เพื่อไทยจวกรบ.เยียวยาน้ำท่วม “ไม่ทัน-ไม่พอ-ไม่ถูกหลักการ”
https://www.innnews.co.th/news/news_434403/
เพื่อไทยจวกรัฐบาล”ประยุทธ์”เยียวยาน้ำท่วม “ไม่ทัน ไม่พอ ไม่ถูกหลักการ” ชดเชยน้อยกว่าสมัย”ยิ่งลักษณ์” รีดดอกเบี้ยเงินกู้ 4% ซ้ำเติมเกษตรกร
นาย
ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วมของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการรกระทรวงกลาโหมว่า การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยของรัฐบาลนี้ ทั้ง “ไ
ม่ทัน ไม่พอ และไม่ถูกหลักการ” เพราะจนถึงขณะนี้ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมหนักยังไม่ได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ ซึ่งจะมีผลต่อการช่วยเหลือเยียวยาตามสิทธิ์ที่ควรได้
นาย
ชนินทร์ กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากความเชื่องช้าแล้ว เงินเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบก็น้อยนิดและไม่เพียงพอ เยียวยาเพียงไร่ละ 1,340 บาทเท่านั้น ในขณะที่น้ำท่วมในปี 2554 รัฐบาลนางสาว
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เยียวยาไร่ละ 2,222 บาท แต่เหตุใดเมื่อเวลาผ่านมากว่า 10 ปีในยุคที่ค่าครองชีพแพงทั้งแผ่นดิน เงินเยียวยาอุทกภัยกลับลดลงจากในอดีตถึง 40%
ไม่สมส่วนกับความเสียหายที่ประชาชนต้องได้รับ และค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไป และในเวลาเดียวกันรัฐบาลพลเอก
ประยุทธ์ยังประกาศปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมผ่าน ธกส.วงเงินไม่เกินรายละ 1 แสนบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 4% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการปล่อยกู้ที่อยู่อาศัยโดยทั่วไปในปัจจุบันด้วยซ้ำ
จึงทำให้ยิ่งสงสัยว่ารัฐบาลเข้ามาบริหารงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน หรือมาสร้างภาระให้ประชาชนเพิ่มขึ้นกันแน่ ทั้งที่ควรพิจารณาผ่อนภาระด้วยการพักชำระหนี้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ หรือหากต้องกู้ก็ควรได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำพิเศษ หรือปลอดดอกเบี้ยในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อเร่งให้ประชาชนกลับมายืนได้เร็ว ไม่เป็นภาระระยะยาว ซ้ำเติมปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวที่ก่อขึ้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดนี้หากยังพอมีใจทำงาน ขอให้เรียนรู้จากมาตรการสมัยนายกฯ
ยิ่งลักษณ์ ที่เร่งออกมาตรการเยียวยา และชดเชยรายได้ ได้รวดเร็วและครอบคลุม ทุกวันนี้ประชาชนต้องทนทุกข์มากพอแล้วกับปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาด บางพื้นที่แห้งสนิท บางพื้นที่ท่วมขังยาวนานเป็นเดือน งบประมาณปีปัจจุบันเองก็มีไม่น้อย อย่าบริหารล้มเหลวซ้ำๆ ทำร้ายพี่น้องประชาชนไปมากกว่านี้
‘ชลน่าน’ข้องใจ ประธาน กสทช.ชี้ขาดควบรวม ‘ทรู-ดีแทค’ หวั่นกระทบประชาชน
https://voicetv.co.th/read/t0wDEHT5y
'ชลน่าน' ชี้ควบรวม 'ทรู-ดีแทค' ต้องมีหลักประกันให้ประชาชน ติดใจการออกเสียงของประธาน กสทช. อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
วันที่ 21 ต.ค. 2565 นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุหลังร่วมเปิดงานเทศกาลดิวาลี กรณี กสทช.มีมติรับทราบการควบรวมกิจการของ '
ทรู-ดีแทค' ว่า จากที่ทราบมาว่า มติของกสทช. เข้าข่ายว่าให้มีการควบรวมได้ภายใต้ข้อกำหนด และกติกา เรื่องนี้ถามว่า พรรคเพื่อไทยคิดอย่างไรนั้น ในฐานะหัวหน้าพรรค ยังไม่ได้มีการเอาความเห็นโดยรวมของพรรคมาพิจารณา เพราะช่วงควบรวมตอนแรก เราส่งกรรมาธิการ (กมธ.) เข้าไปร่วมพิจารณาศึกษา ซึ่งเขาจะทำความเห็นออกมา และต้องรอสรุปความเห็นให้เป็นภาพรวมของพรรคเพื่อไทยก่อน
นพ.
