1. ความน่าจะเป็นที่กลุ่มขบวนการจากกัมพูชาจะสั่งซื้อทองคำจากไทยเพื่อลักลอบนำเข้าเวียดนาม
มีความน่าจะเป็น
สูงมาก เนื่องจาก
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำในภูมิภาค ทำให้เข้าถึงทองคำได้ง่าย มีปริมาณมาก และอาจได้ราคาที่แข่งขันได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ตลาดโลกโดยตรง
ส่วนต่างราคาที่สูงมากในเวียดนาม นี่คือแรงจูงใจหลักและสำคัญที่สุด
ประสบการณ์และรูปแบบการลักลอบที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ประวัติการจับกุมแสดงให้เห็นว่าขบวนการลักลอบทองคำจากกัมพูชาเข้าเวียดนามเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มใหญ่ โดยใช้เส้นทางและวิธีการที่คล้ายคลึงกัน
นโยบายควบคุมทองคำของเวียดนาม การที่รัฐบาลเวียดนามควบคุมการนำเข้า-ส่งออกทองคำอย่างเข้มงวด ทำให้ราคาทองคำในประเทศสูงกว่าตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ สร้างช่องว่างให้กับการลักลอบ
2. ส่วนต่างราคาเป็นแรงจูงใจสำคัญหรือไม่ และกำไรที่คาดว่าจะได้
เป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่สุด ดังที่กราฟแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน และเนื้อข่าวก็ยืนยัน
จากภาพกราฟ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ราคาทองคำ SJC เวียดนาม (เส้นสีเหลือง) อยู่ที่ประมาณ $3,950 - $4,000 ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำ Spot gold ในตลาดโลก (เส้นสีดำ) อยู่ที่ประมาณ $3,350 - $3,400 ต่อออนซ์
ส่วนต่างราคาต่อออนซ์ อยู่ที่ประมาณ $550 – 650 ต่อออนซ์
(650 ต่อออนซ์ (650ต่อออนซ์(3,950 - $3,400 = $550 หรือ $4,000 - $3,350 = $650)
ส่วนต่างเป็นเปอร์เซ็นต์ ราคาทองคำในเวียดนามสูงกว่าตลาดโลกประมาณ 16% - 20% ซึ่งสอดคล้องกับข่าวที่ระบุว่า "Gold in Vietnam Costs One Fifth More Than Global Market" (หนึ่งในห้าคือ 20%)
การคำนวณกำไร (จากประวัติการจับกุมเป็นตัวอย่าง)
จากข้อมูลการจับกุมกลุ่มขบวนการของ Nguyen Thi Minh Phung และ Nguyen Thi Kim Phuong
กลุ่มของ Nguyen Thi Minh Phung ลักลอบขนทองคำ 4,830 กิโลกรัม (ประมาณ 155,283 ออนซ์) ทำกำไรได้มากกว่า 17,600 ล้านดองเวียดนาม (VND)
ถ้า 1 กิโลกรัม = 32.15 ออนซ์
กำไรต่อกิโลกรัม = 17,600,000,000 VND / 4,830 kg = 3,643,892 VND/kg
กำไรต่อออนซ์ = 17,600,000,000 VND / 155,283 oz = 113,348 VND/oz
กลุ่มของ Nguyen Thi Kim Phuong ลักลอบขนทองคำ 1,320 กิโลกรัม (ประมาณ 42,438 ออนซ์) ทำกำไรได้มากกว่า 6,800 ล้านดองเวียดนาม
กำไรต่อกิโลกรัม = 6,800,000,000 VND / 1,320 kg = 5,151,515 VND/kg
กำไรต่อออนซ์ = 6,800,000,000 VND / 42,438 oz = 160,230 VND/oz
แม้ว่าตัวเลขกำไรต่อหน่วยจะแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละกลุ่ม ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับต้นทุนการจัดการหรือช่วงเวลาการลักลอบที่ต่างกัน แต่ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึง
กำไรมหาศาล ที่เป็นแรงจูงใจให้เกิดการลักลอบ
3. การตอบโจทย์คำถามว่าทำไมกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ถึงสามารถสั่งซื้อทองคำได้มากเกินอุปสงค์
