สรุปผลโพล"ชัชชาติ"ทำงานครบ 1 ไตรมาส-ปชช.48%อยากเห็นแก้จัดซื้อจัดจ้าง
https://www.nationtv.tv/news/politics/378885745
"กลุ่มร่วมสร้างกรุงเทพลดคอรัปชัน"เผยผลสำรวจความคิดเห็นปชช. ครบ 1 ไตรมาส "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์"เข้าทำงาน คอรัปชันเพิ่มหรือลด พบดีขึ้นก่อนมีการเลือกตั้ง ขณะที่ 48% ปชช.หวังสางปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง
7 กันยายน 2565 จาการที่
"กลุ่มร่วมสร้างกรุงเทพลดคอรัปชัน" ได้จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชัน โดยเฉพาะภายหลังการเข้าบริหารราชการ กทม. ของ
"ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ" ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 ซึ่งจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 3 เดือน อีกทั้ง ยังได้ประกาศเจตนารมณ์ "ไม่ทนกับการทุจริต" การทุจริตคอรัปชั่นถือเป็นปัญหาที่มีมานานใน กทม. และประชาชนต่างคาดหวังความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับเรื่องนี้
ล่าสุด
"กลุ่มร่วมสร้างกรุงเทพลดคอรัปชัน" ได้เปิดผลโหวต
"หลังชัชชาติเข้ามา คอรัปชั่นเพิ่มหรือลด" โดยสำรวจระหว่างวันที่ 29 ส.ค. 2565 และปิดการสำรวจเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา
1.ท่านคิดว่าการคอรัปชั่นใน กทม. อยู่ในระดับใด ก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งล่าสุด
- 52.06% คอรัปชั่นมากที่สุด
- 29.59% คอรัปชั่นมาก
- 3.75% คอรัปชั่นปานกลาง
- 3.37% คอรัปชั่นน้อย
- 5.99% คอรัปชั่นน้อยที่สุด
- 5.24% ไม่มีความเห็น
โดยสรุป เมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยการรับรู้ของประชาชนด้านความโปร่งใส มีค่าเท่ากับ 35.02 (เต็ม 100)
2.ท่านคิดว่าการคอรัปชั่นใน กทม. อยู่ในระดับใด ภายหลังการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งล่าสุด
- 2.62% คอรัปชั่นมากที่สุด
- 7.49% คอรัปชั่นมาก
- 22.85% คอรัปชั่นปานกลาง
- 35.58% คอรัปชั่นน้อย
- 24.34% คอรัปชั่นน้อยที่สุด
- 7.12% ไม่มีความเห็น
โดยสรุป เมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยการรับรู้ของประชาชนด้านความโปร่งใส มีค่าเท่ากับ 75.40 (เต็ม 100)
3. ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ผ่านมา ท่านได้เลือก ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม. หรือไม่
- 50.56% เลือก
- 31.46% ไม่ได้เลือก
- 17.98% ไม่มีสิทธิเลือก
4. ท่านอยากให้ผู้ว่าฯ กทม. แก้ปัญหาคอรัปชั่นในเรื่องใดเป็นลำดับแรก
- 48.03% การจัดซื้อจัดจ้าง
- 32.24% ส่วยเทศกิจ เช่น บริเวณทางเท้า
- 8.55% การเรียกสินบนโครงการก่อสร้าง
- 3.95% การตรวจรับงานไม่ได้มาตรฐาน
- 3.29 สัมปทานโครงการขนาดใหญ่
- 3.95% อื่นๆ เช่น ส่วยธุรกิจผิดกฎหมาย
ขณะที่ รศ.ดร.
เชษฐา ทรัพย์เย็น ประธานที่ปรึกษา ทปสท. เปิดเผยว่า ผลสำรวจดังกล่าว ทางกลุ่มจะยื่นให้กับ ดร.ชัชชาติ ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
อนึ่ง สำหรับ "กลุ่มร่วมสร้างกรุงเทพลดคอรัปชั่น" หรือ เครือข่าย creator โพลคอรัปชัน กทม. เป็นการร่วมมือกันของ 6 เครือข่าย ประกอบด้วย
(1) ที่ประชุมประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการแห่งประเทศไทย (ทปสท.)