ชลน่าน กล่าวอีกว่า ในนามส่วนตัวคิดว่า ถ้าเป็นธุรกิจเดียวกันควบรวมกัน จะทำให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชน เราเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ถ้ามันมีผลกระทบ มีปัญหาแน่นอน เพราะฉะนั้นต้องเอาผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง ถ้าอนุญาตให้มีการควบรวม ต้องมีหลักประกันกำหนดในเรื่องสิทธิของพี่น้องประชาชน
เรื่องที่สองต้องไปดูในกระบวนการการควบรวม หลายฝ่ายมีข้อสงสัยโดยเฉพาะข้อกฎหมาย ต้องไปดูว่า ทำได้หรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นการออกเสียงของตัวประธานนั้นชอบด้วยข้อกฎหมายอย่างไร ซึ่งต้องดูในรายละเอียด
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยจะมีการร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) เพื่อฟ้องร้องขอความคุ้มครองฉุกเฉิน และร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจิตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราจะให้คณะทำงานเราที่รับผิดชอบเรื่องนี้เข้าไปพิจารณา การฟ้องร้องในกลุ่มผู้บริโภคเขาต้องฟ้องร้องเพื่อปกป้องกลุ่มผู้บริโภคเพื่อไม่ให้มีผลกระทบ อันนี้เราต้องเข้าไปดูในรายละเอียด
ครป. ห่วงต่างชาติถือครองคลื่นความถี่-กุมชะตาคนไทย
https://prachatai.com/journal/2022/10/101075
เลขา ครป. ห่วงต่างชาติถือครองคลื่นความถี่-กุมชะตาคนไทย เสนอให้ กสทช.ทบทวนมติควบรวมทรู-ดีแทค เนื่องจากขาดความชอบธรรมเพราะประธานออกเสียงซ้ำ และอาจมีความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
22 ต.ค. 2565 นาย
เมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนแสดงความเห็นภายหลังจาก กสทช. มีมติเห็นชอบการควบรวมธุรกิจระหว่างทรู-ดีแทค โดยเห็นว่าการรวมธุรกิจในกรณีนี้ ไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคมว่า
มตินี้เป็นมติสีเทา ยังไม่ใช่มติเสียงข้างมากที่ชอบธรรม เนื่องจากเสียงเท่ากันคือ 2 ต่อ 2 งดออกเสียง 1 แต่ประธานไปออกเสียงซ้ำให้ตนเองโดยอ้างอำนาจตามข้อ 41 ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ. 2555 ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม ออกโดยที่ประชุม กสทช. ตามมาตรา 23 ของ พ.ร.บ.กสทช. 2553 เป็นเพียงแค่ระเบียบที่ควรใช้กับการบริหารจัดการภายในตามวรรค 1 แต่มติที่กำหนดผลชี้ขาดผลประโยชน์ของชาติมหาศาลควรเป็นเสียงข้างมากของกรรมการอย่างแท้จริงเพื่อรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ตามววรค 2 ที่ควรเป็นมติพิเศษได้รับความเห็นชอบจากกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการทั้งหมด
