JJNY : ‘อนุสรณ์’ ชี้บทเรียนวิกฤตพม่า│จ่อนัดถกปรับชำระขั้นต่ำบัตรเครดิต│กองทุนน้ำมันฯ บักโกรก│หลายปท.รำลึกฝ่ายค้านรัสเซีย

‘อนุสรณ์’ ชี้บทเรียนวิกฤตพม่า ตอกย้ำแก้ปัญหาด้วยรัฐประหาร ทำประเทศแตกเป็นเสี่ยง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8103038

 
อนุสรณ์ ชี้บทเรียนวิกฤตเมียนมา ตอกย้ำแก้ปัญหาด้วยรัฐประหาร ทำประเทศแตกเป็นเสี่ยง ผู้ลี้ภัยผลัดถิ่น 1 ล้าน ตายเจ็บพิการหลายหมื่น แนะรัฐบาลไทยเน้นนโยบายให้ความสำคัญต่อความเดือดร้อน ความทุกข์ยาก ประชาชนประเทศเพื่อนบ้าน
 
19 ก.พ. 67 – รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหาร สถาบันปรีดี พนมยงค์ และ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า วิกฤตการณ์สงครามกลางเมืองในเมียนมา หลังการรัฐประหารเมื่อ เดือน ก.พ. 2564 ส่งผลให้ประชาชนกลายเป็นผู้ลี้ภัยและผลัดถิ่นไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน บาดเจ็บ พิการ ล้มตาย หลายหมื่นคน
 
เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ระบบสถาบันการเงินล่มสลาย เงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ความยากลำบากทางเศรษฐกิจปกคลุมไปทั่ว การด้อยค่าและดิ่งลงของค่าเงินจ๊าด เกิดภาวะขาดแคลนสินค้าจำเป็นพื้นฐาน ความมั่นคงสั่นคลอนอย่างรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวการณ์แตกเป็นเสี่ยงๆ ของสหภาพเมียนมา
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ชนชั้นนำไทย พึงตระหนักถึงบทเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน และต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามวิถีทางประชาธิปไตย และสถาปนาความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมในสังคมไทย ไม่ส่งเสริมการกระทำต่าๆที่ไป เซาะกร่อนบ่อนทำลาย ภราดรภาพ สันติธรรมและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
 
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ความพยายามของ “เครือข่ายจารีตอนุรักษ์นิยมขวาจัดแบบอำนาจนิยม” ในการฟื้นคืนสู่อำนาจด้วยวิถีทางนอกระบบนิติรัฐนิติธรรม นอกวิถีทางประชาธิปไตย โดยใช้กลไกของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เปิดช่องเอาไว้เกิดขึ้นได้เสมอ หากเงื่อนไขทางการเมืองและสังคมสุกงอมพอ พวกเขาคงเลือกใช้ “นิติสงคราม” “ตุลาการภิวัฒน์” ก่อน
 
หากไม่สำเร็จคงจะใช้กำลังยึดอำนาจรัฐประหารเช่นที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอันลุ่มๆ ดอนๆ ของไทยในช่วง 92 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรัฐประหารสำเร็จโดยเฉลี่ยทุกๆ 7 ปี มีรัฐประหารมาแล้ว 13 ครั้ง ความพยายามในการก่อรัฐประหารอีกหลายครั้งที่ไม่สำเร็จ กลายเป็นกบฎ
 
ขอให้พวกเราช่วยกันรับมือความท้าทายของการสร้างเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่การรัฐประหารในอีก 1-2 ปีข้างหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น การรัฐประหารโดยตุลาการ หรือ การรัฐประหารโดยกองทัพ เพื่อ เซาะกร่อนบ่อนทำลาย อำนาจอธิปไตยของประชาชน
 
รศ. ดร.อนุสรณ์ ระบุว่า ล่าสุดกองทัพเมียนมา ภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหาร มิน อ่อง ล่าย ประสบความพ่ายแพ้ยับเยินในหลายพื้นที่ต่อกองกำลังต่อต้านการรัฐประหาร รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเมียนมา (NUG) และ กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ รัฐบาลเผด็จการทหารพม่า จึงได้บังคับเกณฑ์ทหารพลเรือนขึ้น
โดยประกาศบังคับเกณฑ์ทหารดังกล่าว จะครอบคลุมแรงงานหนุ่มสาวชาวเมียนมา ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยภายใต้ MOU ด้วย สภาวะดังกล่าวจะกระทบต่อภาคการผลิตบางกิจการของไทย และจะเกิดภาวะขาดแคลนแรงงานในไทยเป็นการชั่วคราวระยะหนึ่งเท่านั้น
 
เพราะจะเกิดภาวะแรงงานเมียนมาร์หลบเข้าเมืองผิดกฎหมายมาทำงานเพิ่มขึ้น คนหนุ่มสาวจะหนีการเกณฑ์ทหารเข้ามาเป็นผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพ หรือเข้ามาเป็นแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น