(2) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์
(3) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
(4) สภาคณาจารย์และข้าราชการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
(5) สมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์และพันธมิตร
(6) เนชั่นทีวี
โรงแรมหวั่น “ต่างชาติเที่ยวไทย” น้อยกว่าคาด เผชิญเงินเฟ้อกดดันกำลังซื้อ
https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1025429
“สมาคมโรงแรมไทย” เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นที่พักแรม เดือน ส.ค.65 ผู้ประกอบการโรงแรมหวั่น "ต่างชาติเที่ยวไทย" น้อยกว่าคาด ท่ามกลางความกังวลเรื่องปัญหาเงินเฟ้อสูงกดดันกำลังซื้อ ด้านอัตราการเข้าพักของโรงแรมปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้และภาคตะวันออก
นาง
มาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม เดือน ส.ค.2565 จากผู้ประกอบการที่พักแรม 106 แห่ง ระหว่างวันที่ 8-24 ส.ค.2565 จัดทำโดยสมาคมฯกับธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการสอบถามประเด็นพิเศษ เกี่ยวกับเรื่อง “
ความกังวลของธุรกิจโรงแรมต่อประเด็นต่างๆ ในระยะข้างหน้า” โรงแรมมองว่ายังมีหลายประเด็นที่อาจกระทบการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะข้างหน้า โดย 62% มองว่าปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงกดดันกำลังซื้อ และ 61% กังวลนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาน้อยกว่าคาด เป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการกังวลมากที่สุด
รองลงมาคือการขาดแคลนแรงงาน 43% ตามมาด้วยการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่อาจกระทบกิจกรรมนอกบ้านให้ลดลง 40% ธุรกิจเกี่ยวเนื่องยังไม่กลับมาเปิดเต็มที่ 19% แนวโน้มค่าเงินบาท 18% แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศ 16%
ขณะที่ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 11% เนื่องจากมีแนวโน้มติดได้ยากกว่า และจำนวนผู้ติดเชื้อในไทยยังน้อย เช่นเดียวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน กังวล 6% เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวเข้ามาในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเดินทางหลังรัฐบาลเปิดประเทศเต็มรูปแบบ เมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามนโยบายการคลัง อนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ประกอบธุรกิจไมซ์ (MICE: การประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า) เพื่อกระตุ้นการจัดกิจกรรมไมซ์ภายในประเทศ
รวมถึงการขยายระยะเวลาพำนักในไทยให้กับชาวต่างชาติจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า ให้อยู่ในไทยได้นานขึ้นจากไม่เกิน 30 วัน เป็นไม่เกิน 45 วัน และขยายเวลาให้กับผู้ที่มาขอวีซ่าหน้าด่าน (Visa on Arrival: VoA) จากไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 - 31 มี.ค.2566
และวีซ่าประเภทใหม่ “Long-Term Resident Visa: LTR Visa” ที่เปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ย.2565 ให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดให้เข้ามาตั้งฐานธุรกิจในประเทศ กลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านทักษะและความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผู้ที่มีความมั่งคั่ง ถือเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ทำให้มีนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงเข้ามาและมีการพำนักอยู่ในไทยนานขึ้น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน
นอกจากนี้ ธุรกิจเชื่อมโยงอื่นๆ เช่น สายการบิน มีการเปิดเที่ยวบินใหม่ และกลับมาเปิดเที่ยวบินที่เคยระงับทำการบินในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะเส้นทางบินที่มาจากภูมิภาคอาเซียน เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และเอเชียใต้
“แม้จะมีปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง แต่ยังคงมีประเด็นสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ คือปัญหาภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าและพลังงาน การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในมุมมองของผู้ประกอบการมีผลต่อต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้นและกระทบต่อกำไรในช่วงที่ธุรกิจกำลังฟื้นตัว รวมถึงเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจโรงแรมก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม”
นาง
มาริสา กล่าวเพิ่มเติมว่า รายได้โรงแรมในเดือน ส.ค. ยังมีรายได้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 ระบาด แต่ส่วนหนึ่งรายได้เริ่มปรับดีขึ้นต่อเนื่องหลังมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบเมื่อเดือน ก.ค. สะท้อนจากโรงแรมที่รายได้กลับมาแล้วเกินครึ่งหนึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 34% ตามการฟื้นตัวของกลุ่มโรงแรมมาตรฐาน 4-5 ดาวเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม โรงแรมที่มีรายได้กลับมาไม่ถึง 30% มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากวันหยุดยาวที่น้อยกว่าเดือนก่อน