นอกจากนี้ มาตรา 23-24 ของกฎหมาย กสทช. ไม่ได้อนุญาตให้ไปออกระเบียบให้ประธานออกเสียงซ้ำเพื่อเป็นเสียงข้างมากได้เลย เรื่องนี้กรรมการ กสทช. ควรเสนอให้ทบทวนมติซึ่งสามารถทำได้ตามระเบียบที่ว่าในกรณีจําเป็นและมีเหตุผลอันสมควร ประธาน รองประธาน หรือกรรมการ อาจเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาทบทวนมติในเรื่องนั้นก็ได้ โดยต้องชี้แจงเหตุผล ความจําเป็น แนวทางดําเนินการต่าง ๆ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากเรื่องนี้ส่งผลถึงผู้บริโภคทั่วประเทศในสงครามคลื่นความถี่สาธารณะที่กลุ่มทุนสองกลุ่มใหญ่ต้องการเข้ายึดครองเพื่อผูกขาด การปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. ที่เกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะต้องกระทำโดยมติของที่ประชุมเสียงข้างมากที่ชอบธรรม
ทราบว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคเตรียมฟ้องคุ้มครองชั่วคราว กรณี กสทช.ออกมติควบรวม ทรู-ดีแทค และร้อง ป.ป.ช. เหตุ กสทช. ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่พิทักษ์ผลประโยชน์สาธารณะเพื่อหยุดการควบรวมผูกขาดทั้งที่ก็ทราบกันดีว่า เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน และทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเกิน 50% ซึ่งยังผิดกฎหมายการแข่งขันทางการค้าด้วย
คลื่นความถี่เป็นสมบัติสาธารณะ รัฐจึงต้องกำกับดูแลโดยเราสร้าง กสทช.ขึ้นมาควบคุมจัดการ หากไม่ทำหน้าที่ก็ควบยุบไปแล้วปล่อยให้กลุ่มทุนผูกขาดและบรรษัทข้ามชาติเข้ายึดครองทรัพยากรสาธารณะของส่วนรวมให้หมดสิ้น คนไทยจะได้กลายเป็นทาสในชีวิตประจำวัน ทุกวันนี้การใช้บริการมือถือและโทรคมนาคมต่างๆ ของประชาชนถูกขูดรีดเงินในกระเป๋าทุกเดือนๆ ทั้งที่จริงควรเป็นบริการสาธารณะจากรัฐด้วยซ้ำ แต่ปล่อยให้ทุนใหญ่เข้าถือครอง ส่วน NT ของรัฐปล่อยให้เล็กลงๆ เหลือแค่ร้อยละ 3 ในตลาด ขณะที่การควบรวมจะทำให้ทรู-ดีแทค ก้าวขึ้นมามีอำนาจเหนือตลาดราวร้อยละ 52 และ AIS มีส่วนแบ่งประมาณร้อยละ 44
จริงๆ แล้วกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิตัล ควรเข้าไปถือหุ้นหลักใน AIS และทรู ด้วยซ้ำ เหมือนที่รัฐบาลนอรเวย์โดยกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และการประมง ถือหุ้นใหญ่กว่าร้อยละ 54 ในเทเลนอร์ ซึ่งมาถือหุ้นใหญ่ใน Dtac อีกทีหนึ่งเพราะถือเป็นความมั่นคงของชาติ สิ่งที่น่ากลัวในอนาคตก็คือการปล่อยให้เอกชนทำการผูกขาดทางเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งหมายถึงการผูกขาดชะตากรรม วิถีชีวิตของคนตั้งแต่ตื่นนอน จนถึงตอนหลับ ในการเข้าถึงคลื่นความถี่เพื่อติดต่อสื่อสาร อำนวยความสะดวกในการทำงาน เสพข้อมูลข่าวสารที่สำคัญจำเป็น รวมถึงล้วงเอาเงินในกระเป๋าของประชาชนไปเป็นค่าใช้จ่ายทุกเดือนโดยไม่ทราบว่า ปัจจุบัน กลไกราคามีความสมเหตุสมผลแค่ไหน ทำไมบริษัทเหล่านั้นถึงร่ำรวยมหาศาลจากคลื่นความถี่สาธารณะ
วันนี้มีต่างชาติถือหุ้นอยู่ในบริษัทที่ถือครองคลื่นความถี่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น AIS ที่สิงคโปร์มีหุ้นกว่าร้อยละ 23 และยังมีหุ้นในอินทัชกว่าร้อยละ 21 ขณะที่เทเลนอร์ของนอรเวย์ถือหุ้นใน Dtac กว่าร้อยละ 47 หากเขาเข้าผูกขาดตลาดเกินร้อยละ 50 จะทำให้เกิดปัญหาความมั่นคงของประเทศหรือไม่ เพราะโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นถูกครอบครองโดยทุนต่างชาติ
