“จิตบริสุทธิ์รวมเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์ และความสว่างของจักรวาลเดิม”
ทำสมาธิด้วยการเจริญอานาปานสติ หรือ ภาวนาพุทโธ หรือ กสิณ ตามแต่จริตของท่าน จนจิตรวมเป็นสมาธิ จิตสงบ โปร่งโล่ง เบาสบาย ลมหายใจละเอียดจนดับหายไป ความรู้สึกทางกายก็ดับหายไป ไม่มีสุขและไม่มีทุกข์ เหลือแต่จิตตั้งมั่นและอุเบกขาท่ามกลางความว่าง
บางครั้งจะเกิดนิมิตดวงแก้วประกายพรึก ใสระยิบระยับ ส่องสว่างสวยงาม ท่ามกลางความว่าง ตั้งอยู่ที่ฐานของจิต เช่น ปลายจมูก หว่างคิ้ว กลางดวงใจ กลางท้อง แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางครั้งครั้งก็ไม่มีนิมิต มีแต่ความสงบ โปร่งโล่ง เบาสบาย สภาวะนี้แรกเริ่มจะเกิดขึ้นเมื่อนั่งสมาธิต่อเนื่อง 3 ถึง 6 ชม. ขึ้นไปโดยไม่เปลี่ยนอริยาบถ จึงจะเข้าสู่สภาวะนี้ได้
ทำสมาธิให้เกิดชำนาญจนสามารถกำหนดให้จิตรวมสมาธิเมื่อไหร่ก็ได้ แค่ 5 นาทีก็เข้าได้ ดวงแก้วนิมิตประกายพรึกจะปรากฏให้เห็นบ่อยขึ้นที่ฐานของจิต “ดวงแก้วประกายพรึก” นี้ไม่ใช่ “จิต” แต่เป็นสิ่งที่อวิชชา สร้างขึ้นเพื่อหลอกให้เราหลง แท้จริงในดวงแก้วประกายพรึกนั้น จะรูจุดดำๆ เล็กๆอยู่ จุดนั้นแหละ คือ “อวิชชา”
พระอาจารย์โสภา วัดแสงธรรมวังเขาเขียว เตือนข้าพเจ้าว่า
“เมื่อปฏิบัติสมาธิจนละเอียดลึก ไปรู้เห็นอะไร ระวังให้ดี อวิชชา มันก็ไปรู้เห็นด้วย อวิชชามันฉลาดกว่าเราเยอะ มันจะสร้างสิ้งที่ไปรู้เห็น หลอกเจ้าของให้หลง เหมือนซะยิ่งกว่าของจริงอีก”
ขณะที่บวชปฏิบัติกับหลวงปู่จันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย ท่านเตือนข้าพเจ้าว่า
“กลับมาภาวนา พุทโธ นั่นแหละ หัดปล่อยหัดวางซะบ้าง อย่ายึดติดให้มันมาก ให้ทำลายทิ้งซะ”
ช่วงเย็นวันนั้นเมื่อข้าพเจ้าจงกรม และภาวนา พุทโธ ก็เกิดแก้วประกายพรึกที่หว่างคิ้ว ส่องสว่าง สวยงาม มากๆ ก็หนดทำลายดวงแก้วนั้นซะ เหมือนฟ้าผ่าดังเปรี้ยง!! ดวงแก้วแตกออกเป็น 2 ซีกให้เห็นต่อหน้า แล้วหายไป หลังจากนั้นก็ไม่เกิดนิมิตดวงแก้วประกายพรึกอีกเลย
เมื่อกลับมานั่งสมาธิโดยกำหนดรู้ลมหายใจและภาวนาพุทโธ ประมาณ 2 ชม. เกิด ปีติ สุข ตามลำดับ กายขึ้นมาตั้งตรง ลมหายใจค่อยๆละเอียด จนดับหายไป จิตรวมเป็นหนึ่งแล้วหดเล็กลง พุ่งผ่านรูเล็กๆ สว่างไสวๆ ทอดยาวออกไป เมื่อไปจนสุดจะพบกับ
ความว่างไม่มีประมาณ ไม่มีทิศ ไม่มีทาง
ไม่มีกาลเวลา ไม่มีความสุข ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความคิด ไม่มีลมหายใจ ไม่มีความรู้สึกทางกายใดๆ เหมือนเราอยู่คนละมิติกับกาย ท่ามกลางความว่างนั้น มีจิตประภัสสรส่องสว่างไสวอยู่ เป็นแสงแห่งปัญญา คือ
“จิตบริสุทธิ์รวมเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์ และความสว่างของจักรวาลเดิม”