ด้านอัตราการเข้าพักเดือน ส.ค. เฉลี่ยอยู่ที่ 47.5% เพิ่มขึ้นจาก ก.ค. 65 ที่มี 45% ตามการยกเลิกลงทะเบียนผ่านระบบไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) และขยายสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ตั้งแต่เดือนก่อน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเอเชียและตะวันออกกลางเป็นสำคัญ ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเข้าพักลดลงบ้างจากวันหยุดยาวที่น้อยกว่าเดือนก่อน
“อัตราการเข้าพักของโรงแรมปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้และภาคตะวันออก ส่วนหนึ่งจากธุรกิจโรงแรมทยอยกลับมาเปิดตามปกติและแข่งขันกันมากขึ้น”
เมื่อเจาะเป็นรายภาค พบว่าภาคเหนือ เดือน ส.ค. มีอัตราการเข้าพัก 39.3% เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ค.ที่มี 39.1% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือน ส.ค.มีอัตราการเข้าพัก 51% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มี 48.7% ภาคตะวันออก เดือน ส.ค.มีอัตราการเข้าพัก 43% ลดลงจากเดือนก่อนที่มี 46.9% ภาคกลาง เดือน ส.ค.มีอัตราการเข้าพัก 54% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มี 44.1% และภาคใต้ เดือน ส.ค.มีอัตราการเข้าพัก 46.6% ลดลงจากเดือนก่อนที่มี 49%
ลูกค้าของโรงแรมส่วนใหญ่ยังคงเป็นลูกค้าชาวไทย แต่มีลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น สะท้อนจากโรงแรมที่มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติมากกว่า 50% ทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังมีการผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศตั้งแต่กลางปี 2565 ทั้งนี้ หากพิจารณากลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เข้าพักส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเอเชียและตะวันออกกลาง รองลงมาคือยุโรปตะวันตก
“สมาคมฯคาดการณ์ว่า อัตราการเข้าพักในเดือน ก.ย.อยู่ที่ 40-45% อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเข้ามาต่อเนื่องอาจทำให้อัตราการเข้าพักดีกว่าที่คาด”
ด้านการจ้างงานในเดือน ส.ค. โรงแรมมีการจ้างงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 75.2% ของการจ้างงานเดิมก่อนเกิดโควิก-19 ระบาด สอดคล้องกับอัตราการเข้าพักและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ทยอยปรับดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นการจ้างพนักงานใหม่ที่ต้องใช้เวลาฝึกทักษะเพื่อเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 4 ที่เข้าสู่ไฮซีซั่น
ย้ำรธน.ไม่เคยบัญญัติให้นายกฯพ้นตำแหน่ง ชี้ผู้มีอำนาจปล่อยรั่วคำชี้แจง”มีชัย”
https://www.dailynews.co.th/news/1445613/
“ไพศาล”ย้ำรัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมถึงปี 60 ไม่เคยบัญญัติให้นายกฯพ้นตำแหน่ง ระบุวงผู้มีอำนาจปล่อยรั่วคำชี้ “มีชัย” ชี้เป็นอาการแตกจากข้างใน คือเป็นนานาวิการอย่างหนึ่ง
เมื่อวันที่ 8 ก.ย.นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายได้โพสต์ข้อความระบุว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมทั้งฉบับ 2560 ไม่เคยบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง เพราะการใช้รัฐธรรมนูญใหม่!!!
ทุกฉบับมีบทบัญญัติเหมือนกันให้นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อน “เป็น” นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญใหม่”ต่อเนื่องกันไป”
ความเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ที่เคยประกาศใช้มาแล้วในประเทศไทยบัญญัติตรงกัน ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นตั้งแต่เวลาที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง และจะสิ้นสุดลงตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติคือ
~ ตาย
~ ครบวาระการดำรงตำแหน่ง
~ ลาออก
~ ถูกสภาอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือ
~ ถูกศาลพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่ง
~ ขาดคุณสมบัติ
ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญใดให้พ้นจากตำแหน่งเพราะการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่
และเพราะการดำรงตำแหน่งต่อเนื่องกันเช่นนี้ ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งจึงไม่ขาดตอน จึงได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ปปช. ว่าไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ในกรณีพ้นจากตำแหน่งและในกรณีเข้ารับตำแหน่งใหม่ เพราะการดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง นั่นเอง
JJNY : สรุปผลโพล"ชัชชาติ"ครบ1ไตรมาส│หวั่น“ต่างชาติเที่ยวไทย”น้อย│ชี้ผู้มีอำนาจปล่อยรั่วคำชี้แจง”มีชัย”│เปิด23ชื่อส.ว.
