‘ยิ่งลักษณ์’ ชื่นชมเครื่องสำอางแบรนด์คนไทย ได้ทุนค้นคว้าวิจัย นำเทคโนโลยีสเต็มเซลล์มาผลิต
https://www.matichon.co.th/politics/news_3658750
‘ยิ่งลักษณ์’ ชื่นชมเครื่องสำอางแบรนด์คนไทย ได้ทุนค้นคว้าวิจัย นำเทคโนโลยีสเต็มเซลล์มาผลิต
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์อินสตาแกรม pouyingluck_shin
“
ดิฉันดีใจที่ได้เห็นหนึ่งในตัวอย่าง ความสำเร็จของเครื่องสำอางแบรนด์คนไทย ที่ได้ทุนค้นคว้าวิจัยและได้นำเทคโนโลยีสเต็มเซลล์มาผลิตเป็นเครื่องสำอางค์เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ผิวดีขึ้นได้ เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว จากเดิมที่เป็นนวัตกรรมที่ใช้ในวงจำกัดทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคเท่านั้น แต่วันนี้นวัตกรรมเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นสินค้าสำหรับผู้บริโภค ทำให้สามารถเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม และอยากให้รัฐบาลสนับสนุนและให้ทุนวิจัยมากขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้นำนวัตกรรมจากคนไทยไปสู่ตลาดโลกที่มีศักยภาพขึ้นในอนาคตค่ะ”
https://www.instagram.com/p/CknKz4PrW_P/
‘สุทิน’ ย้ำ จุดยืนชัดหากกัญชาไม่ได้ถูกใช้ทางการแพทย์ ไม่ให้ผ่านแน่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3658679
‘สุทิน’ ย้ำ จุดยืนชัดหากกัญชาไม่ได้ถูกใช้ทางการแพทย์ ไม่ให้ผ่านแน่ เผย โอกาสเข้าสภาฯ สัปดาห์นี้ 50:50
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า ในการประชุมสภาฯ สัปดาห์นี้จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเข้าชื่อถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่นที่ค้างการพิจารณาอยู่ จากนั้นก็จะตามด้วยร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางราง จากนั้นถึงจะเป็นการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง (ฉบับที่…) พ.ศ.… ตามระเบียบวาระ โดยโอกาสที่จะได้พิจารณาร่างกฎหมายกัญชาในสัปดาห์นี้ถือว่ามีโอกาสที่ 50:50 ต้องดูว่าสามารถพิจารณาร่างกฎหมายสองฉบับก่อนหน้าเสร็จทันหรือไม่
ทั้งนี้ ในส่วนของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคพท.เรามีจุดยืนชัดเจนว่าหากกัญชาไม่ได้ถูกใช้ในกรอบทางการแพทย์ เราไม่ให้ผ่านอย่างแน่นอน หากจะบอกว่ากัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ประชาชน แต่หากมีการปลูกและขายเพื่อการสันทนาการ เรายิ่งให้ผ่านไปไม่ได้
‘พิธา’ นำทีมก้าวไกลรับฟังปัญหา เสนอนโยบายสวัสดิการก้าวหน้า ชื่นใจคนเอาด้วย
‘พิธา’ นำทีมก้าวไกลรับฟังปัญหา ดูหน้างานจริง พร้อมเสนอนโยบายสวัสดิการก้าวหน้า ชื่นใจประชาชนเอาด้วย
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วย นายธนเดช เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลเขตลาดพร้าว พบปะประชาชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนรอบวัดลาดพร้าว เพื่อสำรวจความเดือดร้อนและสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายสวัสดิการก้าวหน้าที่พรรคเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยประชาชนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเห็นด้วยกับข้อเสนอของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะในส่วนของสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียงที่ในขณะนี้ถือว่ามีจำนวนมากในชุมชน และครอบครัวเห็นว่าการดูแลจากภาครัฐในปัจจุบันนั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละเดือน ทั้งยังจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนวัยทำงานในการแบ่งเบาภาระต้องเลี้ยงดูพ่อแม่อีกด้วย
สำหรับชุดนโยบายสวัสดิการไทยก้าวหน้าที่พรรคก้าวไกลเสนอเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน แบ่งตาม 5 ช่วงวัย และมีทั้งหมด 19 นโยบาย ได้แก่
วัยเกิด ประกอบด้วย
(1) ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท ให้พ่อ-แม่ซื้อสิ่งของจำเป็นในการเลี้ยงลูก
(2) เงินเด็กเล็กเดือนละ 1,200 บาท
(3) สิทธิลาคลอด 180 วัน พ่อแม่แบ่งกันได้
(4) ศูนย์ดูแลเด็กใกล้บ้านและที่ทำงาน
วัยเติบโต ประกอบด้วย
(5) เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับ-ส่ง
(6) คูปองเปิดโลก ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน
(7) ยกเลิกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มผ้าอนามัยและนำร่องแจกผ้าอนามัยฟรีในโรงเรียน
วัยทำงาน ประกอบด้วย
(8) ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท รัฐช่วย SME 6 เดือนแรก
(9) สัญญาจ้างเป็นธรรม ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
