กำหนดราคาสินค้าขั้นสูง ว่าจะขายได้ราคาเท่าไร่ เจ้าไหน ไม่ยอมทำตาม ไม่ยอมผลิต กักตุนสินค้า หรือจะส่งออกแทนขายตลาดภายในประเทศ ก็ใช้อำนาจรัฐ เข้ายึดทั้งบริษัท ทั้งหุ้น ยึดทั้งหมด หรือ เรียกง่ายๆ ว่าการ nationalized ทั้ง อาหาร พลังงาน ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น ดูสุดโต่ง แต่ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ ในเมื่อขึ้นค่าแรงแล้วไม่ได้ผล ก็มีวิธีเดียว คือจัดการกับบริษัทเอกชนโดยตรง ถ้าคิดจะหนี จะย้ายฐาน ก็ไม่ว่ากัน แต่ให้ไปแต่ตัว ส่วนกิจการรัฐจะดูแลให้เอง ต่างชาติอาจจะไม่กล้ามาลงทุน แต่ ประชาชนก็ยังได้ประโยชน์
เวลาเห็นบริษัทเอกชนต่างๆ บ่นว่าต้นทุนสูงอย่างนั้น อย่างนี้ ร้องขอรัฐบาลขึ้นราคาสินค้า แต่ก็มักจะมาพร้อมกับ ข่าวที่ว่า " บริษัท X " ทำกำไรได้มากเป็นประวัติการณ์ หรือ หุ้นพุ่ง นู่นนี่นั่นพุ่ง เพราะ เอกชนไม่ยอมลดกำไรตัวเองแม้แต่แดงเดียว ต้นทุนขึ้นเท่าไรไม่สน แต่กำไรต้องเท่าเดิม เป็นอะไรที่น่าแค้นเคืองเป็นถึงที่สุด
ตัวอย่าง ข่าวบริษัทน้ำมันของอังกฤษ กำไรพุ่ง ในขณะที่ค่าไฟประชาชนแพงขึ้นเป็นประวัติการณ์
>>>>
https://www.bbc.com/news/business-62382624
หรือไม่ต้องไปต่างประเทศก็ได้ เอาแค่ในไทย ค่าไฟแพงขนาดนี้ หุ้นโรงไฟฟ้า หุ้นถ่านหิน พุ่งไปเท่าไร่แล้ว คนได้ประโยชน์ก็แค่ คนเล่นหุ้นไม่กี่คน กับ เจ้าของกิจการ ในขณะที่ภาคครัวเรือน กับ ธุรกิจ ลำบากยากเข็ญทั่วหน้า
นี่คือ ข้อเสียที่สุดของ ระบบทุนนิยม ที่ผลประโยชน์ส่วนตน มาก่อนส่วนรวม เราปล่อยให้ระบบตลาดเสรีทำงานด้วยตัวของมันเองมากเกินไป โดยปราศจากก็ควบคุม ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะดี เพราะทำให้ผลิตภาพสูงขึ้น แต่ก็ทำให้คนส่วนใหญ่ลำบากมากขึ้น อำนาจต่อรองน้อยลง และ เทคโนโลยีเข้ามาแย่งงาน กับ กีดกัดคนชนชั้นล่างให้ออกไป ถึงเวลาที่ รัฐบาลเข้ามามี บทบาทสำคัญมากกว่า เอกชน แล้ว
ใครจะมาพ่น มุข
เวเนซุเอลา ก็ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่คำแรก และ รัฐบาลหน้า ควรออกกฎหมายทำนองนี้ได้แล้ว หรือ ข้ออ้างที่ว่า
" ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลาง " ก็เป็นข้ออ้างที่โง่เง่าที่สุด ที่เห็นมาช่วงนี้ คือ ถ้า productivity ไม่เพิ่ม ราคากับกำไรก็ต้องไม่เพิ่ม นั่นหมายความว่า เราถูกนายทุนหลอกว่า productivity ไม่เพิ่ม ทั้งๆที่ความจริง productivity เพิ่มมาตลอด ไม่ว่าจะที่ไหนบนโลก ผลิตภาพไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ ค่าแรงไม่เพิ่มตามผลิตภาพ เพราะ นายทุนมีอำนาจเหนือรัฐบาล จนรัฐบาลควบคุมไม่ได้ นายทุนชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้