https://www.nationtv.tv/news/politics/378885745
"กลุ่มร่วมสร้างกรุงเทพลดคอรัปชัน"เผยผลสำรวจความคิดเห็นปชช. ครบ 1 ไตรมาส "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์"เข้าทำงาน คอรัปชันเพิ่มหรือลด พบดีขึ้นก่อนมีการเลือกตั้ง ขณะที่ 48% ปชช.หวังสางปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง
7 กันยายน 2565 จาการที่ "กลุ่มร่วมสร้างกรุงเทพลดคอรัปชัน" ได้จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชัน โดยเฉพาะภายหลังการเข้าบริหารราชการ กทม. ของ "ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ" ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 ซึ่งจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 3 เดือน อีกทั้ง ยังได้ประกาศเจตนารมณ์ "ไม่ทนกับการทุจริต" การทุจริตคอรัปชั่นถือเป็นปัญหาที่มีมานานใน กทม. และประชาชนต่างคาดหวังความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับเรื่องนี้
ล่าสุด "กลุ่มร่วมสร้างกรุงเทพลดคอรัปชัน" ได้เปิดผลโหวต "หลังชัชชาติเข้ามา คอรัปชั่นเพิ่มหรือลด" โดยสำรวจระหว่างวันที่ 29 ส.ค. 2565 และปิดการสำรวจเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา
1.ท่านคิดว่าการคอรัปชั่นใน กทม. อยู่ในระดับใด ก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งล่าสุด
- 52.06% คอรัปชั่นมากที่สุด
- 29.59% คอรัปชั่นมาก
- 3.75% คอรัปชั่นปานกลาง
- 3.37% คอรัปชั่นน้อย
- 5.99% คอรัปชั่นน้อยที่สุด
- 5.24% ไม่มีความเห็น
โดยสรุป เมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยการรับรู้ของประชาชนด้านความโปร่งใส มีค่าเท่ากับ 35.02 (เต็ม 100)
2.ท่านคิดว่าการคอรัปชั่นใน กทม. อยู่ในระดับใด ภายหลังการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งล่าสุด
- 2.62% คอรัปชั่นมากที่สุด
- 7.49% คอรัปชั่นมาก
- 22.85% คอรัปชั่นปานกลาง
- 35.58% คอรัปชั่นน้อย
- 24.34% คอรัปชั่นน้อยที่สุด
- 7.12% ไม่มีความเห็น
โดยสรุป เมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยการรับรู้ของประชาชนด้านความโปร่งใส มีค่าเท่ากับ 75.40 (เต็ม 100)
3. ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ผ่านมา ท่านได้เลือก ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม. หรือไม่
- 50.56% เลือก
- 31.46% ไม่ได้เลือก
- 17.98% ไม่มีสิทธิเลือก
4. ท่านอยากให้ผู้ว่าฯ กทม. แก้ปัญหาคอรัปชั่นในเรื่องใดเป็นลำดับแรก
- 48.03% การจัดซื้อจัดจ้าง
- 32.24% ส่วยเทศกิจ เช่น บริเวณทางเท้า
- 8.55% การเรียกสินบนโครงการก่อสร้าง
- 3.95% การตรวจรับงานไม่ได้มาตรฐาน
- 3.29 สัมปทานโครงการขนาดใหญ่
- 3.95% อื่นๆ เช่น ส่วยธุรกิจผิดกฎหมาย
ขณะที่ รศ.ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น ประธานที่ปรึกษา ทปสท. เปิดเผยว่า ผลสำรวจดังกล่าว ทางกลุ่มจะยื่นให้กับ ดร.ชัชชาติ ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
อนึ่ง สำหรับ "กลุ่มร่วมสร้างกรุงเทพลดคอรัปชั่น" หรือ เครือข่าย creator โพลคอรัปชัน กทม. เป็นการร่วมมือกันของ 6 เครือข่าย ประกอบด้วย
(1) ที่ประชุมประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการแห่งประเทศไทย (ทปสท.)
