JJNY : ‘เผ่าภูมิ’ฉะโมเดล ศก.BCG| ‘สุทิน’เผยเป็นเรื่องปกติห้ามชุมนุม| ดร.อนันต์ ชี้ไม่มีหลักฐานรองรับ| จีนอ่วมโควิดอีก!

‘เผ่าภูมิ’ ฉะ โมเดล ศก. BCG ไม่ตอบโจทย์ ทำโอกาสทองของไทยหลุดในเวทีเอเปค
https://www.matichon.co.th/politics/news_3672094

 
‘เผ่าภูมิ’ ฉะ โมเดล ศก. BCG ไม่ตอบโจทย์ ทำโอกาสทองของไทยหลุดในเวทีเอเปค
 
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) และ ผอ.ศูนย์นโยบายพรรค พท. กล่าวถึงกรณีไทยชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว : Bio-Circular-Green Economy) เป็นวาระหลักในการประชุม APEC ว่าโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถูกผลักดันให้เป็นวาระหลักของการประชุม APEC ซึ่งในเวทีการประชุมสำคัญระดับนี้เป็นโอกาสทองที่เจ้าภาพสามารถผลักดันวาระการหารือเพื่อประโยชน์ต่อสมาชิกและต่อชาติของตน คำถามคือการใช้โอกาสทองในการผลักดันโมเดล BCG นี้ ไทยได้ประโยชน์ ได้เปรียบ และมีแต้มต่อหรือไม่ โดย 

1. พรรค พท.สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โมเดลการพัฒนาคู่ขนานนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสมดุล แต่รายละเอียด รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในโมเดล BCG ของรัฐบาลนั้นล้มเหลว ขาดความพร้อมในการเป็นวาระหลักในการประชุมระดับ APEC
  
นายเผ่าภูมิกล่าวต่อว่า 2. โมเดลเศรษฐกิจ BCG ยังกลวง ล่องลอย ย้อนแย้ง และมีช่องโหว่สูง ข้อกล่าวหาเรื่องการเพิกเฉยต่ออุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล สนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากขยะ รวมถึงการเอื้อกลุ่มทุนใหญ่ และการฟอกเขียวของโมเดล BCG ยังถูกตั้งคำถามอย่างหนักในสังคม แต่รัฐบาลยังไร้ซึ่งคำตอบ
 
3. จริงอยู่ที่ว่าไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ มีพื้นฐานด้านการเกษตรที่สมบูรณ์ แต่ชาติที่ได้ประโยชน์สูงสุดจาก BCG คือชาติที่สามารถสร้างนวัตกรรมทางด้านการเกษตรระดับกลางถึงสูง มีเทคโนโลยีชั้นสูงในการใช้ประโยชน์ต่อยอดจากฐานด้านการเกษตร ซึ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่ไทยในปัจจุบัน ทำให้ไทยไม่ได้เป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด
 
4. ไทยตกเป็นผู้ตามด้านเศรษฐกิจสีเขียว ในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บทบาทและจุดยืนเรื่องสิ่งแวดล้อมบนเวที COP26 ขาดความชัดเจน เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่ไร้ซึ่งแผน ไร้แนวทางการปฏิบัติ ขาดรูปธรรม อีกทั้งอันดับความเสี่ยงของไทยจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศสูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก สะท้อนความเป็นผู้ตามบนเวทีโลก” นายเผ่าภูมิระบุ
 
นายเผ่าภูมิกล่าวต่อว่า 5. อินโดนีเซีย เจ้าภาพการประชุม G20 ชูประเด็นการฟื้นตัวและโลกหลังโควิดแบบเชื่อมโยงกันผ่านห่วงโซ่อุปทานที่เกื้อกูลกัน ครอบคลุมหลายมิติ ซึ่งแหลมคม ตอบโจทย์ตรงสถานการณ์ แต่โมเดล BCG ที่ล่องลอยที่รัฐบาลไทยชูในการประชุม APEC ผนวกกับบทบาทของอินโดนีเซียที่แซงหน้าไทยไปไกลในเวทีโลก ทำให้เวที APEC ในประเทศไทยนั้นเงียบเหงาและถูกมองข้าม เศรษฐกิจต้องควบคู่ไปกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โมเดลการพัฒนาคู่ขนานเป็นแนวทางที่สามารถใช้เป็นแรงผลักในการขับเคลื่อนประเทศได้ แต่การผลักเป็นวาระหลักในการประชุม APEC ไม่ใช่บทบาทที่คนไทยได้ประโยชน์สูงสุดในเวลานี้ ทำให้โอกาสทองจากการเป็นเจ้าภาพการประชุมนั้นหลุดลอยไป
 


