ฤดูหนาวนี้ กับการคาดการณ์ระยะไกล

และแล้วช่วงเวลานี้ของปีก็ได้เวียนกลับมาอีกครั้ง หลายวันมานี้จะสังเกตได้ว่า ลมบนชักจะเปลี่ยนมาทางทิศตะวันออกแล้ว หรือก็คือสัญญาณแรกแห่งฤดูหนาวได้แผ่กลับมายังบริเวณประเทศไทยอีกครั้ง และก็เช่นเดิมครับ หากท่านผู้อ่านที่ตามกระทู้เกี่ยวกับสภาพอากาศมาอยู่แล้วก็น่าจะเห็นผมมาตั้งกระทู้อะไรยังงี้ทุกปี (ก็หวังว่าจะไม่เบื่อกันไปก่อนนะครับ -_-)  ถูกมั่งผิดมั่งก็ว่ากันไป (โฮ) และปีนี้ก็เลยเลือกมามันตั้งแต่ต้นตุลาคมเลย (ฮา)

เพื่อไม่ให้ยืดเยื้อไปกว่านี้ เรามาเข้าเรื่อง และมาดูกันว่าทำไมปีนี้ผมจึงมาตั้งกระทู้นี้ (แถมมาเร็วกว่าทุกๆปีอีก)

อย่างที่ทราบกันดีนะครับ สภาพอากาศโลกที่ผันแปรได้ ถูกกำหนดจากอุณหภูมิน้ำทะเลของโลก ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมันกินพื้นที่ถึง 3/4 ผิวโลก, แถมความจุความร้อนจำเพาะก็มากกว่าอากาศบริเวณผิวดิน ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่เร็วเท่าบนบก สเกลการเปลี่ยนแปลงของผิวน้ำจึงเป็นได้ตั้งแต่ระดับสัปดาห์ ไปจนถึงหลายปี (ต่างกับอากาศผิวดินที่เปลี่ยนมันได้ตั้งแต่หลักวัน ไปจนถึง นาที) เพราะงั้นหากเข้าใจความสัมพันธ์ของ แรง (ความกดอากศ) ของอากาศที่ไหลไปมาเนื่องจากความต่างของบริเวณ บก กับ ทะเล ได้ ก็ย่อมนำไปคาดเดาการไหล "ลม" ได้ และนั่นก็ย่อมทำให้เราสามารถเดาคร่าวๆได้ว่าในระยะยาว (สเกลการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวน้ำนั่นแหละ) ลมน่าจะไหลมาทางไหน ทิศทางใด รวมถึงแรงเท่าใดโดยเฉลี่ย

ผมอาจจะไม่เขียนซ้ำยาวมากนะครับว่า แต่ละปัจจัยที่จะกล่าวต่อไปนี้มีการทำงานอย่างไรบ้าง เพราะได้เคยเขียนไปบ้างแล้ว เลยอาจเขียนแต่พอสังเขป และหากมีท่านใดสนใจก็สามารอ่านได้จากกระทู้เก่าๆที่ผมเคยตั้งไว้จากลิงก์ด้านล่างครับ

https://pantip.com/topic/41070754
https://pantip.com/topic/41173238
https://pantip.com/topic/41354420

เริ่มกันที่ ENSO กันเช่นเดิม


ปีนี้ก็เป็นอีกปีที่เราอยู่ในสภาวะ La Nina แถมเป็น La Nina  3 ปีติดด้วย (Triple dip) ตั้งแต่บันทึกมา 80 ปี ก็มีแค่ 3 ครั้งเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ โดยก่อนหน้านี้ มี ปี 1954 - 1957 ปี 1973-1976 และปี 1998-2001 ตามลำดับ แถมในปีล่าสุดนี้ เรายังอยู่ในสภาวะ La Nina ลากยาวมาจากปีที่แล้วด้วย ซึ่งผลก็คืออย่างที่เห็นกัน ปีนี้ฝนตกกันอย่างฟ้าแทบรั่ว (โฮ)

แล้วจะส่งผลอย่างไรกับช่วงหน้าหนาว ? จริงๆแล้วก็ตรงไปตรงมาคือ หากเป็นสภาวะ La Nina โลกจะเย็นลงกว่าปกติ ซึ่งย่อมหมายถึงโอกาสที่ลมหนาวต้นทางจะหนาวได้มากกว่าปกติ จึงทำให้ลมหนาวที่มาถึงไทยควรที่ต้องเย็นกว่าปกติเช่นกันครับ