หากประเมินดูตลาดแรงงานของไทยพบว่า ประชากรในวัยทำงานของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องและในอัตราเร่งมาตั้งแต่ปี 2560 ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยปี 2566 มีผู้สูงวัย 20% วัยแรงงาน 63% และวัยเด็กเพียง 16% ประชากรในวัยทำงานปัจจุบันอยู่ที่ 42.4 ล้านคน และ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง
 
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ความสัมพันธ์ ไทย และ ประชาคมอาเซียน มีแนวทางหรือนโยบาย “ความพัวพันอย่างยืดหยุ่น” แต่ดูเหมือนการฑูตของไทยในยุค รัฐบาล คสช จะไม่ค่อยยึดแนวทางนี้มากนัก
 
จึงขอเรียกร้องให้ รัฐบาลชุดนี้ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายให้ความสำคัญต่อความเดือดร้อนและความทุกข์ยากของประชาชนประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยไทยสามารถแสดงบทบาทต่อสันติธรรมประชาธิปไตยในเมียนมาและอาเซียนได้ ไทยต้องแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานและความก้าวหน้าบางอย่างที่สามารถยึดถือเป็นแบบอย่างได้ ดังต่อไปนี้

1. ต้องมีการแก้ไขกติกาสูงสุดรัฐธรรมนูญของไทยให้ยึดถือหลักการประชาธิปไตยเสียก่อน เนื้อหาส่วนไหนที่ขัดแย้งต่อหลักการประชาธิปไตย และ เป็นเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมต้องตัดออก ต้องปลดปล่อยนักโทษทางความคิดและนักโทษทางการเมืองออกจากการจองจำ ยกเลิกกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น

2. ไทยควรมีบทบาทนำในการเรียกร้องให้ รัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา ปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน และ คณะกรรมการปรึกษาหารือเพื่อยุติสงครามกลางเมืองและฟื้นฟูประชาธิปไตยและสันติภาพในเมียนมา

3. ไทยควรสนับสนุนการดำเนินงานของสหประชาชาติให้การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเมียนมา และ ประเทศอื่นๆในอาเซียนที่ยังมีปัญหาความเป็นประชาธิปไตยและละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่

4. เพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนที่ตกอยู่ในอันตราย หรือ หลบหนีจากเมียนมา และ ประสบความยากลำบากทางเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตอย่างรุนแรง ร่วมกับอาเซียนในการเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังโดยพลการ รวมทั้งผู้ที่ถูกจำคุกโดยไม่เป็นธรรมทั้งหมด

5. เพิ่มแรงกดดันทางการทูต ผ่าน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและที่ประชุมสมัชชาเพื่อหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงในเมียนมา 

6. เรียกร้องกดดันให้กองทัพพม่ายุติปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อพลเรือน

7. รัฐบาลใหม่ต้องดำเนินการกวดขันตามแนวชายแดนเพื่อยุติการส่งมอบอาวุธและทรัพยากรอื่นๆที่ถูกใช้เพื่อปรามปรามประชาชนและละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองทัพเมียนมา รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างจริงจังในการปราบปรามขบวนการค้าอาวุธค้ายาเสพติดที่เจ้าหน้าที่ไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง

8. ต้องสร้างเครือข่ายความร่วมมือของขบวนการประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียน และ รักษาเอกภาพขบวนการประชาธิปไตยภายในแต่ละประเทศ และสร้างพลังขับเคลื่อนให้เกิด “สันติธรรมประชาธิปไตย” ภายในประเทศและสร้างพลังเครือข่ายร่วมกันเพื่อให้ภูมิภาคนี้ เป็นภูมิภาคที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชน ยึดถือมนุษยธรรม เป็นภูมิภาคที่มีเสถียรภาพและความมั่นคง สงบสันติ สิทธิเสรีภาพเบ่งบาน เป็นภูมิภาคอาเซียนของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

และ 9. ขยาย MOU ให้แรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา ได้ทำงานในไทยต่อไป ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจไทยและความมีมนุษยธรรมของสังคมไทย ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศโดยเฉพาะสหประชาชาติพัฒนาพื้นที่ทางด้านมนุษยธรรมปลอดการสู้รบเพื่อให้ผู้ลี้ภัยสงคราม ผู้รักสันติ ได้อพยพตั้งถิ่นฐานเป็นการชั่วคราวจนกว่า ประเทศเมียนมา จะมีสันติภาพ



แบงก์ชาติ รับเรื่อง สภาพัฒน์ จ่อนัดถกปรับชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตลงที่ 5% หลังขยับขึ้น 8%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4432366
 
แบงก์ชาติ รับเรื่อง สภาพัฒน์ จ่อนัดถกปมปรับชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตลงที่ 5% หลังขยับขึ้น 8%
 
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เรียกร้องให้ ธปท. ลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตลงเหลือ 5% จากที่ได้ปรับขึ้นเป็น 8% ในปี 2567 นั้น