นอกจากประเด็นเงินทุนเทา แกงค์คอลเซ็นเตอร์ ที่ทำให้กัมพูชาเป็นแหล่งฟอกเงินสำคัญในภูมิภาคไปแล้วนั้น อีกประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือส่วนต่างราคาที่สูงมากในเวียดนามนี้
สามารถตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี
กัมพูชาอาจไม่ได้มีอุปสงค์ทองคำภายในประเทศสูงมาก แต่ด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ติดกับเวียดนามและมีพรมแดนที่สามารถใช้ลักลอบได้ ทำให้กัมพูชากลายเป็น
จุดผ่านแดน (transit point) สำคัญสำหรับทองคำที่มาจากตลาดโลก (เช่น จากไทย) เพื่อนำไปลักลอบเข้าสู่ตลาดเวียดนามที่ให้ราคาสูงกว่า
กลุ่มขบวนการจะใช้กัมพูชาเป็นฐานในการสั่งซื้อทองคำ (ซึ่งอาจจะไม่ได้ถูกบันทึกว่าเป็นอุปสงค์ภายในประเทศกัมพูชาทั้งหมด) เพื่อเก็งกำไรจากส่วนต่างราคา เมื่อลักลอบนำเข้าเวียดนาม
ข้อมูลประวัติการจับกุมยังตอกย้ำว่า "ราคาทองคำในประเทศที่สูงกว่าราคาทองคำในประเทศกัมพูชา" เป็นแรงจูงใจในการลักลอบขนทองคำ
จากกัมพูชาไปยังเวียดนาม แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาทำหน้าที่เป็นจุดรวบรวมก่อนส่งต่อ
4. สาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำในเวียดนามสูงกว่าราคาทองคำในตลาดโลก
เกิดจาก
นโยบายรัฐบาลเวียดนามในการควบคุมการค้าทองคำอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการควบคุมการนำเข้า-ส่งออกทองคำ
พระราชกฤษฎีกา 24/2012/ND-CP ตั้งแต่ปี 2555 นโยบายนี้ทำให้ธนาคารแห่งรัฐเข้ามาบริหารจัดการการนำเข้าทองคำแท่ง ทองคำแท่ง และทองคำดิบอย่างเคร่งครัด ซึ่งหมายถึงการจำกัดปริมาณและผู้เล่นในตลาดอย่างมาก
กลไกผูกขาดโดยรัฐ ในอดีต ธนาคารแห่งรัฐมีบทบาทในการ "จัดระเบียบการส่งออกทองคำดิบและการนำเข้าทองคำดิบเพื่อผลิตทองคำแท่ง" ซึ่งเป็นกลไกการผูกขาด ทำให้การไหลเวียนของทองคำในตลาดเวียดนามไม่เป็นไปตามกลไกตลาดเสรี
Decree No. 232/2025/ND-CP แม้ว่าจะมีแก้ไขให้ยกเลิกบทบาทผูกขาดของธนาคารแห่งรัฐในการ "จัดระเบียบการส่งออก/นำเข้าทองคำดิบเพื่อผลิตทองคำแท่ง" ในปี 2025 แต่ก็แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้มีนโยบายที่จำกัดการนำเข้าอย่างเข้มงวด และผลของนโยบายเดิมยังคงส่งผลต่อโครงสร้างราคาในตลาดเวียดนาม ทำให้ราคาทองคำในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
สรุปแบบได้ใจความ
ราคาทองคำในเวียดนามที่สูงกว่าตลาดโลกถึง 1 ใน 5 หรือประมาณ 20% (ประมาณ 550−550-550−650 ต่อออนซ์) เป็นผลมาจาก
นโยบายควบคุมการนำเข้า-ส่งออกทองคำที่เข้มงวดและกลไกการผูกขาดในอดีตของรัฐบาลเวียดนาม ส่วนต่างราคาที่มหาศาลนี้เป็น
แรงจูงใจสำคัญที่สุด ที่ทำให้เกิดขบวนการลักลอบทองคำ และทำให้มีความเป็นไปได้สูงมากที่กลุ่มขบวนการจากกัมพูชาจะสั่งซื้อทองคำจากประเทศไทย (ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำ) เพื่อนำไปลักลอบเข้าเวียดนามอย่างผิดกฎหมาย การที่กัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ สามารถสั่งซื้อทองคำได้มากเกินอุปสงค์ภายในประเทศของตนเอง ก็สามารถอธิบายได้ด้วยบทบาทของกัมพูชาในฐานะ
จุดผ่านแดนสำคัญ ในเส้นทางการลักลอบทองคำนี้ ดังที่เคยมีประวัติการจับกุมขบวนการลักลอบทองคำหลายตันในเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นถึงผลกำไรมหาศาลจากการอาศัยช่องว่างของนโยบายนี้
