คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เวลาจะช่วยเราเองครับ ผมเคยผ่านเหตุการณ์ตอนปี 48 พ่อถูกรถแท็กซี่เฉี่ยวหัวฟาดพื้น เลือดคั่งในสมองฝั่งซ้าย หลังผ่าตัดสมองกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องเจาะคอ ให้อาหารทางสายยางหน้าท้อง ลืมตาได้ข้างเดียวไม่รับรู้อะไร นอนทรมาน 4 ปีเต็มจึงจากไปอย่างสงบตอนปี 52 วันที่ทราบว่าพ่อจากไปผมไม่ร้องไห้ แต่รู้สึกโล่งใจมากกว่าที่แกไปสบายไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับร่างที่แกอยู่ จนถึงวันเผา ตอนได้ยินสัญญาณกริ่งบอกว่าเผาจริง อยู่ ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง รู้สึกใจมันหายบอกไม่ถูกคิดว่านี้เราต้องจากกันจริง ๆ แล้วใช่ไหม ตลอด 4 ปี ที่ผ่านมายังมีหลายเรื่องที่ไม่ได้คุยกับพ่ออีกหลายเรื่องเลย รูปที่ถ่ายคู่กันกับพ่อในวันที่รับปริญญากะจะล้างมาจะให้พ่อดู ยังไม่ทันจะได้ให้แกเลย เพราะเพิ่งผ่านวันปริญญาผมมาไม่กี่วันเอง แกก็มาประสบอุบัติเหตุซะก่อน แต่เมื่อวันและเวลาผ่านไป เวลามันจะเยียวยาเราเอง ช่วงแรกกว่าจะผ่านได้ลำบากแต่เชื่อว่าสักวันเราต้องผ่านมันไปได้แน่นอน ขอแสดงความเสียใจกับ จขกท.ด้วยใจจริงครับ ท่านไม่ได้ไปไหนหรอกครับแต่อยู่ในใจของเราเสมอเมื่อเราคิดถึงท่าน
แสดงความคิดเห็น
คนที่สูญเสียพ่อแม่ พวกคุณผ่านมันมาได้ยังไง
เราสูญเสียแม่ไป เมื่อปี2557 ตอนนั้นว่าแย่แล้ว แต่ต้องฮึดสู้เพราะอย่างน้อยก็ยังเหลือพ่ออีกคน พ่อที่เป็นเหมือนทุกอย่าง เป็นทั้งเพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะพบเจออะไรมาแต่ละวันพ่อจะเป็นนักฟังที่ดี เป็นพ่อที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดคนนึง ถึงแม้แรกๆที่เราต้องอยู่ร่วมกันอาจจะปรับตัวเข้าหากันค่อนข้างเยอะแต่ก็ผ่านมาด้วยดี
พ่อต่อสู้กับโรคมะเร็งมาหลายปี ดูแลเรื่องอาหารและอยู่ในความดูแลของหมอมาตลอดแต่ช่วงครึ่งปีหลังนี้ที่พ่ออาการเริ่มหนักเข้าทุกที เพราะมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังทุกส่วน วันที่ 12 กันยายน 2565 วันนั้นคือวันสุดท้ายที่ได้คุยกับพ่อครั้งสุดท้าย วันที่ได้ป้อนข้าวพ่อมื้อสุดท้าย วันนั้นนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียงพ่อ พ่อแค่ลูบหัวแล้วบอกว่า "อย่าเป็นแบบนี้ พ่อใจไม่ดีนะ พ่อยังอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน พ่อไม่มีวันทิ้งหรอก"
พ่อถูกแอดมิทกลางดึกของวันที่ 13 กันยายน 2565 และนับจากวันที่13 พ่อก็มีภาวะตับวาย ไตวาย น้ำท่วมปอด เลือดเป็นกรด และพ่อเป็นแผลกดทับแทบทั้งตัว อาการก็เป็นไล่ตามกันมาในแต่ละวัน สุดท้ายพ่อสิ้นสุดความทรมานเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 เราทำตามที่พ่อสั่งไว้ ไม่ยื้อ ไม่สอดท่อ ไม่ปั้มหัวใจ วันนั้นเราไปดูใจพ่อไม่ทันเพราะติดคุยงานในกรุงเทพ ไปถึงรพ.ก็เห็นพยาบาลถอดเครื่องวัดสัญญาณชีพออกหมดแล้ว เราร้องไห้เหมือนคนสติแตก แต่พยายามฮึ่บ!! และประคองสติเท่าที่หลงเหลืออยู่เพราะต้องเซ็นต์เอกสารและนำร่างพ่ออกมาบำเพ็ญกุศล ช่วงจัดงานที่วัดเราเหมือนคนปกติมาก เดินคุยกับคนนั้นที คนนี้ที แทบไม่มีใครได้เห็นน้ำตาเลย แต่เมื่อถึงวันเผา..เสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นและประตูเมรุกำลังค่อยๆปิดลง เราเหมือนจะขาดใจให้ได้
บ้านที่เคยมีกันอยู่สองคน วันนี้เรากลับต้องใช้ชีวิตคนเดียว และเพิ่งเข้าใจชีวิตที่ไม่มีพ่อมันทรมานแบบนี้นี่เอง เพิ่งมารู้ความหมายจริงๆในตอนนี้ว่าสุดท้ายแล้วที่ผ่านมาเราทำเพื่อใคร อยากพิสูจน์ให้ใครได้เห็น แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้เหลือความคิดนั้นอีกเลย ทุกเช้ายังตื่นมาใส่บาตร ครบวันตาย7วันก็มีทำบุญถวายสังฆทาน เข้าใจดีว่านี่คือสัจจะธรรมที่ทุกคนต้องพบเจอ มันคือวัฏจักรของธรรมชาติ ทุกครอบครัวต้องพบเจอเหตุการณ์นี้ แต่เรายังร้องไห้อยู่ทุกวัน หลับไปพร้อมน้ำตาทุกวัน ทำไมการมีชีวิตอยู่มันดูทรมานขนาดนี้..
ทุกคนที่เคยสูญเสียแล้วเหลือเพียงตัวคนเดียว
พวกคุณผ่านมันมาได้ยังไงคะ..