ว่าด้วยอนัตตา เมื่อสัตว์ทั้งหลาย ไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน แล้วใครทำกรรม ใครรับกรรม ใครไปเกิด?

กระทู้สนทนา
อยากชวนคุยเรื่องนี้กันอีกสักครั้งครับ หลังจากที่ผมค้นคว้า ทำความเข้าใจเรื่องนี้มานานจนถึงจุดที่สรุปได้แล้ว จึงอยากอภิปรายและรับฟังความเห็นจากสมาชิกครับ ประการหนึ่ง ผมคิดว่าการค้นพบนี้มันตอบคำถามผมได้อยากกระจ่างแจ้งในใจ และทำให้มีศรัทธามั่นคง เข้าใจหลักธรรมได้ลึกซึ้งกว่าแต่ก่อนมาก จึงอยากฟังความเห็นของทุกท่าน เพื่อปรับปรุงข้อเขียนนี้ ให้ดีขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น มีความถูกต้อง ครบถ้วนมากขึ้น หรือถ้ามีอ้างอิงที่ควรใส่ ผมยินดีรับฟังคำแนะนำครับ
 ออกตัวก่อน ผมศึกษา เรียนรู้ด้วยตัวเองจากหลายๆแหล่ง ไม่ได้เป็นศิษย์สำนักไหนแฝงตัวมานะครับ 555
เรื่องการเกิดใหม่นี่เป็นคำถามที่ยากและรบกวนจิตใจของผมมายาวนาน เพราะในทางปรมัตถ์แล้ว ความเป็นตัวตน เป็นบุคคลมันไม่มีอยู่ มีอยู่แต่สภาพธรรม เป็นรูป เป็นนาม เป็นการสืบเนื่องกันของสภาพธรรมต่างๆ มีการเกิด การเสื่อมสลาย และการดับไป  ตัวตนที่เราขึ้นถือนี้ ก็คือส่วนประกอบกันของขันธ์ทั้ง ๕ ไม่มีส่วนใดเลยที่เป็นตัวตนของเราอยู่ แม้ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ไม่เที่ยงแท้ รูปเองก็เจริญขึ้น เสื่อมลง และดับไป รวมถึง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่เกิดดับ แปรเปลี่ยน ถ้ายึดเอาแต่เพียงเท่านี้ ก็หมายความว่าทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามวิถี เหมือนลม ฟ้า ฤดูกาล โดยไม่มีปัญหาอะไร  แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะสัตว์ผู้ประกอบด้วยเจตนาทั้งหลาย ผู้ได้อุบัติขึ้นบนโลก  ล้วนต้องประสบความทุกข์อันได้แก่ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส และอุปายาส  ครั้นทุกข์นั้นเกิดขึ้นแล้ว จะแสร้งว่ามองไม่เห็น ไม่ทุกข์ร้อนก็มิได้ หนทางเดียวที่จะดับทุกข์ได้ก็คือการดับเอาที่เหตุแห่งทุกข์นั้น โดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องตามจริง ดังเช่นธรรมอันพระผู้ตรัสรู้ชอบได้แสดงไว้ โดยพระศาสดาผู้รู้แจ้งโลกธาตุและอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายจึงได้แสดงธรรมอันเป็นปรมัตถ์สัจจะ หากแต่ความรับรู้ของสัตว์โลกหมู่มากไม่สามารถเข้าใจธรรมอันละเอียดนั้นได้ พระองค์จึงแสดงธรรมอันเป็นสมมติสัจจะ เพื่อเป็นที่พึ่งแก่สัตว์เหล่านั้น
แม้อัตตาที่เราท่านทั้งหลายเชื่อว่าตนนั้นมีอยู่ ก็เป็นสมมติสัจจะอย่างหนึ่ง โดยอาศัยความสืบเนื่องกัน เรียกว่าสันตติ คือการสืบต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง จึงได้สมมติเอาว่าเป็นตัวตนนี้  ซึ่งการสืบสันตตินี้ ก็กล่าวได้ว่า จะว่าเป็นคนเดียวกันก็มิใช่ เป็นคนอื่นก็มิใช่  เพราะองค์ประกอบต่างๆนั้นเปลี่ยนไป  แต่ก็รับผลสืบเนื่องกันมา
กรรมที่ได้ทำในปัจจุบัน เมื่อได้เกิดขึ้นแล้วก็ย่อมรอเวลาส่งผล บ้างก็ส่งผลเร็ว บ้างก็ส่งผลช้า  ที่กล่าวว่า "ผู้ใดทำกรรม ผู้นั้นรับผล" ก็ถือเอาสันตตินี้เอง เป็นสิ่งที่รับผล