มาดูปัจจัยอีกตัวญาติๆกับทาง ENSO ซึ่งก็คือ PDO 

จากรูปจะเห็นได้เลยนะครับ ว่าค่า PDO ตอนนี้ค่าติดลบมาก และติดลมมาได้สักพักหลายปีแล้ว

และมันหมายความว่าอะไร ก็คล้ายๆกับ ENSO ก็คือ มันยิ่งเพิ่มความมั่นใจไปอีกว่าลมหนาวต้นทางจะมาได้แรง อีกปีหนึ่ง

ที่นี้ก็มาดูกันว่าสภาพอุณหภูมิผิวน้ำทะเลท้องถิ่นเป็นอย่างไรกันบ้าง
จะเห็นได้ว่า ตอนนี้ทะเลจีนใต้ และทางทิศใต้ของญี่ปุ่นยังคงร้อนอยู่กว่าปกติมาก

ซึ่งก็ยังไม่สามารถบอกอะไรได้มากนัก เนื่องจากตอนนี้ยังห่างจากช่วงกลางฤดูหนาวอย่าง ช่วงกลางๆธันวาคม ถึง 2 เดือน แต่จุดหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือ อุณหภูมิน้ำทะเลที่เย็นมากแถวทะเลเหลือง (เส้นอุณหภูมิผิวทะเล 27 องศาเซลเซียส เลื่อนมาถึงเซี่ยงไฮ้ค่อนข้างไวมาก) แสดงให้เห็นว่าลมหนาวจากจีนได้แผ่มาเร็ว แรง จึงทำให้พายุใต้ฝุ่นที่จะเข้าไปทางเกาหลีไม่สามารถเป็นไปได้อีกต่อไป
นั่นจึงหมายถึงว่าหลังจากนี้ หากมีพายุก่อตัวบริเวณฟิลิปปินส์ตะวันออก (ซึ่งก็น่าจะมีได้อีกหลายลูก เพราะทะเลบริเวณนั้นยังร้อนอยู่มาก) จะสามารถมาได้ 2  คือ ทางทะเลจีนใต้ แล้วเข้ามาทางเวียดนาม หรือไม่ก็ขึ้นไปทางริวกิว แล้วสลายไปแถวใต้ ญี่ปุ่น และหากมีพายุก่อตัวเยอะเช่นนั้นจริง อุณหภูมิน้ำทะเล แถวทะเลจีนใต้ และทางทิศใต้ญี่ปุ่นจะค่อยๆเย็นลงเรื่อยๆ ทันช่วงกลางฤดูหนาวที่เราต้องการให้ทะเลบริเวณดังกล่าวเย็นพอสำหรับการแผ่ลงมาของลมหนาวได้อย่างสะดวกโยธิน จุดนี้ก็ต้องมาติดตามดูกันครับ

อีกปัจจัยนึงของปีนี้ที่ไม่เหมือนกับปีไหนๆที่ผ่านมา และส่วนตัวคิดว่าเป็นเหตุผลหลักเลยที่ผมเลือกมาตั้งกระทู้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาฯ ก็คือ

ปีนี้มีปัจจัยของภูเขาไฟตองกาที่ระเบิดไปต้นปีมาเกี่ยวข้องด้วย

หากจำกันได้นะครับช่วงต้นปีที่ผ่านมาเราได้เจอกับการระเบิดของภูเขาไฟครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ครั้งก่อนหน้าที่แรงขนาดนี้ก็คือ พินาตูโบ ปี 1991 ซึ่งครั้งนั้นก็ส่งผลให้โลกโดยเฉลี่ยเย็นลงไป 2-3 ปีเลยทีเดียว เทียบกับครั้งนี้ การปะทุของมันก็รุนแรงได้ไม่ต่างกันกับของ พินาตูโบ แต่จะต่างกันก็ตรงที่ว่ารอบนั้นมันเป็นการระเบิดของภูเขาไฟ"ธรรมดาๆ" คือ ได้แค่พ่นเถ้าถ่านขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศด้านบน และทำการบดบังแสงอาทิตย์ โลกจึงเย็นลง แต่ในคราวนี้เนื่องจาก ภูเขาไฟตองกามันอยู่ใต้น้ำ เพราะงั้นแทนที่จะพ่นเถ้าถ่าน มันกลับพ่นน้ำขึ้นไปมหาศาลแทน !

