ตอนนี้ ผมอายุ 30+ ทำงานเป็นหัวหน้าการตลาด ในองค์กรหนึ่ง เงินเดือน 2-3หมื่น กับแฟน เรามีลูกด้วยกันหนึ่งคนเป็นลูกสาว ในตอนนี้ผมต้องมาทำงานที่ต่างจังหวัด ห่างลูกห่างครอบครัว 3-4เดือนจะได้ลากลับบ้านครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านั้น ผมได้พี่ชายคนนึ่งที่รู้จัก ผมขอพี่เขาไปทำงานด้วย ผมตัดสินใจต้องทำ ได้คุยกับแฟนกับขอให้เขาดูแลรับผิดชอบเรื่องลูกทางบ้านแทน เพื่อเงินที่เพิ่มมากขึ้น เงินเดือนก็ราวๆ 15000+ แต่ต้องแลกกับต้องขับรถไปกลับตจว.ทุกวัน เข้างาน 8โมง เลิก2ทุ่ม ขับรถมอเตอไซ ไปกลับรวมๆก็80กิโล ทำอยู่ราวๆ2เดือนเต็ม พี่ผมจึงได้ผลักดันให้ผมได้เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งเขามองว่าผมมีวุฒิภาวะ ตั้งใจ ผมสู้ จนผมได้มาประจำงานเต็มตัว มีที่พักและสวัสดิการให้
หลังจากที่ผมไปอยู่ตจว.แล้ว แฟนผม เขาอาศัยอยู่ที่บ้านผม เขาไม่มีอาชีพ ไม่มีเงินเดือน ผมจึงส่งเงินกลับบ้านตลอดทุกๆเดือน ตอนนั้นแฟนผมเขาเป็นนายหน้า รับจำกินดอกทุกทาง แต่ภาระทางบ้างผมจะเป็นคนส่งเงินมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟที่บ้านทั้งหมด แม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่ ค่างวดรถเป็นชื่อแฟน ผมส่งงวดทุกเดือน ค่ากิน เงินฝากบัญชีลูกต่างหากอีกทุกเดือน
ในปัจจุบันตอนนี้ลูกสาวผม จะให้แม่ผมเป็นคนจัดการดูแลแทนเข้าเรียนโรงเรียนประถมบ้านเกิดแม่ผม จะอยู่ที่ต่างจังหวัด ลูกไม่ได้อยู่กับแฟนผม และผมจะรับผิดชอบในการส่งเงินกลับไปให้แม่ทุกอาทิตย์ ส่งนมให้ลูกกินทุกเดือน 4-5ลัง ไม่ให้ขาด
ผมต้องรับผิดชอบทั้ง3ทาง ลูกสาว แม่ผมที่อายุ63แล้ว มีหลานติดอีก1คนที่น้องสาวทิ้งไว้ไม่แยแส กับทางบ้านผมที่แฟนอยู่กับพ่อของผมที่เขาจะมาแต่เสาร์อาทิตย์
ผมกับแฟน เราไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่งงานกัน แต่อยู่กินฉันสามีภรรยา พอลูกเริ่มโตขึ้น เข้าเรียนจนจะเข้า5ขวบแล้ว ผมมองดูตัวแฟนผมมาตลอด ก็เห็นเขาก็ยังไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งก่อนที่ผมจะมาได้ทำงานนี้ ช่วงนั้น ผมลำบากมาก เปลี่ยนงานมาหลายงาน และบางทีทำงานประจำเสร็จ เลิกงานยังต้องออกไปขับแกร้บเพื่อหารายได้เพิ่ม กลับบ้านตี2-3 ส่วนเขาจะอยู่บ้าน ดูแลลูก บางครั้งเขาก็จะฝากลูกไว้ที่แม่ผม แล้วออกไปกับเพื่อน ผมก็ปล่อยให้เขามีอิสระบ้าง สังคมของแฟนผม มักจะมีแต่เพื่อนผู้ชาย ไม่ก็เด็กผู้หญิง ซึ่งผมในตอนนั้น วุฒิภาวะทางความคิด มายเซตผมเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่คนติดเที่ยว ดื่มเหล้า