‘สุทิน’เผยเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลออกประกาศห้ามชุมนุมบริเวณจัดงานเอเปคเพื่อความปลอดภัย
https://siamrath.co.th/n/399184

จากกรณีสำนักนายกรัฐมนตรีออกประกาศกำหนดสถานที่ตามนัยมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 กำหนด 20 สถานที่ห้ามชุมนุมสาธารณะ กีดขวางทางเข้าออก หรือรบกวนการปฏิบัติงาน หรือการใช้บริการสถานที่ ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ย.นี้ ซึ่งจะมีการประชุมเอเปค 2022 ดังที่เป็นข่าวนั้น
 
วันที่ 14 พ.ย.2565 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่า 
 
จริงๆ ก็เป็นเรื่องปกติ หากเป็นช่วงที่ที่ต้องใช้บริเวณนั้นๆ เป็นที่รับแขกบ้านแขกเมือง เช่น ทางสัญจรไปมา พื้นที่ประชุม ที่รัฐบาลก็อาจจะนึกถึงเรื่องความปลอดภัยไว้ ก็พอเข้าใจได้ แต่หากเป็นเขตที่ไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรห้าม ควรห้ามเท่าที่จำเป็น



ดร.อนันต์ ชี้ไม่มีหลักฐานรองรับ ปม 'ติดโควิด' แล้ว ร่างกายสูญเสียภูมิคุ้มกัน 'ไข้หวัดใหญ่'
https://www.matichon.co.th/social/news_3672063
 
ดร.อนันต์ ชี้ไม่มีหลักฐานรองรับ ปม ‘ติดโควิด’ ทำร่างกายสูญเสียภูมิคุ้มกัน ‘ไข้หวัดใหญ่’ ห่วงยอดโควิดจีนพุ่งอีกระลอก สะท้อนภูมิคุ้มกันจากสายพันธุ์เก่าต้านใหม่ไม่ไหว
 
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิจัยด้านไวรัสวิทยา ไบโอเทค โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุถึง
 
ปัจจัยเกี่ยวเนื่องระหว่างการติดเชื้อโควิด-19 กับสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่
 
ซึ่งสรุปใจความได้ว่า จากการเก็บสถิติการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐพบว่า ปีที่ผ่านมามีการระบาดที่น้อยกว่า ปีนี้ ที่มีแนวโน้มพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะพออธิบายได้ว่าด้วยเมื่อปีที่ผ่านมาอยู่ภายใต้มาตรการโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนมีโอกาสสัมผัสเชื้อได้น้อย อย่างไรก็ตามในประเด็นที่ว่าการติดโควิดจะทำให้ สูญเสียภูมิคุ้มกันที่ร่างกายมีต่อ โรคไข้หวัดใหญ่ ยังไม่มีข้อมูลรองรับแต่อย่างใด ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ถ้ามีแล้ว ร่างกายจะจำแล้วจำเลย ไม่มีอะไรมา reformat ความจำนั้นได้ เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลา boost นานขึ้นเพราะไม่ได้ใช้งานความจำส่วนนั้นนาน
โดยระบุไว้อย่างละเอียดว่า 
 
“การระบาดของไข้หวัดใหญ่เกิดตามฤดูกาล โดยจะขึ้นสูงสุดช่วงฤดูหนาว ภาพนี้แสดงให้เห็นแนวโน้มของ “การระบาดของไข้หวัดใหญ่” ในสหรัฐอเมริกาเปรียบเทียบแต่ละปี เก็บข้อมูลโดย Johns Hopkins University จุดที่น่าสนใจที่สุดคือเส้นสีส้ม กับ สีแดง คือ จำนวนผู้ป่วยที่พบเมื่อปีที่แล้ว เทียบกับ จำนวนที่กำลังเกิดขึ้นในปีนี้
 