(2) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์
(3) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
(4) สภาคณาจารย์และข้าราชการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
(5) สมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์และพันธมิตร
(6) เนชั่นทีวี
โรงแรมหวั่น “ต่างชาติเที่ยวไทย” น้อยกว่าคาด เผชิญเงินเฟ้อกดดันกำลังซื้อ
https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1025429
“สมาคมโรงแรมไทย” เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นที่พักแรม เดือน ส.ค.65 ผู้ประกอบการโรงแรมหวั่น "ต่างชาติเที่ยวไทย" น้อยกว่าคาด ท่ามกลางความกังวลเรื่องปัญหาเงินเฟ้อสูงกดดันกำลังซื้อ ด้านอัตราการเข้าพักของโรงแรมปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้และภาคตะวันออก
นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม เดือน ส.ค.2565 จากผู้ประกอบการที่พักแรม 106 แห่ง ระหว่างวันที่ 8-24 ส.ค.2565 จัดทำโดยสมาคมฯกับธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการสอบถามประเด็นพิเศษ เกี่ยวกับเรื่อง “ความกังวลของธุรกิจโรงแรมต่อประเด็นต่างๆ ในระยะข้างหน้า” โรงแรมมองว่ายังมีหลายประเด็นที่อาจกระทบการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะข้างหน้า โดย 62% มองว่าปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงกดดันกำลังซื้อ และ 61% กังวลนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาน้อยกว่าคาด เป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการกังวลมากที่สุด
รองลงมาคือการขาดแคลนแรงงาน 43% ตามมาด้วยการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่อาจกระทบกิจกรรมนอกบ้านให้ลดลง 40% ธุรกิจเกี่ยวเนื่องยังไม่กลับมาเปิดเต็มที่ 19% แนวโน้มค่าเงินบาท 18% แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศ 16%
ขณะที่ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 11% เนื่องจากมีแนวโน้มติดได้ยากกว่า และจำนวนผู้ติดเชื้อในไทยยังน้อย เช่นเดียวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน กังวล 6% เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวเข้ามาในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเดินทางหลังรัฐบาลเปิดประเทศเต็มรูปแบบ เมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามนโยบายการคลัง อนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ประกอบธุรกิจไมซ์ (MICE: การประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า) เพื่อกระตุ้นการจัดกิจกรรมไมซ์ภายในประเทศ
รวมถึงการขยายระยะเวลาพำนักในไทยให้กับชาวต่างชาติจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า ให้อยู่ในไทยได้นานขึ้นจากไม่เกิน 30 วัน เป็นไม่เกิน 45 วัน และขยายเวลาให้กับผู้ที่มาขอวีซ่าหน้าด่าน (Visa on Arrival: VoA) จากไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 - 31 มี.ค.2566
และวีซ่าประเภทใหม่ “Long-Term Resident Visa: LTR Visa” ที่เปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ย.2565 ให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดให้เข้ามาตั้งฐานธุรกิจในประเทศ กลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านทักษะและความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผู้ที่มีความมั่งคั่ง ถือเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ทำให้มีนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงเข้ามาและมีการพำนักอยู่ในไทยนานขึ้น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน
นอกจากนี้ ธุรกิจเชื่อมโยงอื่นๆ เช่น สายการบิน มีการเปิดเที่ยวบินใหม่ และกลับมาเปิดเที่ยวบินที่เคยระงับทำการบินในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะเส้นทางบินที่มาจากภูมิภาคอาเซียน เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และเอเชียใต้
“แม้จะมีปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง แต่ยังคงมีประเด็นสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ คือปัญหาภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าและพลังงาน การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในมุมมองของผู้ประกอบการมีผลต่อต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้นและกระทบต่อกำไรในช่วงที่ธุรกิจกำลังฟื้นตัว รวมถึงเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจโรงแรมก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม”
นางมาริสา กล่าวเพิ่มเติมว่า รายได้โรงแรมในเดือน ส.ค. ยังมีรายได้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 ระบาด แต่ส่วนหนึ่งรายได้เริ่มปรับดีขึ้นต่อเนื่องหลังมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบเมื่อเดือน ก.ค. สะท้อนจากโรงแรมที่รายได้กลับมาแล้วเกินครึ่งหนึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 34% ตามการฟื้นตัวของกลุ่มโรงแรมมาตรฐาน 4-5 ดาวเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม โรงแรมที่มีรายได้กลับมาไม่ถึง 30% มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากวันหยุดยาวที่น้อยกว่าเดือนก่อน