“จิตบริสุทธิ์รวมเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์ และความสว่างของจักรวาลเดิม”
ทำสมาธิด้วยการเจริญอานาปานสติ หรือ ภาวนาพุทโธ หรือ กสิณ ตามแต่จริตของท่าน จนจิตรวมเป็นสมาธิ จิตสงบ โปร่งโล่ง เบาสบาย ลมหายใจละเอียดจนดับหายไป ความรู้สึกทางกายก็ดับหายไป ไม่มีสุขและไม่มีทุกข์ เหลือแต่จิตตั้งมั่นและอุเบกขาท่ามกลางความว่าง
บางครั้งจะเกิดนิมิตดวงแก้วประกายพรึก ใสระยิบระยับ ส่องสว่างสวยงาม ท่ามกลางความว่าง ตั้งอยู่ที่ฐานของจิต เช่น ปลายจมูก หว่างคิ้ว กลางดวงใจ กลางท้อง แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางครั้งครั้งก็ไม่มีนิมิต มีแต่ความสงบ โปร่งโล่ง เบาสบาย สภาวะนี้แรกเริ่มจะเกิดขึ้นเมื่อนั่งสมาธิต่อเนื่อง 3 ถึง 6 ชม. ขึ้นไปโดยไม่เปลี่ยนอริยาบถ จึงจะเข้าสู่สภาวะนี้ได้
ทำสมาธิให้เกิดชำนาญจนสามารถกำหนดให้จิตรวมสมาธิเมื่อไหร่ก็ได้ แค่ 5 นาทีก็เข้าได้ ดวงแก้วนิมิตประกายพรึกจะปรากฏให้เห็นบ่อยขึ้นที่ฐานของจิต “ดวงแก้วประกายพรึก” นี้ไม่ใช่ “จิต” แต่เป็นสิ่งที่อวิชชา สร้างขึ้นเพื่อหลอกให้เราหลง แท้จริงในดวงแก้วประกายพรึกนั้น จะรูจุดดำๆ เล็กๆอยู่ จุดนั้นแหละ คือ “อวิชชา”
พระอาจารย์โสภา วัดแสงธรรมวังเขาเขียว เตือนข้าพเจ้าว่า
“เมื่อปฏิบัติสมาธิจนละเอียดลึก ไปรู้เห็นอะไร ระวังให้ดี อวิชชา มันก็ไปรู้เห็นด้วย อวิชชามันฉลาดกว่าเราเยอะ มันจะสร้างสิ้งที่ไปรู้เห็น หลอกเจ้าของให้หลง เหมือนซะยิ่งกว่าของจริงอีก”
ขณะที่บวชปฏิบัติกับหลวงปู่จันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย ท่านเตือนข้าพเจ้าว่า
“กลับมาภาวนา พุทโธ นั่นแหละ หัดปล่อยหัดวางซะบ้าง อย่ายึดติดให้มันมาก ให้ทำลายทิ้งซะ”
ช่วงเย็นวันนั้นเมื่อข้าพเจ้าจงกรม และภาวนา พุทโธ ก็เกิดแก้วประกายพรึกที่หว่างคิ้ว ส่องสว่าง สวยงาม มากๆ ก็หนดทำลายดวงแก้วนั้นซะ เหมือนฟ้าผ่าดังเปรี้ยง!! ดวงแก้วแตกออกเป็น 2 ซีกให้เห็นต่อหน้า แล้วหายไป หลังจากนั้นก็ไม่เกิดนิมิตดวงแก้วประกายพรึกอีกเลย
เมื่อกลับมานั่งสมาธิโดยกำหนดรู้ลมหายใจและภาวนาพุทโธ ประมาณ 2 ชม. เกิด ปีติ สุข ตามลำดับ กายขึ้นมาตั้งตรง ลมหายใจค่อยๆละเอียด จนดับหายไป จิตรวมเป็นหนึ่งแล้วหดเล็กลง พุ่งผ่านรูเล็กๆ สว่างไสวๆ ทอดยาวออกไป เมื่อไปจนสุดจะพบกับ
ความว่างไม่มีประมาณ ไม่มีทิศ ไม่มีทาง
ไม่มีกาลเวลา ไม่มีความสุข ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความคิด ไม่มีลมหายใจ ไม่มีความรู้สึกทางกายใดๆ เหมือนเราอยู่คนละมิติกับกาย ท่ามกลางความว่างนั้น มีจิตประภัสสรส่องสว่างไสวอยู่ เป็นแสงแห่งปัญญา คือ
“จิตบริสุทธิ์รวมเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์ และความสว่างของจักรวาลเดิม”