(10) แรงงานทุกกลุ่มตั้งสหภาพได้ สอดคล้องหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
(11) ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชยและค่าเดินทางหาหมอ
(12) เรียนเสริมทักษะ-เปลี่ยนอาชีพ ฟรีไม่จำกัดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และคูปองเรียนเสริม
วัยสูงวัย ประกอบด้วย
(13) เงินผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาท สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง
(14) ค่าทำศพถ้วนหน้า 10,000 บาท
ทุกอายุ ประกอบด้วย
(15) บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง รัฐช่วยผ่อน-จ่ายค่าเช่า
(16) น้ำประปาดื่มได้ทุกพื้นที่
(17) เติมเงินให้ท้องถิ่น เพิ่มขนส่งสาธารณะ
(18) เน็ตฟรี 1 GB ต่อเดือน
(19) เงินคนพิการเดือนละ 3,000 บาท
นาย
พิธากล่าวว่า ปัญหาคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญนโยบายสวัสดิการของเรา เชื่อในการที่คนไทยพร้อมช่วยเหลือกันในยามลำบาก การเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข เพียงแต่ที่ผ่านมายังขาดการออกแบบอย่างเป็นระบบนโยบายสวัสดิการของพรรคก้าวไกลจะสร้างประเทศที่เป็นธรรม โดยการลดความเหลื่อมล้ำที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สร้างประเทศที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนโดยการวางตาข่ายรองรับคุณภาพชีวิตและโอกาสที่เท่าเทียมกันของประชาชน
EIC ฟันธง ไม่ต่อ LTV คอนโดฯไม่เกิน3ล้านอ่วม
https://www.thansettakij.com/real-estate/546227
EIC ฟันธง ไม่ต่อมาตรการ LTV มีข้อดีข้อเสีย โค้งท้ายปี65 ตัวเร่ง ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ปี 66 ตลาดชะลอตัวคอนโดไม่เกิน3ล้าน อ่วม
การประกาศไม่ต่ออายุมาตรการ ผ่อนคลาย อัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาที่อยู่อาศัย (Loan-to-value ratio : LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หลังเปิดโอกาสให้คนซื้อบ้าน กู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยได้เต็ม100% ในทุกสัญญา เป็นเวลา1ปี (สิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม2565 )
โดยให้เหตุผล ว่า เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ การปล่อยสินเชื่อและการซื้อที่อยู่อาศัย กลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด19 ขณะนักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผู้ประกอบการ ประเมินว่า
ตลาดที่อยู่อาศัย ช่วงโค้งท้ายปี2565 หรือก่อน มาตรการผ่อนคลาย LTVสิ้นสุดลงจะมีการติดต่อยื่นขอสินเชื่อกันอย่างคึกคัก ทั้งกลุ่มลงทุนและกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ขณะปีหน้าอาจ จะเข้าสู่ภาวะชะลอการตัดสินใจเพราะมองว่าไม่คุ้มทุน โดยเฉพาะกลุ่มนักลงลงทุนที่เป็นตัวช่วยระบายสต็อกที่ดีโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน3ล้านบาทซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ Economic Intelligence Center (EIC) มอง ว่า การไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนคลาย LTV จะส่งผลต่อตลาดที่อยู่อาศัยอย่างจำกัด โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุน และผู้ซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่ม ความต้องการที่แท้จริง( เรียลดีมานด์ ) ในสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 หรือ 3 เป็นต้นไป
โดยผลกระทบมีดังนี้ 1) เกิดการเร่งตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565และ 2) เกิดการชะลอซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2566 ทั้งนี้ การไม่ต่ออายุมาตรการจะไม่ส่งผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่ม เรียลดีมานด์ ในสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาแรก เนื่องจากผู้ซื้อที่อยู่อาศัยยังสามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาแรกได้เต็มจำนวน 100%เช่นเดิม
อย่างไรก็ตามการไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนคลาย LTV จะส่งผลให้นักลงทุน และผู้ซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่ม เรีบลดีมานด์ ในสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 หรือ 3 เป็นต้นไป เร่งตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 โดยเป็นจังหวะให้ผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยกลุ่มที่มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมขาย
สามารถทำการตลาดกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อระบายสต๊อก ก่อนที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจะต้องวางเงินดาวน์ถึง 10-30% ของราคาที่อยู่อาศัยในปี 2566 ซึ่งน่าจะกระตุ้นยอดขาย และการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปี 2565 ให้เพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย โดยเฉพาะจากนักลงทุน เมื่อเทียบกับก่อนการประกาศไม่ต่ออายุมาตรการ
ขณะปีหน้า (ปี2566) นักลงทุน และผู้ซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่ม เรียลดีมานด์ ในสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 หรือ 3 เป็นต้นไป อาจชะลอซื้อที่อยู่อาศัย จากการมีภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นในการวางเงินดาวน์ถึง 10-30% ของราคาที่อยู่อาศัย
EIC มองว่า คอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำ-ปานกลาง ไม่เกิน 5 ล้านบาท ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการไม่ต่ออายุมาตรการ เนื่องจากเป็นเซกเมนต์ ที่มักได้รับความนิยมในการซื้อเพื่อลงทุน ทั้งการปล่อยเช่า และเก็งกำไรมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่ามากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มากนัก และมีแนวโน้มได้รับความสนใจจากผู้เช่ามากขึ้นด้วยอัตราค่าเช่าที่ไม่สูงจนเกินไป ในทำเลที่เป็นแหล่งงาน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมต่อทั้งผู้ลงทุนและผู้เช่า ในช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจและกำลังซื้อกำลังอยู่ในระยะเริ่มฟื้นตัว
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จำนวนหน่วยคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของจำนวนหน่วยคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ทั้งหมด โดยผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยได้มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมกลุ่มระดับราคาต่ำ-ปานกลางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวนมาก
รวมถึงผู้ประกอบการยังมีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมกลุ่มระดับราคาต่ำ-ปานกลางอีกมากในปี 2566 ดังนั้น การไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนคลาย LTV อาจกดดันให้หน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นได้ในระยะข้างหน้า จากกลุ่มกำลังซื้อที่ยังมีความเปราะบางอาจชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยออกไป,
JJNY : 5in1 ‘ยิ่งลักษณ์’ชมเครื่องสำอาง|‘สุทิน’ย้ำจุดยืนกัญชา|‘พิธา’นำทีมรับฟังปัญหา|EIC ไม่ต่อ LTV|อิหร่านรับส่งโดรนให้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3658750
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์อินสตาแกรม pouyingluck_shin
“ดิฉันดีใจที่ได้เห็นหนึ่งในตัวอย่าง ความสำเร็จของเครื่องสำอางแบรนด์คนไทย ที่ได้ทุนค้นคว้าวิจัยและได้นำเทคโนโลยีสเต็มเซลล์มาผลิตเป็นเครื่องสำอางค์เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ผิวดีขึ้นได้ เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว จากเดิมที่เป็นนวัตกรรมที่ใช้ในวงจำกัดทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคเท่านั้น แต่วันนี้นวัตกรรมเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นสินค้าสำหรับผู้บริโภค ทำให้สามารถเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม และอยากให้รัฐบาลสนับสนุนและให้ทุนวิจัยมากขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้นำนวัตกรรมจากคนไทยไปสู่ตลาดโลกที่มีศักยภาพขึ้นในอนาคตค่ะ”
https://www.instagram.com/p/CknKz4PrW_P/
‘สุทิน’ ย้ำ จุดยืนชัดหากกัญชาไม่ได้ถูกใช้ทางการแพทย์ ไม่ให้ผ่านแน่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3658679
‘สุทิน’ ย้ำ จุดยืนชัดหากกัญชาไม่ได้ถูกใช้ทางการแพทย์ ไม่ให้ผ่านแน่ เผย โอกาสเข้าสภาฯ สัปดาห์นี้ 50:50
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า ในการประชุมสภาฯ สัปดาห์นี้จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเข้าชื่อถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่นที่ค้างการพิจารณาอยู่ จากนั้นก็จะตามด้วยร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางราง จากนั้นถึงจะเป็นการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง (ฉบับที่…) พ.ศ.… ตามระเบียบวาระ โดยโอกาสที่จะได้พิจารณาร่างกฎหมายกัญชาในสัปดาห์นี้ถือว่ามีโอกาสที่ 50:50 ต้องดูว่าสามารถพิจารณาร่างกฎหมายสองฉบับก่อนหน้าเสร็จทันหรือไม่