ความน่าจะเป็นที่กลุ่มขบวนการจากกัมพูชาจะสั่งซื้อทองคำจากไทยเพื่อลักลอบนำเข้าเวียดนาม
1. ความน่าจะเป็นที่กลุ่มขบวนการจากกัมพูชาจะสั่งซื้อทองคำจากไทยเพื่อลักลอบนำเข้าเวียดนาม
มีความน่าจะเป็น สูงมาก เนื่องจาก
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำในภูมิภาค ทำให้เข้าถึงทองคำได้ง่าย มีปริมาณมาก และอาจได้ราคาที่แข่งขันได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ตลาดโลกโดยตรง
ส่วนต่างราคาที่สูงมากในเวียดนาม นี่คือแรงจูงใจหลักและสำคัญที่สุด
ประสบการณ์และรูปแบบการลักลอบที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ประวัติการจับกุมแสดงให้เห็นว่าขบวนการลักลอบทองคำจากกัมพูชาเข้าเวียดนามเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มใหญ่ โดยใช้เส้นทางและวิธีการที่คล้ายคลึงกัน
นโยบายควบคุมทองคำของเวียดนาม การที่รัฐบาลเวียดนามควบคุมการนำเข้า-ส่งออกทองคำอย่างเข้มงวด ทำให้ราคาทองคำในประเทศสูงกว่าตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ สร้างช่องว่างให้กับการลักลอบ
2. ส่วนต่างราคาเป็นแรงจูงใจสำคัญหรือไม่ และกำไรที่คาดว่าจะได้
เป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่สุด ดังที่กราฟแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน และเนื้อข่าวก็ยืนยัน
จากภาพกราฟ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ราคาทองคำ SJC เวียดนาม (เส้นสีเหลือง) อยู่ที่ประมาณ $3,950 - $4,000 ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำ Spot gold ในตลาดโลก (เส้นสีดำ) อยู่ที่ประมาณ $3,350 - $3,400 ต่อออนซ์
ส่วนต่างราคาต่อออนซ์ อยู่ที่ประมาณ $550 – 650 ต่อออนซ์
(650 ต่อออนซ์ (650ต่อออนซ์(3,950 - $3,400 = $550 หรือ $4,000 - $3,350 = $650)
ส่วนต่างเป็นเปอร์เซ็นต์ ราคาทองคำในเวียดนามสูงกว่าตลาดโลกประมาณ 16% - 20% ซึ่งสอดคล้องกับข่าวที่ระบุว่า "Gold in Vietnam Costs One Fifth More Than Global Market" (หนึ่งในห้าคือ 20%)
การคำนวณกำไร (จากประวัติการจับกุมเป็นตัวอย่าง)
จากข้อมูลการจับกุมกลุ่มขบวนการของ Nguyen Thi Minh Phung และ Nguyen Thi Kim Phuong
กลุ่มของ Nguyen Thi Minh Phung ลักลอบขนทองคำ 4,830 กิโลกรัม (ประมาณ 155,283 ออนซ์) ทำกำไรได้มากกว่า 17,600 ล้านดองเวียดนาม (VND)
ถ้า 1 กิโลกรัม = 32.15 ออนซ์
กำไรต่อกิโลกรัม = 17,600,000,000 VND / 4,830 kg = 3,643,892 VND/kg
กำไรต่อออนซ์ = 17,600,000,000 VND / 155,283 oz = 113,348 VND/oz
กลุ่มของ Nguyen Thi Kim Phuong ลักลอบขนทองคำ 1,320 กิโลกรัม (ประมาณ 42,438 ออนซ์) ทำกำไรได้มากกว่า 6,800 ล้านดองเวียดนาม
กำไรต่อกิโลกรัม = 6,800,000,000 VND / 1,320 kg = 5,151,515 VND/kg
กำไรต่อออนซ์ = 6,800,000,000 VND / 42,438 oz = 160,230 VND/oz
แม้ว่าตัวเลขกำไรต่อหน่วยจะแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละกลุ่ม ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับต้นทุนการจัดการหรือช่วงเวลาการลักลอบที่ต่างกัน แต่ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึง กำไรมหาศาล ที่เป็นแรงจูงใจให้เกิดการลักลอบ
3. การตอบโจทย์คำถามว่าทำไมกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ถึงสามารถสั่งซื้อทองคำได้มากเกินอุปสงค์