จากรูปบน จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2022 ชั้นบรรยากาศด้านบน (10 hPa) มีปริมาณน้ำค้างอยู่บนนั้นมหาศาล(สีเขียวเข้ม) และจนถึงปัจจันนี้ น้ำมหาศาลนั้นก็ได้เดินทางไปถึงละติจูดเขตอบอุ่นแล้ว (Mid Lattitude) และคาดว่ามันน่าจะค้างอยู่บนนั้นไปอีกหลายปี

ผลของมันจะเป็นอย่างไรน่ะหรือ ? หากว่ากันตามตรงแล้วนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษยชาติเคยบันทึกไว้เลย ที่มีภูเขาไฟพ่นเอาน้ำไปไว้บนชั้นสตราโตสเฟียร์ได้มากขนาดนี้ ทำให้ขณะนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า ผลกระทบมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็มีหลายข้อเสนอที่น่าสนใจว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น หรือเช่นนี้ เป็นการ speculate กันของเหล่านักอุตุฯ
แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าเนื่องจากตอนนี้น้ำมหาศาลที่ขึ้นไปยังชั้นสตราโตสเฟียร์ได้ทำหน้าที่เหมือนกับเป็นฟิล์มบางๆห่อโลกเอาไว้ ซึ่งนั่นหมายความว่าหากเป็นช่วงหน้าร้อน (ดวงอาทิตย์ส่องแสงได้มุมที่ค่อนข้างสูง) แดดก็น่าจะทะลุผ่านชั้นฟิล์มลงมาได้มาก และสะท้อนไปมาในฟิล์มนั้น เกิดเป็นปรากฏการณ์เรือนกระจกอีกชั้นครอบโลกไว้ ทำให้ ฤดูร้อนที่ผ่านมา ซีกโลกเหนือเลยค่อนข้างร้อนได้มากกว่าปกติ 

อย่างไรก็ตามในช่วงหน้าหนาว ผมคิดว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรกัน ในคราวนี้มุมแดดช่วงหน้าหนาวจะค่อนข้างต่ำมาก และยิ่งต่ำลงเรื่อยๆเมื่อแลตติจูดสูงขึ้น และนั่นย่อมหมายความว่าเมื่อแสงอาทิตย์มากระทบฟิล์มไอน้ำนั้นน่าจะสะท้อนพลังงานบางส่วนออกไปแทนที่จะพุ่งเข้าโลก หรือก็คือ ผมมองว่าในฤดูหนาวนี้อุณหภูมิชั้นสตราโตสเฟียร์แถวซีกโลกเหนือบริเวณเขตอบอุ่นก็น่าจะเย็นกว่าปกติด้วยเช่นกัน และนั่นย่อมหมายความว่า Polar vortex หรือ ลมวนรอบขั้วโลกจะเกิดได้ยากมาก เพราะแทนที่จะมีร่องอากาศแถวกลางขั้วโลกอย่างปกติ ตอนนี้ร่องอากาศจะกระจายตัวอยู่ตามแลตติจูดเขตอบอุ่น และเมื่อ Polar vortex ก่อตัวยาก ก็หมายถึงว่าอากาศหนาวจากขั้วโลกจะไม่กักอยู่บริเวณนั้น แต่น่าจะแผ่ไพศาลอยู่แถวมิดแลตติจูดแทน


หรือว่าง่ายๆก็คือ อากาศหนาวจากขั้วโลกจะแผ่ไปมาได้บ่อยมากกว่าปกติมากในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะถึงนี้

กรกฎาคมที่ผ่านมาผลของไอน้ำมหาศาลได้ทำให้อุณหภูมิชั้นสตราโตสเฟียร์บริเวณเขตอบอุ่นซีกโลกใต้มีอุณหภูมิต่ำอย่างไม่เคยมีมา ! 
ขณะนี้มวลน้ำมหาศาลได้เคลื่อนเข้าสู่ซีกโลกเหนือเช่นกันแล้ว ต้องมารอดูกันครับว่าจะส่งผลอะไรกันบ้าง 

