สังคมสูงวัย คืออะไร ?
เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะยังดูงง ๆ และสับสนว่าในสังคมไทยก็น่าจะมีคนหลากหลายวัยเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แล้วทำไมจึงมีคำว่าสังคมสูงวัย ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย ดังนั้นเพื่อให้เพื่อนเกิดความเข้าใจตรงกัน ก็คงต้องอธิบายเสียก่อนว่า จากข้อมูลที่เปิดเผยของกรมกิจการผู้สูงอายุ หรือ Department Of Older Persons (DOP) ได้อธิบายว่า ‘สังคมสูงวัย’ จะเป็นสังคมที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุหรือประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่กำลังมีขนาดเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันจำนวนประชากรในวัยทำงานมีก็ขนาดลดน้อยลง และยังมีสัดส่วนของอัตราการเกิดน้อยลงด้วยเช่นกัน นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าจะเพื่อน ๆ จะเดินทางไปที่ไหนในประเทศไทย ก็จะมีโอกาสพบเจอผู้สูงวัยมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็มีโอกาสที่เราจะเจอคนไทยวัยหนุ่มสาวซึ่งเป็นวัยทำงาน รวมทั้ง เยาวชนเด็กน้อยต่าง ๆ ได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตามใช่ว่าสังคมสูงวัยที่ว่านี้ จะมีให้เพื่อน ๆ พบเจอเพียงแค่แบบด้วย เพราะจริง ๆ แล้วเขายังมีคำจำกัดความที่ใช้เรียกสังคมสูงวัยที่ต่างกันด้วย อย่างน้อย ๆ ก็อาจจะช่วยให้เพื่อน ๆ พอทำใจรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ทีนี้เพื่อน ๆ ก็คงจะเกิดความสงสัยแล้วว่า แบบไหนที่เรียกว่า “สังคมสูงวัย” แล้วต้องมีจำนวนประชากรสูงวัยเท่าไร ซึ่งจากการหาข้อมูล โดยอ้างอิงข้อมูลจาก United Nations World Population Ageing นั้นจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก
สังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging Society 
ซึ่งก็คือ ลักษณะสังคมที่จะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับหรือมากกว่า 10% ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกัน หรือลักษณะสังคมที่จะมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับหรือมากกว่า 7% ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อน ๆ อาจจะมองไม่เห็นภาพ ถ้าเราพูดเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ลองมองในอีกมุมที่จะช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นก็คือ สมมติว่าเพื่อน ๆ ไปข้างนอกเจอผู้คน 100 คน เพื่อน ๆ จะพบเจอคนที่เป็นผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 10 คน หรืออาจจะเจอผู้สูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 7 คนนั่นเอง
สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หรือ Aged Society 
ซึ่งก็คือ ลักษณะสังคมที่จะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับหรือมากกว่า 20% ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกัน หรือลักษณะสังคมที่จะมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับหรือมากกว่า 14% ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งถ้าอธิบายให้ภาพจริงง่าย ๆ ก็คือ สมมติว่าเพื่อน ๆ ไปข้างนอกเจอผู้คน 100 คน เพื่อน ๆ จะพบเจอคนที่เป็นผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 20 คน หรืออาจจะเจอผู้สูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 14 คนเลยทีเดียว
. . . . . . . . . .
ซึ่งต้องบอกเลยว่าเมื่อก่อนในอดีตนั้น ประเทศไทยเรามีจำนวนการเกิดมากกว่า 1 ล้านคนในช่วงปี 2506 - 2556 ซึ่งอัตราการเจริญพันธุ์รวมอยู่ที่ 4.9 อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือผู้หญิง 1 คนจะมีลูกเฉลี่ย 5 คนได้เลยทีเดียว แต่ถ้ามองไปในอนาคตอย่างในปี 2576 กลับถูกคาดการณ์ว่า ประเทศไทยเราจะมีจำนวนการเกิดลดลงเหลือเพียง 600,000 คน และอัตราการเจริญพันธุ์รวมอยู่ที่ 1.3 หรืออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือผู้หญิง 1 คนจะมีลูกเฉลี่ยเพียง 1 คนเท่านั้นเอง
เพื่อน ๆ ก็น่าจะเห็นภาพแล้วว่าในอนาคตโอกาสการเกิดจะลดลงมากแค่ไหน ส่วนคนวัยหนุ่มสาวในตอนนี้อย่างเพื่อน ๆ เอง ก็ต้องยอมรับว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า เราก็กำลังเดินทางเข้าสู่วัยชราแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญก็คืออายุของเราอาจจะยืนยาวกว่าผู้สูงวัยในอดีตอีกด้วย เพราะจากการคาดการณ์ในช่วงปี 2568 - 2573 พยากรณ์ไว้ว่า ประชากรชายจะมีอายุยืนยาวเฉลี่ย 75.96 ปี และประชากรหญิงจะมีอายุยืดยาวเฉลี่ย 82.66 ปี ซึ่งก็เป็นค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยหากเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในปัจจุบันที่พบว่า ประชากรชายจะมีอายุยืนยาวเฉลี่ย 71.93 ปี และประชากรหญิงจะมีอายุยืดยาวเฉลี่ย 78.82 ปี
. . . . . . . . .
แล้วสังคมผู้สูงอายุ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยทั่วไปจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง ?
หากเพื่อน ๆ ตั้งคำถามว่า สำหรับประเทศไทย จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง ที่เป็นผลกระทบมาจากสังคมสูงวัย เรื่องใกล้ตัวง่าย ๆ เลยก็คือ จำนวนคนทำงานจะน้อยกว่าจำนวนคนที่ไม่สามารถทำงานได้ เพราะอย่าลืมว่าการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ นั้น ส่วนหนึ่งก็จำเป็นที่จะต้องนำมาจากการเก็บภาษีของประชากรในประเทศ สังเกตง่าย ๆ เวลาเพื่อนทำงานประจำ เมื่อถึงสิ้นเดือนก็จะได้รับเงินเดือน
ซึ่งส่วนหนึ่งของเงินเดือนเราก็จะถูกหักภาษีเงินได้ออกไป ทีนี้หากเป็นกลุ่มคนสูงวัยที่ไม่ได้ทำงาน ก็ย่อมจะไม่มีรายได้ ทำให้เก็บภาษีไม่ได้ตามไปด้วย ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็ยังมีสวัสดิการต่าง ๆ ให้กับผู้สูงวัย เช่น เบี้ยยังชีพ เป็นต้น เท่ากับว่าภาครัฐของสังคมสูงผู้วันก็จะเกิดภาพรวมที่มองเห็นง่าย ๆ ก็คือ การเก็บภาษีเงินได้น้อยลง แต่กำลังจะมีรายจ่ายในภาคประชาชนมากขึ้น
ส่วนทางออกของเรื่องนี้ หากเรามองว่าเรากำลังจะเป็นผู้สูงวัยในอีกไม่ช้า หรือแม้จะยังเหลือเวลาให้เตรียมตัวอีกมาก แต่ก็ไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง อ่านบทความต่อได้ที่ :
https://bit.ly/3CTVOu4
สังคมผู้สูงอายุไทย จะเริ่มเมื่อไหร่ ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง?
เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะยังดูงง ๆ และสับสนว่าในสังคมไทยก็น่าจะมีคนหลากหลายวัยเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แล้วทำไมจึงมีคำว่าสังคมสูงวัย ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย ดังนั้นเพื่อให้เพื่อนเกิดความเข้าใจตรงกัน ก็คงต้องอธิบายเสียก่อนว่า จากข้อมูลที่เปิดเผยของกรมกิจการผู้สูงอายุ หรือ Department Of Older Persons (DOP) ได้อธิบายว่า ‘สังคมสูงวัย’ จะเป็นสังคมที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุหรือประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่กำลังมีขนาดเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันจำนวนประชากรในวัยทำงานมีก็ขนาดลดน้อยลง และยังมีสัดส่วนของอัตราการเกิดน้อยลงด้วยเช่นกัน นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าจะเพื่อน ๆ จะเดินทางไปที่ไหนในประเทศไทย ก็จะมีโอกาสพบเจอผู้สูงวัยมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็มีโอกาสที่เราจะเจอคนไทยวัยหนุ่มสาวซึ่งเป็นวัยทำงาน รวมทั้ง เยาวชนเด็กน้อยต่าง ๆ ได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตามใช่ว่าสังคมสูงวัยที่ว่านี้ จะมีให้เพื่อน ๆ พบเจอเพียงแค่แบบด้วย เพราะจริง ๆ แล้วเขายังมีคำจำกัดความที่ใช้เรียกสังคมสูงวัยที่ต่างกันด้วย อย่างน้อย ๆ ก็อาจจะช่วยให้เพื่อน ๆ พอทำใจรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ทีนี้เพื่อน ๆ ก็คงจะเกิดความสงสัยแล้วว่า แบบไหนที่เรียกว่า “สังคมสูงวัย” แล้วต้องมีจำนวนประชากรสูงวัยเท่าไร ซึ่งจากการหาข้อมูล โดยอ้างอิงข้อมูลจาก United Nations World Population Ageing นั้นจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก
สังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging Society
ซึ่งก็คือ ลักษณะสังคมที่จะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับหรือมากกว่า 10% ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกัน หรือลักษณะสังคมที่จะมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับหรือมากกว่า 7% ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อน ๆ อาจจะมองไม่เห็นภาพ ถ้าเราพูดเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ลองมองในอีกมุมที่จะช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นก็คือ สมมติว่าเพื่อน ๆ ไปข้างนอกเจอผู้คน 100 คน เพื่อน ๆ จะพบเจอคนที่เป็นผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 10 คน หรืออาจจะเจอผู้สูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 7 คนนั่นเอง
สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หรือ Aged Society
ซึ่งก็คือ ลักษณะสังคมที่จะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับหรือมากกว่า 20% ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกัน หรือลักษณะสังคมที่จะมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับหรือมากกว่า 14% ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งถ้าอธิบายให้ภาพจริงง่าย ๆ ก็คือ สมมติว่าเพื่อน ๆ ไปข้างนอกเจอผู้คน 100 คน เพื่อน ๆ จะพบเจอคนที่เป็นผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 20 คน หรืออาจจะเจอผู้สูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 14 คนเลยทีเดียว
เพื่อน ๆ ก็น่าจะเห็นภาพแล้วว่าในอนาคตโอกาสการเกิดจะลดลงมากแค่ไหน ส่วนคนวัยหนุ่มสาวในตอนนี้อย่างเพื่อน ๆ เอง ก็ต้องยอมรับว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า เราก็กำลังเดินทางเข้าสู่วัยชราแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญก็คืออายุของเราอาจจะยืนยาวกว่าผู้สูงวัยในอดีตอีกด้วย เพราะจากการคาดการณ์ในช่วงปี 2568 - 2573 พยากรณ์ไว้ว่า ประชากรชายจะมีอายุยืนยาวเฉลี่ย 75.96 ปี และประชากรหญิงจะมีอายุยืดยาวเฉลี่ย 82.66 ปี ซึ่งก็เป็นค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยหากเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในปัจจุบันที่พบว่า ประชากรชายจะมีอายุยืนยาวเฉลี่ย 71.93 ปี และประชากรหญิงจะมีอายุยืดยาวเฉลี่ย 78.82 ปี
หากเพื่อน ๆ ตั้งคำถามว่า สำหรับประเทศไทย จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง ที่เป็นผลกระทบมาจากสังคมสูงวัย เรื่องใกล้ตัวง่าย ๆ เลยก็คือ จำนวนคนทำงานจะน้อยกว่าจำนวนคนที่ไม่สามารถทำงานได้ เพราะอย่าลืมว่าการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ นั้น ส่วนหนึ่งก็จำเป็นที่จะต้องนำมาจากการเก็บภาษีของประชากรในประเทศ สังเกตง่าย ๆ เวลาเพื่อนทำงานประจำ เมื่อถึงสิ้นเดือนก็จะได้รับเงินเดือน
ซึ่งส่วนหนึ่งของเงินเดือนเราก็จะถูกหักภาษีเงินได้ออกไป ทีนี้หากเป็นกลุ่มคนสูงวัยที่ไม่ได้ทำงาน ก็ย่อมจะไม่มีรายได้ ทำให้เก็บภาษีไม่ได้ตามไปด้วย ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็ยังมีสวัสดิการต่าง ๆ ให้กับผู้สูงวัย เช่น เบี้ยยังชีพ เป็นต้น เท่ากับว่าภาครัฐของสังคมสูงผู้วันก็จะเกิดภาพรวมที่มองเห็นง่าย ๆ ก็คือ การเก็บภาษีเงินได้น้อยลง แต่กำลังจะมีรายจ่ายในภาคประชาชนมากขึ้น