นอกจากประเด็นเงินทุนเทา แกงค์คอลเซ็นเตอร์ ที่ทำให้กัมพูชาเป็นแหล่งฟอกเงินสำคัญในภูมิภาคไปแล้วนั้น อีกประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือส่วนต่างราคาที่สูงมากในเวียดนามนี้ สามารถตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี
กัมพูชาอาจไม่ได้มีอุปสงค์ทองคำภายในประเทศสูงมาก แต่ด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ติดกับเวียดนามและมีพรมแดนที่สามารถใช้ลักลอบได้ ทำให้กัมพูชากลายเป็น จุดผ่านแดน (transit point) สำคัญสำหรับทองคำที่มาจากตลาดโลก (เช่น จากไทย) เพื่อนำไปลักลอบเข้าสู่ตลาดเวียดนามที่ให้ราคาสูงกว่า
กลุ่มขบวนการจะใช้กัมพูชาเป็นฐานในการสั่งซื้อทองคำ (ซึ่งอาจจะไม่ได้ถูกบันทึกว่าเป็นอุปสงค์ภายในประเทศกัมพูชาทั้งหมด) เพื่อเก็งกำไรจากส่วนต่างราคา เมื่อลักลอบนำเข้าเวียดนาม
ข้อมูลประวัติการจับกุมยังตอกย้ำว่า "ราคาทองคำในประเทศที่สูงกว่าราคาทองคำในประเทศกัมพูชา" เป็นแรงจูงใจในการลักลอบขนทองคำ จากกัมพูชาไปยังเวียดนาม แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาทำหน้าที่เป็นจุดรวบรวมก่อนส่งต่อ
4. สาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำในเวียดนามสูงกว่าราคาทองคำในตลาดโลก
เกิดจาก นโยบายรัฐบาลเวียดนามในการควบคุมการค้าทองคำอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการควบคุมการนำเข้า-ส่งออกทองคำ
พระราชกฤษฎีกา 24/2012/ND-CP ตั้งแต่ปี 2555 นโยบายนี้ทำให้ธนาคารแห่งรัฐเข้ามาบริหารจัดการการนำเข้าทองคำแท่ง ทองคำแท่ง และทองคำดิบอย่างเคร่งครัด ซึ่งหมายถึงการจำกัดปริมาณและผู้เล่นในตลาดอย่างมาก
กลไกผูกขาดโดยรัฐ ในอดีต ธนาคารแห่งรัฐมีบทบาทในการ "จัดระเบียบการส่งออกทองคำดิบและการนำเข้าทองคำดิบเพื่อผลิตทองคำแท่ง" ซึ่งเป็นกลไกการผูกขาด ทำให้การไหลเวียนของทองคำในตลาดเวียดนามไม่เป็นไปตามกลไกตลาดเสรี
Decree No. 232/2025/ND-CP แม้ว่าจะมีแก้ไขให้ยกเลิกบทบาทผูกขาดของธนาคารแห่งรัฐในการ "จัดระเบียบการส่งออก/นำเข้าทองคำดิบเพื่อผลิตทองคำแท่ง" ในปี 2025 แต่ก็แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้มีนโยบายที่จำกัดการนำเข้าอย่างเข้มงวด และผลของนโยบายเดิมยังคงส่งผลต่อโครงสร้างราคาในตลาดเวียดนาม ทำให้ราคาทองคำในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
สรุปแบบได้ใจความ
ราคาทองคำในเวียดนามที่สูงกว่าตลาดโลกถึง 1 ใน 5 หรือประมาณ 20% (ประมาณ 550−550-550−650 ต่อออนซ์) เป็นผลมาจาก นโยบายควบคุมการนำเข้า-ส่งออกทองคำที่เข้มงวดและกลไกการผูกขาดในอดีตของรัฐบาลเวียดนาม ส่วนต่างราคาที่มหาศาลนี้เป็น แรงจูงใจสำคัญที่สุด ที่ทำให้เกิดขบวนการลักลอบทองคำ และทำให้มีความเป็นไปได้สูงมากที่กลุ่มขบวนการจากกัมพูชาจะสั่งซื้อทองคำจากประเทศไทย (ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำ) เพื่อนำไปลักลอบเข้าเวียดนามอย่างผิดกฎหมาย การที่กัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ สามารถสั่งซื้อทองคำได้มากเกินอุปสงค์ภายในประเทศของตนเอง ก็สามารถอธิบายได้ด้วยบทบาทของกัมพูชาในฐานะ จุดผ่านแดนสำคัญ ในเส้นทางการลักลอบทองคำนี้ ดังที่เคยมีประวัติการจับกุมขบวนการลักลอบทองคำหลายตันในเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นถึงผลกำไรมหาศาลจากการอาศัยช่องว่างของนโยบายนี้