ด้านอัตราการเข้าพักเดือน ส.ค. เฉลี่ยอยู่ที่ 47.5% เพิ่มขึ้นจาก ก.ค. 65 ที่มี 45% ตามการยกเลิกลงทะเบียนผ่านระบบไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) และขยายสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ตั้งแต่เดือนก่อน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเอเชียและตะวันออกกลางเป็นสำคัญ ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเข้าพักลดลงบ้างจากวันหยุดยาวที่น้อยกว่าเดือนก่อน
“อัตราการเข้าพักของโรงแรมปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้และภาคตะวันออก ส่วนหนึ่งจากธุรกิจโรงแรมทยอยกลับมาเปิดตามปกติและแข่งขันกันมากขึ้น”
เมื่อเจาะเป็นรายภาค พบว่าภาคเหนือ เดือน ส.ค. มีอัตราการเข้าพัก 39.3% เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ค.ที่มี 39.1% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือน ส.ค.มีอัตราการเข้าพัก 51% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มี 48.7% ภาคตะวันออก เดือน ส.ค.มีอัตราการเข้าพัก 43% ลดลงจากเดือนก่อนที่มี 46.9% ภาคกลาง เดือน ส.ค.มีอัตราการเข้าพัก 54% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มี 44.1% และภาคใต้ เดือน ส.ค.มีอัตราการเข้าพัก 46.6% ลดลงจากเดือนก่อนที่มี 49%
ลูกค้าของโรงแรมส่วนใหญ่ยังคงเป็นลูกค้าชาวไทย แต่มีลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น สะท้อนจากโรงแรมที่มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติมากกว่า 50% ทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังมีการผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศตั้งแต่กลางปี 2565 ทั้งนี้ หากพิจารณากลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เข้าพักส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเอเชียและตะวันออกกลาง รองลงมาคือยุโรปตะวันตก
“สมาคมฯคาดการณ์ว่า อัตราการเข้าพักในเดือน ก.ย.อยู่ที่ 40-45% อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเข้ามาต่อเนื่องอาจทำให้อัตราการเข้าพักดีกว่าที่คาด”
ด้านการจ้างงานในเดือน ส.ค. โรงแรมมีการจ้างงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 75.2% ของการจ้างงานเดิมก่อนเกิดโควิก-19 ระบาด สอดคล้องกับอัตราการเข้าพักและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ทยอยปรับดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นการจ้างพนักงานใหม่ที่ต้องใช้เวลาฝึกทักษะเพื่อเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 4 ที่เข้าสู่ไฮซีซั่น
ย้ำรธน.ไม่เคยบัญญัติให้นายกฯพ้นตำแหน่ง ชี้ผู้มีอำนาจปล่อยรั่วคำชี้แจง”มีชัย”
https://www.dailynews.co.th/news/1445613/
“ไพศาล”ย้ำรัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมถึงปี 60 ไม่เคยบัญญัติให้นายกฯพ้นตำแหน่ง ระบุวงผู้มีอำนาจปล่อยรั่วคำชี้ “มีชัย” ชี้เป็นอาการแตกจากข้างใน คือเป็นนานาวิการอย่างหนึ่ง
เมื่อวันที่ 8 ก.ย.นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายได้โพสต์ข้อความระบุว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมทั้งฉบับ 2560 ไม่เคยบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง เพราะการใช้รัฐธรรมนูญใหม่!!!
ทุกฉบับมีบทบัญญัติเหมือนกันให้นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อน “เป็น” นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญใหม่”ต่อเนื่องกันไป”
ความเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ที่เคยประกาศใช้มาแล้วในประเทศไทยบัญญัติตรงกัน ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นตั้งแต่เวลาที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง และจะสิ้นสุดลงตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติคือ
~ ตาย
~ ครบวาระการดำรงตำแหน่ง
~ ลาออก
~ ถูกสภาอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือ
~ ถูกศาลพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่ง
~ ขาดคุณสมบัติ
ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญใดให้พ้นจากตำแหน่งเพราะการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่
และเพราะการดำรงตำแหน่งต่อเนื่องกันเช่นนี้ ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งจึงไม่ขาดตอน จึงได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ปปช. ว่าไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ในกรณีพ้นจากตำแหน่งและในกรณีเข้ารับตำแหน่งใหม่ เพราะการดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง นั่นเอง