"ผมอยากฝากไปยังเทเลนอร์และรัฐบาลนอรเวย์ Norwegian Oil Fund ต้องมีธรรมาภิบาลในการลงทุน วัตถุประสงค์ของกองทุนนี้เขียนไว้ชัดเจนไปลงทุนในกิจการที่เห็นว่าดีต่อโลก ด้วยหลักการพัฒนาที่ยั่งยีน มีธรรมาภิบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อลงทุนในรายได้ส่วนเกินจากภาคปิโตรเลียมของนอร์เวย์ ปัจจุบันมีทรัพย์สินกว่า 1.19 ล้านล้านดอลลาร์ และถือหุ้น 1.4% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดของโลก เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลายบริษัทถูกยกเว้นโดยกองทุนด้วยเหตุผลทางจริยธรรม แต่การลงทุนเพื่อเข้าไปผูกขาดทรัพยากรในประเทศกำลังพัฒนา มีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ รัฐบาลไทยจะต้องเฝ้าระวังเรื่องเหล่านี้ รวมถึงการเข้ามาของทุนใหญ่จากสิงคโปร์ด้วย" เมธา ระบุ
JJNY : พท.จวกรบ.เยียวยาน้ำท่วม│‘ชลน่าน’ข้องใจ ปธ.กสทช.│ครป. ห่วงต่างชาติถือครองคลื่นความถี่│กทท. ขึ้นค่าธรรมเนียม
https://www.innnews.co.th/news/news_434403/
เพื่อไทยจวกรัฐบาล”ประยุทธ์”เยียวยาน้ำท่วม “ไม่ทัน ไม่พอ ไม่ถูกหลักการ” ชดเชยน้อยกว่าสมัย”ยิ่งลักษณ์” รีดดอกเบี้ยเงินกู้ 4% ซ้ำเติมเกษตรกร
นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วมของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการรกระทรวงกลาโหมว่า การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยของรัฐบาลนี้ ทั้ง “ไม่ทัน ไม่พอ และไม่ถูกหลักการ” เพราะจนถึงขณะนี้ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมหนักยังไม่ได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ ซึ่งจะมีผลต่อการช่วยเหลือเยียวยาตามสิทธิ์ที่ควรได้
นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากความเชื่องช้าแล้ว เงินเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบก็น้อยนิดและไม่เพียงพอ เยียวยาเพียงไร่ละ 1,340 บาทเท่านั้น ในขณะที่น้ำท่วมในปี 2554 รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เยียวยาไร่ละ 2,222 บาท แต่เหตุใดเมื่อเวลาผ่านมากว่า 10 ปีในยุคที่ค่าครองชีพแพงทั้งแผ่นดิน เงินเยียวยาอุทกภัยกลับลดลงจากในอดีตถึง 40%
ไม่สมส่วนกับความเสียหายที่ประชาชนต้องได้รับ และค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไป และในเวลาเดียวกันรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ยังประกาศปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมผ่าน ธกส.วงเงินไม่เกินรายละ 1 แสนบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 4% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการปล่อยกู้ที่อยู่อาศัยโดยทั่วไปในปัจจุบันด้วยซ้ำ
