสาเหตุที่ทำให้คนภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคกลางตอนบนต้องทนกับปัญหาหมอกควัน และโรคมะเร็งปอด
  
ถ้าประเทศไทยยังต้องการแสดงภาวะผู้นำในภูมิภาคอาเซียน ผมคิดว่าเราต้องมีความกระตือรือร้นมากกว่านี้ในการแก้ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน เพื่อให้คนไทยและคนประเทศอื่นในอาเซียนสามารถเข้าถึงอากาศสะอาดซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานให้ได้ และลดอัตราการตายจากมลพิษของคนไทยและประชาชนอาเซียนให้ได้
 
เนื่องในโอกาสที่สัปดาห์นี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเอเปคที่เราจะเสนอ “ร่างเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว” (BCG Economy) ซึ่งเป็นนโยบายสวยหรูให้ผู้นำเอเปคลงนาม ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันหนึ่งประเทศไทยจะสามารถแสดงบทบาทผู้นำเพื่อแก้ปัญหาหมอกควันในอาเซียนลุ่มน้ำโขงได้จริงๆ เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจและสังคมสีเขียวจริงๆ ไม่ใช่แค่นโยบายที่สวยหรูอีกต่อไป
 
ถ้ารัฐบาลไม่สามารถผลักดันการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้เป็นรูปธรรมได้ “ร่างเป้าหมายกรุงเทพฯ” จากเวทีเอเปคในครั้งนี้ ก็คงจะเป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อให้รัฐบาลใช้ตัดริบบิ้น จัดอีเวนต์ ชนแก้วไวน์กับผู้นำโลก เป็นคำสวยหรูผักชีโรยหน้าที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์อะไรกับชีวิตประชาชนจริงๆ 


สลด!นักเรียนสุมหัวพี้กัญชา พบ8-10ขวบเอาด้วย
https://www.dailynews.co.th/news/1687941/
 
เพจดัง เผยภาพสุดสลดนักเรียนมั่วสุมสูบกัญชา พบนักเรียน 8 ขวบเอาด้วย ครูเผยจับได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ลั่นหมดกำลังใจที่จะเป็นครู
 
เมื่อวันที่ 16 พ.ย.เพจ หมอแล็บแพนด้า ได้โพสต์ภาพ ของเด็กนักเรียน ที่กำลังสูบกัญชาพร้อมข้อความระบุว่า เด็กนักเรียนมั่วสุมกันทั้งก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ท่ารถสังขละบุรี ติดกับร้านชานม ไปดูกันได้ครับ เห็นจนเจนตา

นอกจากนี้ยังมีข้อความที่ครูส่งมาให้ดู เป็นอุปกรณ์เสพกัญชา ของนักเรียนวัย 8 ขวบ โดยระบุว่า 
 
8 ขวบก็เริ่มแล้ว ซึ่งหลังจากที่ได้มีการโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป ได้มีชาวโลกออนไลน์เข้ามาแสดงความเป็นห่วงถึงเยาวชนอนาคตชาติเป็นจำนวนมาก
 
ขอบคุณภาพจากเพจ หมอแล็บ แพนด้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่