แม้ในการเกิด การตาย ในทางปรมัตถ์ก็ไม่ได้มีใครเกิดตายจริงๆ มีเพียงการเกิดดับของกองขันธ์เท่านั้น แต่ถือว่าใครตาย ใครไปเกิดนี้ ก็เพราะสืบสันตติกันอยู่ กล่าวคึอ สัตว์โลกเมื่อได้ตายไปแล้ว ขันธ์ธาตุทั้งหลายก็ได้แตกสลายดับไป มิได้มีสิ่งใดที่ได้ไปเกิดใหม่ แต่สันตตินั้นก็ยังคงอยู่ด้วยผลกรรมนี้เอง สัตว์เมื่อได้ไปเกิดใหม่โดยสมมติ ก็ได้สืบเอาสันตติของกรรมไปด้วย  ความเชื่อว่าเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง มีความเชื่อว่ากรรมนั้นจะต้องส่งผลกับผู้กระทำไปทุกภพชาติ ก็คือความเชื่อในกฎแห่งกรรม ซึ่งตังอยู่ภายใต้สมมติสัจจะนั้น แม้จะขึ้นชื่อว่าสมมติ แต่ก็เป็นความจริง เพียงแต่อยู่ในระดับที่คนทั่วไปจะประสบได้ เห็นได้ เข้าใจได้
แต่เดิมตามพระคัมภีร์แล้ว กฎแห่งกรรม และการเกิดใหม่นั้นก็เป็นเรื่องที่สุดแล้วแต่จะเชื่อ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสำแดงให้ประจักษ์แจ้งได้  ถึงอย่างนั้น การปฎิบัติตามหลักคำสอนก็ยังส่งผลดีตลอดช่วงชีวิตในปัจจุบัน  แต่โดยความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่เราได้ประสบเจอ บ้างก็เป็นผลกรรมในปัจจุบัน บ้างก็มิใช่  ผลของกรรมที่ตนไม่ได้กระทำในปัจจุบัน ก็นับได้ว่าเป็นวิบาก คือผลกรรมที่ตนเคยทำไว้เมื่อชาติก่อน ภพก่อน ก็ด้วยเหตุว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน ผู้อื่นจะมาทำกรรมใส่เราไม่ได้ ผลกรรมอันหาเหตุไม่ได้ในปัจจุบันจึงสืบย้อนไปในอดีตชาติ ผลกรรมอันเสวยวิบากไม่ได้ในปัจจุบัน จึงส่งผลในอนาคตชาติ  เพราะเชื่อเรื่องกรรมอันจะสนองต่อผู้กระทำ อดีตชาติ และอนาคตชาติจึงมีได้ดังนี้
หากจะกล่าวให้พิสดารมากขึ้น ด้วยกาลเวลา สถานที่ และความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุดของจักรวาลอันเป็นอนันต์ ย่อมกล่าวได้มีสัตว์ที่ทำกรรมอยู่ทุกๆอย่าง และมีสัตว์ที่เสวยวิบากอยู่ทุกๆอย่าง กรรม และวิบากนั้นย่อมร้อยเรียงเป็นสันตติได้ทั้งสิ้น  แม้บุคคลจะไม่มีอยู่ในขั้นปรมัตถ์ แต่การเกิดใหม่โดยสันตติอันเป็นสมมติสัจจะนั้นย่อมมีได้ด้วยประการนี้
แม้การเกิดใหม่จะมีจริงดังที่กล่าวมานี้ แต่จะกล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายจะต้องเกิดไม่อย่างแน่แท้นั้นหามิได้ ก็ด้วยสัตว์บางพวกต้องไปเกิดใหม่ และสัตว์บางพวกไม่ต้องเกิดใหม่ สัตว์ที่ไม่ต้องไปเกิดใหม่ คือสัตว์ที่ปราศจากกิเลศ บรรลุซึ่งอรหัตผลแล้วนั้น จึงได้เป็นชื่อว่าผู้ไกลทางทุกข์ ผู้ดับทุกข์ได้สิ้นเชิงแล้ว เข้าสู่นิพพานแล้ว อันได้แก่พระสัมมาสัมพุทธะ คือผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง และพระอรหันตสาวก คือผู้ปฏิบัติตามแนวทางอันเป็นอรหัตมรรค และบรรลุซึ่งอรหัตผล สาธุชนทั้งหลายอันเห็นกองทุกข์ในสังสารแล้ว ย่อมมุ่งหาพระนิพพานอันเป็นบรมสุข จงเร่งสร้างกุศลโดยมีสมาธิเป็นประธาน ศีลเป็นรากฐาน และปัญญาเป็นเครื่องนำทางไป จึงได้จบธรรมบรรยายไว้แต่เพียงเท่านี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่