โมเดลระยะยาวส่วนใหญ่ปีนี้คาดให้ Polar Vortex (ลมวนรอบขั้วโลก) มีกำลังอ่อนกว่าปกติมากทั้งนั้น [เส้นดำคือค่าปกติ แดงประคือของปีที่แล้ว] (ผมไม่แน่ใจว่าโมเดลแต่ละตัวใช้อะไรมาเป็นตัวแปรเบื้องต้นบ้าง แต่ผลการคำนวณนี้ก็น่าสนใจมากๆ) หรือก็คือ ลมวนปีนี้น่าจะเก็บความหนาวไม่ค่อยอยู่ ส่วนจะเป็นจริงตามนี้ไหมคงต้องตามกันยาวๆตลอดหนาวนี้ครับ

ภาพนี้ก็้เช่นกัน คือ สถานการณ์ลมวนรอบขั้วโลก ณ ปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่ามันอ่อนกำลังกว่าค่าปกติไปมากถึง 2 SD ! อย่างไรก็ตามโมเดลระยะกลางมองว่าสัปดาห์น้ามันจะเริ่มกลับมาตามค่าปกติมันได้ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าโมเดลระยะกลางเหล่านี้ไม่น่ารวมผลของปริมาณน้ำมหาศาลที่อยู่ในชั้นบรรยากาศเอาไว้ ก็ต้องตามดูกันต่อไปครับ

ลองมาดูกันมั่งครับว่าโมเดลระยะไกลคาดว่าหนาวนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง 

ที่ความสูง 500 hPa ของเดิอน พฤศจิกายน เท่าที่เห็นคือทั้ง ECMWF และ JMA มองว่า บริเวณจีนตะวันตก และทิเบตน่าจะเป็นลิ่มอากาศ หรือ ก็คือ ความกดอากาศสูงน่าจะเกาะอยู่บริเวณดังกล่าวมากกว่าปกติ ทำให้ ปีนี้ลมหนาวน่าจะมาได้ง่ายยิ่งขึ้น
JMA นี่คาดไว้เลยว่าภายในพฤศจิกายนน่าจะหนาวจัดแล้ว จะเป็นจริงตามนั้นไหมยังคงเป็นคำถาม

แต่ที่แน่ๆหนาวแรกของปีนี้มาได้ไวมากๆ ภายในมะรีนนี้แถวอีสานน่าจะมีต่ำกว่า 20 องศาในตอนเช้า บางพื้นที่ได้ ถ้าอากาศหนาวที่มาเร็วกว่าปีนี้ก็คงต้องย้อนไปปี 1993 หรือช่วงที่ การระเบิดของพินาตูโบยังส่งผลต่อสภาวะอากาศโลกโน่นล่ะครับ

ความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงกำลังแผ่ลงมา ประกอบกับแถวฟิลิปปินส์มีพายุหมุนอ่อนๆ เลยทำให้ลมบนไหลมาจากทางจีน ซึ่งน่าจะทำให้สัปดาห์นี้อีสานน่าจะหนาวก่อนใครเพื่อนเลย 

ขอนแก่นน่าจะแตะๆ 20 องศาตอนเช้าๆ ภายในมะรืนนี้และคาดว่าน่าจะลากยาวอย่างนี้เป็นสัปดาห์อย่างน้อยๆ

ส่วนภาคกลางและเหนือนั้น เนื่องจากผลของลมตะวันออกเฉียงใต้พาความชื้นจากอ่าวไทยมา ฝนก็น่าจะตกกันอยู่ในช่วงวัน 2 วันที่จะถึงนี้ แล้วหลังจากนั้นก็อาจมีเย็นๆบ้างตอนเช้า


หนาวนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป คงต้องติดตามกันยาวๆครับ

แต่อย่างว่าที่เค้าเรียกว่า Third time's a charm ปีนี้อาจจะหนาวยาวๆจริงๆก็ได้นะครับ ยิ้ม (ลุ้นมันทุกปี ฮา)

ปล.มีแก้คำผิด และเรียงประโยคใหม่เพิ่มเติมเล็กน้อย ก่อนหน้าพิมพ์ไวเกินไม่ได้เช็ค ต้องขออภัยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่