จึงทำให้ยิ่งสงสัยว่ารัฐบาลเข้ามาบริหารงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน หรือมาสร้างภาระให้ประชาชนเพิ่มขึ้นกันแน่ ทั้งที่ควรพิจารณาผ่อนภาระด้วยการพักชำระหนี้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ หรือหากต้องกู้ก็ควรได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำพิเศษ หรือปลอดดอกเบี้ยในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อเร่งให้ประชาชนกลับมายืนได้เร็ว ไม่เป็นภาระระยะยาว ซ้ำเติมปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวที่ก่อขึ้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดนี้หากยังพอมีใจทำงาน ขอให้เรียนรู้จากมาตรการสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่เร่งออกมาตรการเยียวยา และชดเชยรายได้ ได้รวดเร็วและครอบคลุม ทุกวันนี้ประชาชนต้องทนทุกข์มากพอแล้วกับปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาด บางพื้นที่แห้งสนิท บางพื้นที่ท่วมขังยาวนานเป็นเดือน งบประมาณปีปัจจุบันเองก็มีไม่น้อย อย่าบริหารล้มเหลวซ้ำๆ ทำร้ายพี่น้องประชาชนไปมากกว่านี้
‘ชลน่าน’ข้องใจ ประธาน กสทช.ชี้ขาดควบรวม ‘ทรู-ดีแทค’ หวั่นกระทบประชาชน
https://voicetv.co.th/read/t0wDEHT5y
'ชลน่าน' ชี้ควบรวม 'ทรู-ดีแทค' ต้องมีหลักประกันให้ประชาชน ติดใจการออกเสียงของประธาน กสทช. อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
วันที่ 21 ต.ค. 2565 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุหลังร่วมเปิดงานเทศกาลดิวาลี กรณี กสทช.มีมติรับทราบการควบรวมกิจการของ 'ทรู-ดีแทค' ว่า จากที่ทราบมาว่า มติของกสทช. เข้าข่ายว่าให้มีการควบรวมได้ภายใต้ข้อกำหนด และกติกา เรื่องนี้ถามว่า พรรคเพื่อไทยคิดอย่างไรนั้น ในฐานะหัวหน้าพรรค ยังไม่ได้มีการเอาความเห็นโดยรวมของพรรคมาพิจารณา เพราะช่วงควบรวมตอนแรก เราส่งกรรมาธิการ (กมธ.) เข้าไปร่วมพิจารณาศึกษา ซึ่งเขาจะทำความเห็นออกมา และต้องรอสรุปความเห็นให้เป็นภาพรวมของพรรคเพื่อไทยก่อน
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ในนามส่วนตัวคิดว่า ถ้าเป็นธุรกิจเดียวกันควบรวมกัน จะทำให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชน เราเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ถ้ามันมีผลกระทบ มีปัญหาแน่นอน เพราะฉะนั้นต้องเอาผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง ถ้าอนุญาตให้มีการควบรวม ต้องมีหลักประกันกำหนดในเรื่องสิทธิของพี่น้องประชาชน
เรื่องที่สองต้องไปดูในกระบวนการการควบรวม หลายฝ่ายมีข้อสงสัยโดยเฉพาะข้อกฎหมาย ต้องไปดูว่า ทำได้หรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นการออกเสียงของตัวประธานนั้นชอบด้วยข้อกฎหมายอย่างไร ซึ่งต้องดูในรายละเอียด
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยจะมีการร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) เพื่อฟ้องร้องขอความคุ้มครองฉุกเฉิน และร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจิตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราจะให้คณะทำงานเราที่รับผิดชอบเรื่องนี้เข้าไปพิจารณา การฟ้องร้องในกลุ่มผู้บริโภคเขาต้องฟ้องร้องเพื่อปกป้องกลุ่มผู้บริโภคเพื่อไม่ให้มีผลกระทบ อันนี้เราต้องเข้าไปดูในรายละเอียด