ปล. เมื่อก่อนไม่เคยเห็นด้วยกับ ระบอบคอมมิวนิตส์ หรือ สังคมนิยม แต่มาเวลานี้ ก็เริ่มเห็นประสิทธิภาพของระบอบเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันมากที่สุด
ประเทศไทยน่าจะออก กฎหมายควบคุมราคา ควบคุมระบบตลาดเสรี ควบคุมการไหลเข้าออกของทุน อย่างเข้มงวด
เวลาเห็นบริษัทเอกชนต่างๆ บ่นว่าต้นทุนสูงอย่างนั้น อย่างนี้ ร้องขอรัฐบาลขึ้นราคาสินค้า แต่ก็มักจะมาพร้อมกับ ข่าวที่ว่า " บริษัท X " ทำกำไรได้มากเป็นประวัติการณ์ หรือ หุ้นพุ่ง นู่นนี่นั่นพุ่ง เพราะ เอกชนไม่ยอมลดกำไรตัวเองแม้แต่แดงเดียว ต้นทุนขึ้นเท่าไรไม่สน แต่กำไรต้องเท่าเดิม เป็นอะไรที่น่าแค้นเคืองเป็นถึงที่สุด
ตัวอย่าง ข่าวบริษัทน้ำมันของอังกฤษ กำไรพุ่ง ในขณะที่ค่าไฟประชาชนแพงขึ้นเป็นประวัติการณ์
>>>> https://www.bbc.com/news/business-62382624
หรือไม่ต้องไปต่างประเทศก็ได้ เอาแค่ในไทย ค่าไฟแพงขนาดนี้ หุ้นโรงไฟฟ้า หุ้นถ่านหิน พุ่งไปเท่าไร่แล้ว คนได้ประโยชน์ก็แค่ คนเล่นหุ้นไม่กี่คน กับ เจ้าของกิจการ ในขณะที่ภาคครัวเรือน กับ ธุรกิจ ลำบากยากเข็ญทั่วหน้า
นี่คือ ข้อเสียที่สุดของ ระบบทุนนิยม ที่ผลประโยชน์ส่วนตน มาก่อนส่วนรวม เราปล่อยให้ระบบตลาดเสรีทำงานด้วยตัวของมันเองมากเกินไป โดยปราศจากก็ควบคุม ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะดี เพราะทำให้ผลิตภาพสูงขึ้น แต่ก็ทำให้คนส่วนใหญ่ลำบากมากขึ้น อำนาจต่อรองน้อยลง และ เทคโนโลยีเข้ามาแย่งงาน กับ กีดกัดคนชนชั้นล่างให้ออกไป ถึงเวลาที่ รัฐบาลเข้ามามี บทบาทสำคัญมากกว่า เอกชน แล้ว
ใครจะมาพ่น มุข เวเนซุเอลา ก็ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่คำแรก และ รัฐบาลหน้า ควรออกกฎหมายทำนองนี้ได้แล้ว หรือ ข้ออ้างที่ว่า " ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลาง " ก็เป็นข้ออ้างที่โง่เง่าที่สุด ที่เห็นมาช่วงนี้ คือ ถ้า productivity ไม่เพิ่ม ราคากับกำไรก็ต้องไม่เพิ่ม นั่นหมายความว่า เราถูกนายทุนหลอกว่า productivity ไม่เพิ่ม ทั้งๆที่ความจริง productivity เพิ่มมาตลอด ไม่ว่าจะที่ไหนบนโลก ผลิตภาพไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ ค่าแรงไม่เพิ่มตามผลิตภาพ เพราะ นายทุนมีอำนาจเหนือรัฐบาล จนรัฐบาลควบคุมไม่ได้ นายทุนชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้
ปล. เมื่อก่อนไม่เคยเห็นด้วยกับ ระบอบคอมมิวนิตส์ หรือ สังคมนิยม แต่มาเวลานี้ ก็เริ่มเห็นประสิทธิภาพของระบอบเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันมากที่สุด