น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า การที่ ธปท.มีการขยับการชำระขั้นต่ำขึ้นจาก 5% เป็น 8% ได้ใช้วิธีการทยอยปรับขึ้น ซึ่งไม่ได้ปรับไปที่ 10% ทันที แต่เข้าใจลูกหนี้ที่ผ่อนไม่ไหว ซึ่ง ธปท.ได้ให้ผู้ประกอบการทั้งสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) รวมกว่า 11 ราย ให้มีข้อเสนอให้ลูกค้าที่ไม่สามารถผ่อนชำระขั้นต่ำไม่ไหวให้โอนย้ายเปลี่ยนประเภทหนี้ของบัตรเครดิตเป็นสินเชื่อที่มีการผ่อนชำระเป็นงวด (Installment Loan) ที่มีวันจบหนี้ได้ โดยหลายที่มีการลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ด้วย
 
เมื่อสภาพัฒน์ฯ ได้พูดแล้วคิดว่าจะต้องมีการหารือกันถึงข้อดี ข้อเสียต่างๆ เพราะเข้าใจว่าสภาพัฒน์ฯ มองถึงกฃุ่มเอสเอ็มอีที่ใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้ามาทำธุรกิจ จึงจะรับเรื่องนี้มาหารือภายในระหว่างกัน” น.ส.สุวรรณี กล่าว
 
ทั้งนี้ การปรับขั้นต่ำขึ้นอาจจะเจ็บในระยะสั้น เพราะขยับขึ้นจาก 5% เป็น 8% แต่ถ้ามองในระยะยาวจะเป็นผลดีต่อลูกหนี้ เช่น วงเงินกู้บัตรเครดิตเฉลี่ย 80,000 บาท ดอกเบี้ย 16% ต่อปี ผ่อนขั้นต่ำต้องไม่ต่ำกว่า 500 บาท จะต้องจ่ายอีก 6 ปี 8 เดือน ถึงจะหมด และเสียดอกเบี้ย 27,000 บาท หากไม่กำหนดขั้นต่ำที่ 500 บาท หรือคิดที่ 5% ไปเรื่อยๆ จะใช้เวลา 10 ปี 3 เดือน ยอดหนี้ถึงจะหมด
 
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า ด้านสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 90.9% ทรงตัวจากไตรมาสก่อน คาดการณ์ตัวเลขไตรมาส 4/2566 ตัวเลขหนี้ครัวเรือนอาจจะขยับขึ้นเล็กน้อยประมาณการที่ 91% ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อจีดีพีลดลงไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 87.4% เทียบกับไตรมาส 2/2566 ที่ 88% ซึ่งอัตราเฉลี่ยทรงตัวและมีแนวโน้มลดลงจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและการก่อหนี้ที่ชะลอลง ด้านความสามารถในการทำกำไรโดยรวมทยอยปรับดีขึ้น ตามภาคการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเคมีภัณฑ์และกลุ่มปิโตรเลียม ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวแม้ปรับดีขึ้นแต่ค่าใช้จ่ายต่อทริปยังคงต่ำกว่าคาด
 
ทั้งนี้ ความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินโดยลูกหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือในภาพรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน จากการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) ซึ่งมีความเปราะบางมากกว่ากลุ่มลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์
 
โดยยอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 3.52 ล้านล้านบาท คิดเป็นจำนวนบัญชีที่ได้รับความช่วยเหลือ 6.37 ล้านบัญชี สะท้อนว่าลูกหนี้ยังต้องการสินเชื่อและเจ้าหนี้ (ผู้ให้บริการสินเชื่อ) อยากให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม” น.ส.สุวรรณี กล่าว
 
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าของมาตรการฟื้นฟูฯ ข้อมูล ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 จะหมดเขตยื่นคำขอตามพระราชกำหนด พ.ร.ก.ฟื้นฟูฯ ในวันที่ 9 เมษายน 2567 โดยยอดสินเชื่อที่มีการอนุมัติแล้วอยู่ที่ 2.62 แสนล้านบาท จากวงเงินที่ตั้งไว้ 2.5 แสนล้านบาท ส่วนที่เกินมาจากมีการปิดโครงการพักทรัพย์พักหนี้และโอนเงินมาจากโครงการดังกล่าวที่ 2.5 หมื่นล้านบาท จำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือแล้ว 66,224 ราย เหลือเงินเฉลี่ย 13,000 ล้านบาท คาดว่าจะหมดได้พอดีในช่วงเดือนเมษายนนี้
 
ด้านสินเชื่อเพื่อการปรับตัว มีสินเชื่อที่อนุมัติแล้ว 9,185 ล้านบาท จำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 598 รายและวงเงินที่อนุมัติเฉลี่ย 15.4 ล้านบาทต่อราย
 
“ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับแรงกดดันจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น และครัวเรือนบางกลุ่มที่ยังมีฐานะการเงินเปราะบางจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งอาจส่งผลให้หนี้เสียทยอยปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้และไม่เกิดหน้าผาเอ็นพีแอล (NPL cliff)” น.ส.สุวรรณี กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่