ทั้งนี้ ในส่วนของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคพท.เรามีจุดยืนชัดเจนว่าหากกัญชาไม่ได้ถูกใช้ในกรอบทางการแพทย์ เราไม่ให้ผ่านอย่างแน่นอน หากจะบอกว่ากัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ประชาชน แต่หากมีการปลูกและขายเพื่อการสันทนาการ เรายิ่งให้ผ่านไปไม่ได้
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วย นายธนเดช เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลเขตลาดพร้าว พบปะประชาชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนรอบวัดลาดพร้าว เพื่อสำรวจความเดือดร้อนและสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายสวัสดิการก้าวหน้าที่พรรคเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยประชาชนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเห็นด้วยกับข้อเสนอของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะในส่วนของสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียงที่ในขณะนี้ถือว่ามีจำนวนมากในชุมชน และครอบครัวเห็นว่าการดูแลจากภาครัฐในปัจจุบันนั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละเดือน ทั้งยังจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนวัยทำงานในการแบ่งเบาภาระต้องเลี้ยงดูพ่อแม่อีกด้วย
สำหรับชุดนโยบายสวัสดิการไทยก้าวหน้าที่พรรคก้าวไกลเสนอเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน แบ่งตาม 5 ช่วงวัย และมีทั้งหมด 19 นโยบาย ได้แก่
วัยเกิด ประกอบด้วย
(1) ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท ให้พ่อ-แม่ซื้อสิ่งของจำเป็นในการเลี้ยงลูก
(2) เงินเด็กเล็กเดือนละ 1,200 บาท
(3) สิทธิลาคลอด 180 วัน พ่อแม่แบ่งกันได้
(4) ศูนย์ดูแลเด็กใกล้บ้านและที่ทำงาน
วัยเติบโต ประกอบด้วย
(5) เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับ-ส่ง
(6) คูปองเปิดโลก ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน
(7) ยกเลิกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มผ้าอนามัยและนำร่องแจกผ้าอนามัยฟรีในโรงเรียน
วัยทำงาน ประกอบด้วย
(8) ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท รัฐช่วย SME 6 เดือนแรก
(9) สัญญาจ้างเป็นธรรม ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
(10) แรงงานทุกกลุ่มตั้งสหภาพได้ สอดคล้องหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
(11) ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชยและค่าเดินทางหาหมอ
(12) เรียนเสริมทักษะ-เปลี่ยนอาชีพ ฟรีไม่จำกัดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และคูปองเรียนเสริม
วัยสูงวัย ประกอบด้วย
(13) เงินผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาท สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง
(14) ค่าทำศพถ้วนหน้า 10,000 บาท
ทุกอายุ ประกอบด้วย
(15) บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง รัฐช่วยผ่อน-จ่ายค่าเช่า
(16) น้ำประปาดื่มได้ทุกพื้นที่
(17) เติมเงินให้ท้องถิ่น เพิ่มขนส่งสาธารณะ
(18) เน็ตฟรี 1 GB ต่อเดือน
(19) เงินคนพิการเดือนละ 3,000 บาท
นายพิธากล่าวว่า ปัญหาคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญนโยบายสวัสดิการของเรา เชื่อในการที่คนไทยพร้อมช่วยเหลือกันในยามลำบาก การเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข เพียงแต่ที่ผ่านมายังขาดการออกแบบอย่างเป็นระบบนโยบายสวัสดิการของพรรคก้าวไกลจะสร้างประเทศที่เป็นธรรม โดยการลดความเหลื่อมล้ำที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สร้างประเทศที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนโดยการวางตาข่ายรองรับคุณภาพชีวิตและโอกาสที่เท่าเทียมกันของประชาชน
EIC ฟันธง ไม่ต่อ LTV คอนโดฯไม่เกิน3ล้านอ่วม
https://www.thansettakij.com/real-estate/546227
EIC ฟันธง ไม่ต่อมาตรการ LTV มีข้อดีข้อเสีย โค้งท้ายปี65 ตัวเร่ง ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ปี 66 ตลาดชะลอตัวคอนโดไม่เกิน3ล้าน อ่วม
การประกาศไม่ต่ออายุมาตรการ ผ่อนคลาย อัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาที่อยู่อาศัย (Loan-to-value ratio : LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หลังเปิดโอกาสให้คนซื้อบ้าน กู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยได้เต็ม100% ในทุกสัญญา เป็นเวลา1ปี (สิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม2565 )
โดยให้เหตุผล ว่า เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ การปล่อยสินเชื่อและการซื้อที่อยู่อาศัย กลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด19 ขณะนักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผู้ประกอบการ ประเมินว่า