ข้อมูลออกมาชัดเจนว่า แนวโน้มการระบาดจะมาไวกว่าและขึ้นสูงกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา ยังไม่มีแนวโน้มจะเห็นจุดหักหัวลงของเส้นสีแดง เพราะจังหวะที่การระบาดจะ peak คงต้องรอจนถึงช่วงหลังปีใหม่ไป ถึงตอนนั้นคงต้องดูข้อมูลว่าจุดสูงสุดไปได้ถึงแค่ไหน
 
เมื่อวิเคราะห์เทียบกับเส้นสีส้ม อาจจะพออธิบายสาเหตุของการระบาดที่เกิดขึ้นได้ว่า ในช่วงปีที่แล้วการระบาดของไข้หวัดใหญ่อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่พบ การติดเชื้อของไวรัสตามธรรมชาติจึงลดลงส่งผลให้ประชากรมีภูมิคุ้มกันที่ควรเกิดขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติลดลงด้วย เด็กๆที่ไม่เคยติดจะมีเยอะขึ้น ผู้ใหญ่ที่ภูมิลดลงจากการที่ไม่ได้สัมผัสกับเชื้อมานานขึ้นก็จะเพิ่มขึ้น เป็นสภาวะที่เหมาะสมทำให้ไวรัสมีพื้นที่ในการแพร่กระจายตัวเองได้…พอภูมิของประชากรกลับมาเป็นปกติ ก็จะเข้าสู่วงรอบเดิม
 
มีบางคนใช้คำว่า immunity debt เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่ว่า ช่วงโควิดที่ผ่านมามีมาตรการต่างๆทำให้สูญเสียโอกาสการสัมผัสเชื้ออื่นๆตามธรรมชาติ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันที่เคยมีต่อเชื้อเหล่านั้นถูกทำลายไป หรือ การติดเชื้อโควิดทำให้ภูมิคุ้มกันที่มีต่อไข้หวัดใหญ่เสียไป ซึ่งเป็นความเห็นที่ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน หรือ ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ…
 
ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ถ้ามีแล้ว ร่างกายจะจำแล้วจำเลย ไม่มีอะไรมา reformat ความจำนั้นได้ เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลา boost นานขึ้นเพราะไม่ได้ใช้งานความจำส่วนนั้นนาน
 
***ประเด็นสำคัญคือ เส้นสีแดงในกราฟสามารถทำให้หักหัวลง หรือ ชะลอได้ด้วยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีความจำเป็นมากในปีนี้นะครับ
อ้างอิง : https://www.nature.com/articles/d41586-022-03666-9 ”
 
ทั้งนี้ ยังได้โพสต์ต่อไปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศจีนที่ล่าสุดมีรายงานว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงมากที่สุดตั้งแต่มีการระบาดมาว่า
 
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในกรุงปักกิ่งของจีนพุ่งสูงขึ้นมากที่สุดในตั้งแต่มีการระบาดมา มาตรการ Lockdown ของประเทศทำให้จำนวนเคสผู้ติดเชื้อต่ำมากเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี ภูมิคุ้มกันส่วนใหญ่ในประเทศเกิดจากวัคซีน โดยมีภูมิที่สร้างขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติน้อยมาก ด้วยสถานการณ์ของไวรัสที่เปลี่ยนไปมากจากสายพันธุ์ที่ใช้เป็นวัคซีน
 
จำนวนเคสที่ทะยานสูงขึ้นเหมือนจะบอกว่า ภูมิจากไวรัสสายพันธุ์เก่าอาจจะทัดทานไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆเหล่านี้ไม่ไหว ถ้าเคสลดจำนวนลงในเวลาอันใกล้ คิดว่าคงเป็นผลโดยตรงจากมาตรการการตรวจที่ไว แยกผู้ติดเชื้อออก และ จำกัดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ติดเชื้อและผู้มีความเสี่ยง
ซึ่งเมื่อไหร่ที่มีการหลุดรอดเข้ามาแพร่กระจายอีก ก็จะเกิดการทะยานขึ้นของเคสอีกถ้าตราบใดภูมิคุ้มกันของประชากรยังไม่มากพอที่จะช่วยเหลือตัวเอง แต่ตอนนี้ต้องลุ้นให้กราฟหักหัวลงไวๆก่อน
 
ข้อมูลกราฟจาก BNO News
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่