ครป. ห่วงต่างชาติถือครองคลื่นความถี่-กุมชะตาคนไทย
https://prachatai.com/journal/2022/10/101075
เลขา ครป. ห่วงต่างชาติถือครองคลื่นความถี่-กุมชะตาคนไทย เสนอให้ กสทช.ทบทวนมติควบรวมทรู-ดีแทค เนื่องจากขาดความชอบธรรมเพราะประธานออกเสียงซ้ำ และอาจมีความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
22 ต.ค. 2565 นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนแสดงความเห็นภายหลังจาก กสทช. มีมติเห็นชอบการควบรวมธุรกิจระหว่างทรู-ดีแทค โดยเห็นว่าการรวมธุรกิจในกรณีนี้ ไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคมว่า
มตินี้เป็นมติสีเทา ยังไม่ใช่มติเสียงข้างมากที่ชอบธรรม เนื่องจากเสียงเท่ากันคือ 2 ต่อ 2 งดออกเสียง 1 แต่ประธานไปออกเสียงซ้ำให้ตนเองโดยอ้างอำนาจตามข้อ 41 ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ. 2555 ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม ออกโดยที่ประชุม กสทช. ตามมาตรา 23 ของ พ.ร.บ.กสทช. 2553 เป็นเพียงแค่ระเบียบที่ควรใช้กับการบริหารจัดการภายในตามวรรค 1 แต่มติที่กำหนดผลชี้ขาดผลประโยชน์ของชาติมหาศาลควรเป็นเสียงข้างมากของกรรมการอย่างแท้จริงเพื่อรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ตามววรค 2 ที่ควรเป็นมติพิเศษได้รับความเห็นชอบจากกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการทั้งหมด
นอกจากนี้ มาตรา 23-24 ของกฎหมาย กสทช. ไม่ได้อนุญาตให้ไปออกระเบียบให้ประธานออกเสียงซ้ำเพื่อเป็นเสียงข้างมากได้เลย เรื่องนี้กรรมการ กสทช. ควรเสนอให้ทบทวนมติซึ่งสามารถทำได้ตามระเบียบที่ว่าในกรณีจําเป็นและมีเหตุผลอันสมควร ประธาน รองประธาน หรือกรรมการ อาจเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาทบทวนมติในเรื่องนั้นก็ได้ โดยต้องชี้แจงเหตุผล ความจําเป็น แนวทางดําเนินการต่าง ๆ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากเรื่องนี้ส่งผลถึงผู้บริโภคทั่วประเทศในสงครามคลื่นความถี่สาธารณะที่กลุ่มทุนสองกลุ่มใหญ่ต้องการเข้ายึดครองเพื่อผูกขาด การปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. ที่เกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะต้องกระทำโดยมติของที่ประชุมเสียงข้างมากที่ชอบธรรม
ทราบว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคเตรียมฟ้องคุ้มครองชั่วคราว กรณี กสทช.ออกมติควบรวม ทรู-ดีแทค และร้อง ป.ป.ช. เหตุ กสทช. ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่พิทักษ์ผลประโยชน์สาธารณะเพื่อหยุดการควบรวมผูกขาดทั้งที่ก็ทราบกันดีว่า เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน และทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเกิน 50% ซึ่งยังผิดกฎหมายการแข่งขันทางการค้าด้วย