ตลาดที่อยู่อาศัย ช่วงโค้งท้ายปี2565 หรือก่อน มาตรการผ่อนคลาย LTVสิ้นสุดลงจะมีการติดต่อยื่นขอสินเชื่อกันอย่างคึกคัก ทั้งกลุ่มลงทุนและกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ขณะปีหน้าอาจ จะเข้าสู่ภาวะชะลอการตัดสินใจเพราะมองว่าไม่คุ้มทุน โดยเฉพาะกลุ่มนักลงลงทุนที่เป็นตัวช่วยระบายสต็อกที่ดีโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน3ล้านบาทซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ Economic Intelligence Center (EIC) มอง ว่า การไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนคลาย LTV จะส่งผลต่อตลาดที่อยู่อาศัยอย่างจำกัด โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุน และผู้ซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่ม ความต้องการที่แท้จริง( เรียลดีมานด์ ) ในสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 หรือ 3 เป็นต้นไป
โดยผลกระทบมีดังนี้ 1) เกิดการเร่งตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565และ 2) เกิดการชะลอซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2566 ทั้งนี้ การไม่ต่ออายุมาตรการจะไม่ส่งผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่ม เรียลดีมานด์ ในสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาแรก เนื่องจากผู้ซื้อที่อยู่อาศัยยังสามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาแรกได้เต็มจำนวน 100%เช่นเดิม
อย่างไรก็ตามการไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนคลาย LTV จะส่งผลให้นักลงทุน และผู้ซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่ม เรีบลดีมานด์ ในสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 หรือ 3 เป็นต้นไป เร่งตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 โดยเป็นจังหวะให้ผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยกลุ่มที่มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมขาย
สามารถทำการตลาดกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อระบายสต๊อก ก่อนที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจะต้องวางเงินดาวน์ถึง 10-30% ของราคาที่อยู่อาศัยในปี 2566 ซึ่งน่าจะกระตุ้นยอดขาย และการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปี 2565 ให้เพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย โดยเฉพาะจากนักลงทุน เมื่อเทียบกับก่อนการประกาศไม่ต่ออายุมาตรการ
ขณะปีหน้า (ปี2566) นักลงทุน และผู้ซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่ม เรียลดีมานด์ ในสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 หรือ 3 เป็นต้นไป อาจชะลอซื้อที่อยู่อาศัย จากการมีภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นในการวางเงินดาวน์ถึง 10-30% ของราคาที่อยู่อาศัย
EIC มองว่า คอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำ-ปานกลาง ไม่เกิน 5 ล้านบาท ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการไม่ต่ออายุมาตรการ เนื่องจากเป็นเซกเมนต์ ที่มักได้รับความนิยมในการซื้อเพื่อลงทุน ทั้งการปล่อยเช่า และเก็งกำไรมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่ามากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มากนัก และมีแนวโน้มได้รับความสนใจจากผู้เช่ามากขึ้นด้วยอัตราค่าเช่าที่ไม่สูงจนเกินไป ในทำเลที่เป็นแหล่งงาน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมต่อทั้งผู้ลงทุนและผู้เช่า ในช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจและกำลังซื้อกำลังอยู่ในระยะเริ่มฟื้นตัว
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จำนวนหน่วยคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของจำนวนหน่วยคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ทั้งหมด โดยผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยได้มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมกลุ่มระดับราคาต่ำ-ปานกลางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวนมาก
รวมถึงผู้ประกอบการยังมีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมกลุ่มระดับราคาต่ำ-ปานกลางอีกมากในปี 2566 ดังนั้น การไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนคลาย LTV อาจกดดันให้หน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นได้ในระยะข้างหน้า จากกลุ่มกำลังซื้อที่ยังมีความเปราะบางอาจชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยออกไป,