แนะนำคลินิกทางด้านจิตเวชในเชียงใหม่หน่อยค่ะ

ขอเล่าหน่อยนะคะ
เคยได้รับวินิจฉัยว่าเป็นซึมเศร้าตอนช่วงตอนม.6 ตอนนั้นอะไรๆเริ่มลงตัวกับชีวิตแต่ก็หนีความดิ่งและปมในใจไม่ได้จริงๆ แล้วช่วงตอนนั้นก็เริ่มมีแฟนค่ะ เขานับได้ว่าเป็นคนฮอตของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ แต่กลับมาชอบเราที่ค่อนข้างจะห้าวด่องๆ  บวกกับเขาเองก็มีแฟนอยู่แล้ว ในตอนแรกเลยไม่เชื่อไม่โอเคที่คนอื่นชอบบอกว่าเขากำลังจีบเราอยู่ ทั้งเขาและแฟนเขาเป็นรุ่นน้องเราทั้งคู่ค่ะ ตอนแรกการที่เขามาจีบเรามันเป็นเรื่องtoxicสำหรับเรามาก เราไม่โอเคที่เราอาจจะเป็นฉนวนที่ทำให้ใครสักคนต้องเสียใจแน่ๆ แต่ทุกอย่างก็ถูกกลืนลงคอของเราเอง เพราะเราใจแข็งไม่มากพอ เราพ่ายแพ้ให้กับความพยายามของเขา ตอนแรกที่เขามายอมรับว่าจีบเราจริงๆ เราออกตัวปฏิเสธตั้งแต่ตอนนั้นว่าอย่าสานต่ออะไรเลย ไม่อยากถูกตราหน้าว่าแย่งของใครทั้งๆที่ความจริงก็อยู่ของตัวเองดีๆ ตอนแรกเหมือนเขาจะยอมแพ้และหายไป แต่สักพักเขาก็กลับมาบอกว่าเขาเลิกกับแฟนเขาแล้ว 

ผ่านไปประมาณเกือบ2เดือนเราก็คบกับน้องเขาค่ะ เขาทำลายกำแพงทุกอย่างในใจเรา ตอนเราเศร้าเขาไม่เคยหายไป มีครั้งนึงทะเลาะกับที่บ้านช่วงกีฬาสี เพราะแม่ดันไเห็นยารักษาอาการนอนไม่หลับเลนเค้นเราทุกอย่างจนเราระเบิดออกมา ผลที่ได้คือแม่ไม่เข้าใจค่ะ ไม่เข้าใจว่าเครียดทำไมอายุแค่นี้ เศร้าจนต้องกินยาเลยหรอ อะไรมันจะขนาดนั้น เศร้าจนจะตายหรือยังไง
คืนนั้นเขาอยู่ฟังเราทั้งคืนจนหลับไป ตอนเช้าเลยอ้างกับที่บ้านว่าจะออกบ้านเช้าเพราะต้องไปเตรียมจัดงาน จริงๆเราแค่อยากไปให้พ้นจากที่ๆมันtoxic พอตี5ครึ่งเราก็ไปนั่งๆนอนๆโง่ๆอยู่หน้าห้องตัวเอง สักพัก6โมงฟ้าเริ่มสว่างนิดหน่อย เขาก็เดินเข้ามาในโรงเรียน มาอยู่กับเรา จังหวะแรกคืออบอุ่นมาก ท่ามกลางความว่างเปล่าไร้คนในโรงเรียน กลับมีผู้ชายใส่เสื้อคณะสี สีชมพู กางเกงวอร์ม กระเป๋าเป้สีดำเดินดุ่มๆมาทางเรา ทั้งๆที่เราเศร้าแต่กลับยิ้มได้ที่ได้เห็นเขา ฟังดูจะนิยายไปหน่อยแต่เรื่องจริงทั้งหมดค่ะ เขาเดินมานั่งยองๆหน้าเราที่กำลังนั่งหน้าระเบียง สายตา ท่าทาง มือที่จับเราไว้ และน้ำเสียงของเขาตอนนั้นมันทำให้โลกของเราตอนนั้นมันดูดีขึ้นมาจริงๆ ตอนแรกเราแค่อยากเอาชนะ เรารู้สึกดีเวลาเป็นที่สนใจ เป็น topic สนทนาของใครหลายๆคน เราเสพติดการมีแสง โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่ามันเป็นการเอาความสุขของตัวเองไปผูกไว้กับเรื่องที่สามารถหันมาทำร้ายเราได้ทุกเมื่อ เราคิดแค่ว่าเราจะทำทุกอย่างที่เรามีสิทธิ์ทำ ทำทุกอย่างที่ทำแล้วเราเชื่อว่านั่นคือความสุข และแล้วจุดที่วิกฤตที่สุดก็มาถึงโดยที่เราเองก็ไม่เอ๋ะใจเลยสักนิด นั่นก็คือเราเชื่อสนิทใจว่าเขานั่นแหละความสุขของเรา เชื่อสนิทใจว่าโลกใบนี้จะเป็นยังไงก็ไม่เป็นไร ชีวิตเราด้านอื่นๆจะแย่แค่ไหนก็ไม่เป็นไร เราจะก้าวข้ามไปได้ทุกอย่าง ขอแค่ชีวิตนี้ยังมีเขาอยู่ 

เราเป็นคนไม่ค่อยเอาครอบครัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ หมายถึงครอบครัวเราไม่ค่อยอบอุ่นสักเท่าไหร่ ทุกคนในครอบครัวค่อนข้างจะเฉยๆกับเรื่องต่างๆของแต่ละคน อย่างเช่นเราที่ตั้งแต่ม.2ละมั้งถ้าจำไม่ผิด เวลาไม่สบายเป็นอะไร เราก็จะไปโรงพยาบาล หรือหายากินเอง ถ้าไม่จำเป็นอะไร ยังไหว ดูแลตัวเองได้ ก็ไม่ขอให้ที่บ้านพาไป หรือบอกที่บ้าน 

ตอนประถมเราเคยถูก Boycott จากกลุ่มเพื่อน เพราะว่าเราเป็นเด็กแก่นที่ครูชอบเรียกใช้ค่ะ อีกอย่างตอนนั้นเราน่าจะอีโก้สูงแต่เด็ก คงจะเป็นที่หมั่นไส้กันน่าดู พอขึ้นม.ต้นเราก็มีปัญหากับเพื่อนสนิทที่มาเรียนที่เดียวกันจากโรงเรียนเดิม เพราะเราดูจะสนิทกับเพื่อนใหม่เร็ว เหมือนจะเคยโดนว่าว่าเห่อเพื่อนใหม่แล้วลืมเพื่อนมั้ง จำได้ว่าเราลดอีโก้ตัวเองลงเยอะมาก เป็นคนเฟรนลี่มาก อารมณ์ดีทั้งวันแบบสุดขั้ว เพื่อนเยอะ คนรู้จักเยอะ ยิ้มตลอด หัวเราะเก่งมาก แตกต่างกับตอนเวลาอยู่บ้าน เราคือเด็กintrovert ที่พอออกบ้านทีก็มีคนชอบทักว่าไปเรียนที่ไหนมา โตแล้วหรอ ไม่เห็นหน้าตั้งนาน ทั้งๆที่เราก็อยู่บ้านตลอด ไม่คุยกับใครแม้แต่คนในบ้านถ้าไม่มีใครชวนคุย รู้สึกไม่ค่อยมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทักใคร ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่มีอะไรให้ตลก

ม.ปลายเราเริ่มมีคนคุยบ้าง มีแฟนบ้างในสักระยะเวลาหนึ่ง พอเบื่อก็เลิกเป็นว่าเล่น เราไม่ค่อยรู้สึกหรือสัมผัสคำว่ารักจริงๆได้จากใครในชีวิต เรารู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริงบนโลกใบนี้ ขนาดคนที่อยู่ด้วยกันมาเป็บสิบๆปี ยังทนอยู่ด้วยกันด้วยเสียงด่า ตะคอก ตะโกน กำลัง ทำลายข้าวของ อารมณ์ คำหยาบคาย บั่นทอน toxic ดูถูก ทุบตี และเพราะเหตุผลอย่างอื่นที่ไม่ใช่ความรักเลย ใช่ค่ะ พ่อกับแม่เราเอง เคยได้ยินตอนที่ทั้งสองคนทะเลาะกันหนัก แม่บอกว่าพ่อแต่งงานกับแม่เพื่อเอาชนะย่าที่พยายามคลุมถุงชน แม่เคยต้องมาทนอยู่ในที่ๆมีแต่คนเกลียดและไม่ได้ต้อนรับแม่ ความจริงของทุกอย่างที่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเป็นหลานคนเดียวที่ถูกทรีดไม่เหมือนหลานคนอื่นมาตลอด ทำไมคนในซอย ในหมู่บ้านถึงมองเราด้วยสายตาแปลกๆเสมอมา ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกอย่างถูกยืนยันด้วยแววตาของพ่อ ใช่ค่ะ สิ่งที่แม่พูด เป็นความจริงและเหตุผลของทุกความอึดอัดนี่เอง

 ตอนเด็กเราน่าจะเป็นเด็กที่โดนพ่อแม่ตีบ่อยในซอยแล้วมั้ง หรือไม่ก็อาจจะในหมู่บ้าน ห้องน้ำคงเป็นที่ๆเราร้องไห้บ่อยสุดแล้วแหละ ตั้งแต่ที่จำได้มา19ปี ชีวิตม.ปลายเริ่มได้ลองทำอะไรใหม่ๆมากขึ้น ได้เรียนรู้ชีวิต ความรับผิดชอบ การโตเป็นผู้ใหญ่ การจัดการชีวิตและความคิดของตัวเอง และใช่ค่ะ ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นและเติบโตไปพร้อมกับการต้องเสียอะไรหลายๆอย่างไป พอเราเริ่มรู้ตัวว่าอะไรคือตัวเรา และเราก็ลองเป็นมันดู เราโอเคกับมันมากค่ะ แต้ต้องแลกกับกับความผิดหวังในตัวเราจากคนรอบข้าง ครูที่เคยสนิทก็ไม่ได้คุยกับเรา ซัพพอร์ตเรา หรือแม้แต่สายตาเดิมที่เคยมองเรา มันไม่ได้เปนแบบนั้นอีก เพื่อนที่เคยสนิทก็เริ่มหายไปแล้วค่ะ อารมณ์วัยรุ่นของเราที่หวังดีกับเพื่อนกลายเป็นมีดที่ทิ่มแทงแผลของเพื่อนที่บอบช้ำอยู่แล้ว ให้อักเสบหนักไปอีก และทุกๆการกลับบ้าน คือช่วงเวลาอันน่าใจหนักใจของเราเสมอ เรารู้สึกว่าการก้าวเข้าบ้านหลังนั้น ไม่มีใคีสามารถฟังเราได้ เพราะจากที่เราเห็น มีแต่คนพูดเรื่องของตัวเอง แถมยังพูดเรื่องของเราเหมือนรู้ดีทุกข้อ ทั้งที่เราไม่เคยปริปากพูดและทุกคนไม่เคยปริปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น เกือบผ่านม.ปลายมาด้วยหัวใจที่บอบช้ำแต่ทำได้แค่แสดงออกด้วยใบหน้ายิ้มตลอดเวลา เพราะคนสำคัญในชีวิตเริ่มหายไป แถมคนที่เจอทุกวันเช่นคนในครอบครัวก็ไม่แม้แต่จะยินดีหรือภูมิใจ ที่ลูกสาวคนโตคนนี้ได้เข้าเรียนในที่ดีๆกับลูกคนอื่นเขาเหมือนกันนะ

แต่ตอนนี้เราอายุ20แล้วค่ะ เพิ่ง20ตอนพฤษภาที่ผ่านมา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เรารักและเฝ้ารอพฤษภาในทุกๆปี เรารู้สึกว่ามันพิเศษ เพราะเป็นเพียงวันเดียวในรอบ1ปีของทุกปี ที่เราจะจำช่วงเวลาทั้งวันได้ แต่พอหลังจากพฤษภาปีนี้ เราก็ไม่อยากให้มีพฤษภาคมในทุกๆปีอีกแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้เรากำลังเรียนอยู่มหาลัยแห่งนึงในเชียงใหม่ สเตปแรกของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ตอนปี1ค่อนข้างโอเคค่ะ  แต่เราไม่ได้ติดต่อหมอที่รักษาอาการซึมเศร้าของเราอีกเพราะคิดว่าเราดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องพึ่งยาใดๆ หรือไปหาหมออะไรอีก (ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ทำตามอย่างยิ่งนะคะ การรักษาควรกินยาตามหมอสั่งและเข้าพบหมอเป็นประจำตามหมอนัดห้ามหยุดยาหรือหยุดหาหมอเด็ดขาดเพราะการกลับมาเป็นรอบสองไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอยู่กับมันอีกครั้งนะคะคนเก่ง)

เราค่อนข้างจำกัดตัวเองเยอะอยู่เพราะตอนนั้นค่อนข้างติดแฟนที่คบกันมาเกือบปี เขาจะอยู่ม.ปลาย เราอยู่ปี1 ถึงแม้จะเป็นอย่างงั้นแต่กลับเป็นเราที่งอแง และงี่เง่ากว่าค่ะ เขาเป็นเด็กวัยรุ่นตอนปลายที่กำลังเห่อชีวิตในวัยนี้ เริ่มได้ลองทำอะไรใหม่ๆ เริ่มเข้าสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ระบบชีวิตใหม่ ซึ่งเขาค่อนข้างยังจัดการไม่ลงตัว หมายถึงเวลาที่ะเจียดมาให้เรานั้นค่อนข้างจะไม่ลงตัว ถามว่าแล้วทำไมเราโตแล้วถึงยังง๊องแง๊งกับเรื่องแบบนี้อยู่ ก็คงตอบได้คำเดียวว่าเขาเป็นคนแรกที่ได้ความรักทั้งชีวิตของเราไปมั้งคะ ฟังดูเพ้อเจ้อมากกับความรักในวัยนี้ ดูงมงายดี แต่มันกลับเป็นความจริงทั้งหมด เรารักเขามากค่ะ รักจนแยกไม่ออกว่าอันไหนควรซัพพอร์ตให้พอดี เรารู้แค่ว่าเรามีอะไรที่ช่วยเขาได้ ทำเพื่อเขาได้ เราจะทำ ทำอย่างเต็มใจและเต็มที่ งานเขาบางวันทำไม่ทันเราก็นั่งปั่นให้ถึงแม้เขาหลับไปแล้ว วันที่เขาว่างส่วนมากเขาก็จะเลือกทำอย่างอื่น ที่ไม่ใช่เลือกคุยกับเป็นอันดับแรก เป็นแบบนี้แหละค่ะ ตั้งแต่เรามาเรียนมหาลัย และเขาเข้าสู่ชีวิตม.ปลาย กับแฟนเราเป็นคนไม่หวงของเลย เงินหรืออะไรเราให้ได้ทุกอย่างค่ะ ขอแค่เขามีความสุขดี และหวังว่าในช่วงเวลาแห่งความสุขของเขาจะเห็นเราเป็นอันดับแรก มันเกิดขึ้นน้อยแต่ก็เกิขึ้นอยู่บ้างค่ะ ใจฟูมาก  ตอนเราสำคัญกับใครสักคนที่เรารัก เขารับรู้ทุกข้อเสีย ทุกข้อไม่น่ารักแต่เขาก็ยังอยู่ตรงนี้ เขาเป็นผู้ฟังที่ดีของเราทุกครั้งเวลาเราโมโหอะไรสักอย่าง ปลอบใจอละคอยเตือนว่าเค้ายังอยู่ตรงนี้ไงคนเก่ง เค้าคือของเธอไงคะอ้วนจะต้องกลัวอะไรอีก ทำไมไม่ยอมกินข้าว เค้าคิดถึงเธอจังเลย เป็นเด็กดีได้ไหมอ้วน อ้วนจุ๊บเค้าหน่อย จุ๊บดีๆอย่ากวนตีน วันนี้ได้คุยกับแม่มากขึ้นยัง ได้เล่าเรื่องอะไรให้พ่อฟังมั้ย คุยกับที่บ้านเยอะๆนะคับ ถึงที่บ้านจะไม่แสดงออกแต่เค้าเชื่อว่าทุกคนรักเธอนะอ้วน วันนี้กินยาด้วยนะห้ามดื้อ "อ้วนคับเค้ารักเธอนะ อยู่กับเค้าไปนานๆนะ ตลอดไปเลยนะคะ" เขาน่ารักมากสำหรับเรา  เรารู้สึกปลอดภัยเวลาอ่อนแอ รู้สึกอบอุ่นเวลาเศร้า รู้สึกอิ่มเอมเวลามีความสุข ทุกอย่างมาจากเขาทั้งนั้นเลยค่ะ 

และแล้วก็หมดเวลาแห่งความสุขแล้วค่ะ
วันที่23 พฤษภาคม พ.ศ.2565
"เลิกกันนะครับ เค้าขอโทษ"
ตอนแรกก็ว่าตัวเองจะผ่านไปได้แน่ เพราะคนรอบตัว สภาพแวดล้อม  ทุกอย่างตอนนี้มันดี มันลงตัวหมดแล้ว ความรู้สึกบางอย่างมันยังแก้ไม่ได้สักที
วันนี้ผ่านมาประมาณ4เดือนแล้วค่ะ และตอนนี้เรารู้เราเหนื่อย เหนื่อยมากที่จะรักษามัน ทุกครั้งที่ออกไปฮีลใจ ยิ่งสนุก ยิ่งมีความสุขและเป็นตัวเองมากเท่าไหร่ พอกลับมาห้อง กลับมาที่ของตัวเองก็เอาอีกแล้ว ถูกอดีตต่างๆทั้งดีและไม่ดีตลอดชีวิตดึงกลับไปสู่ความหมองหม่นในใจอีกครั้ง
และใช่ค่ะอีกครั้ง เราว่าเรา...คงต้องไปหาคุณหมออีกครั้งแล้วล่ะค่ะ คราวนี้ไม่ใช่แค่โรคเดียวด้วย ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบนะคะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับผู้ที่อ่านเรื่องสั้นทั้งชีวิตของเราด้วยค่ะ ขอบคุณที่ตั้งใจรับฟังเรานะคะ ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่