คลื่นความถี่เป็นสมบัติสาธารณะ รัฐจึงต้องกำกับดูแลโดยเราสร้าง กสทช.ขึ้นมาควบคุมจัดการ หากไม่ทำหน้าที่ก็ควบยุบไปแล้วปล่อยให้กลุ่มทุนผูกขาดและบรรษัทข้ามชาติเข้ายึดครองทรัพยากรสาธารณะของส่วนรวมให้หมดสิ้น คนไทยจะได้กลายเป็นทาสในชีวิตประจำวัน ทุกวันนี้การใช้บริการมือถือและโทรคมนาคมต่างๆ ของประชาชนถูกขูดรีดเงินในกระเป๋าทุกเดือนๆ ทั้งที่จริงควรเป็นบริการสาธารณะจากรัฐด้วยซ้ำ แต่ปล่อยให้ทุนใหญ่เข้าถือครอง ส่วน NT ของรัฐปล่อยให้เล็กลงๆ เหลือแค่ร้อยละ 3 ในตลาด ขณะที่การควบรวมจะทำให้ทรู-ดีแทค ก้าวขึ้นมามีอำนาจเหนือตลาดราวร้อยละ 52 และ AIS มีส่วนแบ่งประมาณร้อยละ 44
จริงๆ แล้วกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิตัล ควรเข้าไปถือหุ้นหลักใน AIS และทรู ด้วยซ้ำ เหมือนที่รัฐบาลนอรเวย์โดยกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และการประมง ถือหุ้นใหญ่กว่าร้อยละ 54 ในเทเลนอร์ ซึ่งมาถือหุ้นใหญ่ใน Dtac อีกทีหนึ่งเพราะถือเป็นความมั่นคงของชาติ สิ่งที่น่ากลัวในอนาคตก็คือการปล่อยให้เอกชนทำการผูกขาดทางเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งหมายถึงการผูกขาดชะตากรรม วิถีชีวิตของคนตั้งแต่ตื่นนอน จนถึงตอนหลับ ในการเข้าถึงคลื่นความถี่เพื่อติดต่อสื่อสาร อำนวยความสะดวกในการทำงาน เสพข้อมูลข่าวสารที่สำคัญจำเป็น รวมถึงล้วงเอาเงินในกระเป๋าของประชาชนไปเป็นค่าใช้จ่ายทุกเดือนโดยไม่ทราบว่า ปัจจุบัน กลไกราคามีความสมเหตุสมผลแค่ไหน ทำไมบริษัทเหล่านั้นถึงร่ำรวยมหาศาลจากคลื่นความถี่สาธารณะ
วันนี้มีต่างชาติถือหุ้นอยู่ในบริษัทที่ถือครองคลื่นความถี่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น AIS ที่สิงคโปร์มีหุ้นกว่าร้อยละ 23 และยังมีหุ้นในอินทัชกว่าร้อยละ 21 ขณะที่เทเลนอร์ของนอรเวย์ถือหุ้นใน Dtac กว่าร้อยละ 47 หากเขาเข้าผูกขาดตลาดเกินร้อยละ 50 จะทำให้เกิดปัญหาความมั่นคงของประเทศหรือไม่ เพราะโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นถูกครอบครองโดยทุนต่างชาติ
"ผมอยากฝากไปยังเทเลนอร์และรัฐบาลนอรเวย์ Norwegian Oil Fund ต้องมีธรรมาภิบาลในการลงทุน วัตถุประสงค์ของกองทุนนี้เขียนไว้ชัดเจนไปลงทุนในกิจการที่เห็นว่าดีต่อโลก ด้วยหลักการพัฒนาที่ยั่งยีน มีธรรมาภิบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อลงทุนในรายได้ส่วนเกินจากภาคปิโตรเลียมของนอร์เวย์ ปัจจุบันมีทรัพย์สินกว่า 1.19 ล้านล้านดอลลาร์ และถือหุ้น 1.4% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดของโลก เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลายบริษัทถูกยกเว้นโดยกองทุนด้วยเหตุผลทางจริยธรรม แต่การลงทุนเพื่อเข้าไปผูกขาดทรัพยากรในประเทศกำลังพัฒนา มีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ รัฐบาลไทยจะต้องเฝ้าระวังเรื่องเหล่านี้ รวมถึงการเข้ามาของทุนใหญ่จากสิงคโปร์ด้วย" เมธา ระบุ