ติดเพื่อน พอมีลูกแล้วผมจึงตั้งความหวังว่าลูกผมต้องมีที่พึ่ง ซึ่งผมทำงานหนักมาก แต่ก่อน เงินทุกบาทที่เงินเดือนออก แฟนผมยึดหมด เอาไปบริหารจัดการเอง ผมซึ่งหารายได้ทางเดียว จึงรู้สึกไม่ไหว ผมไม่ยอมอีกต่อไป เขาจึงให้ผมบริหารจัดการเอง จะได้รู้ว่าทุกบาทที่ผมจัดแจงไปมีอะไรบ้าง ซึ่งมันก็ไม่พอใช้จริงๆ และผมเริ่มจัดการบริหารตนเองได้ แต่เขาไม่ไว้ใจผม กลัวผมเอาเงินหามาได้ไปซื้ออะไรไร้สาระ ซึ่งผมคิดว่า เงินผมหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง ผมจะซื้ออะไรให้ตัวเองบ้าง มันผิดไหม? เขาบอกว่าผมเห็นแก่ตัว เงินทุกเดือน ผมจะไม่ให้เขารู้ว่าผมมีเงินเก็บไว้ลงทุน เพราะผมหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของผม ซึ่งเขาไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย เพราะเหมือนรายได้ที่เขาหาได้ ส่วนใหญ่ ก็มาจากรับจำ กินดอก แต่ก็ตามได้บ้างไม่ได้บ้าง เอาไว้ซื้อกินพอแต่รอดไปวันๆ เป็นนายหน้ามีคอนเนคชั่น แต่ก็ปิดงานไม่ค่อยได้ ซึ่งผมปล่อย มันคือชีวิตเขาเลือก
ผมเคยเตือนไปแล้ว ว่ามันไม่ได้ตลอดหรอก ไปหางานทำเถอะ ลูกก็ยิ่งโตยิ่งใช้เงิน แม่เราก็ดูให้แล้ว นางก็ตัดสินใจ จะไปทำงานกับเพื่อนที่ภูเก็ต ขอเงินผมไปจำนวนนึง ผมก็ให้ไป สุดท้ายไปทำได้ไม่กี่วัน ติดโควิด-19 ทำได้ไม่ถึงเดือนก็กลับมาพอกลับมา นางก็ยังไม่มีอะไรทำเช่นเคย ก็ได้ไปหุ้นเช่าที่ ขายของ ดูเหมือนจะพอขายได้ ขายได้บางช่วงก็ต้องหยุดลง เพราะแม่เขาดันป่วย หมดเงินหมดอะไรไปกับการรักษา ผมก็โอนเงินไปช่วยเหลือเขาส่วนหนึ่ง ต้องเลิกขายไปดูแลแม่ที่ต้องเตรียมผ่าตัดหลัง แม่เขาลุกทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากกระดูกทับเส้น ต้องนอนเป็นอาทิตย์ สุดท้ายร้านตรงนั้นก็เลิกทำอีก ก็เลยถามว่า คิดจะทำยังไงต่อไป เขาบอกว่า คุยกับน้องสาวแล้ว จะหาเช่าที่ร่วมทุนกับน้องสาวเปิดร้านอาหาร ผมก็เลยถามไปว่า มีทุนเหรอ เขาก็ไม่ค่อยมีหรอกครับ
สุดท้าย เงินที่รับจำกินดอก ตามก็ไม่ค่อยได้คืน ไม่มีเงิน ต้องปล่อยไป และจะขอให้ผมช่วย ผมจึงรู้สึกว่า ไอ้ที่ผ่านมา ผมดิ้นรนมาตลอดด้วยตัวเอง ไม่เคยหยิบยืมเงินจากครอบครัว ทรัพย์สินที่ผมมีก็เอาไปจำนองมาให้ใช้ ผมก็ส่งจนหมด มีแต่หาเข้ามาให้ซัพพอร์ตตลอด จะต้องมาช่วยลงทุนในการเปิดร้านที่ผมกังวลว่าทำแบบครึ่งๆกลางๆแล้วเสียทิ้งไปรึเปล่า เพราะที่ผ่านมาผมสัมผัสได้ว่า นางทำอะไรไม่เคยสุดทางสักอย่างเลย ผมจึงปฏิเสธช่วยไป
แล้วนางก็ไม่พอใจ ที่ผมปฏิเสธผมบอกให้ไปหากู้เอา จะได้รู้ว่าการเป็นหนี้ ก็ต้องดิ้นรนและรับผิดชอบเอง ด้วยที่นางเป็นคนที่ชอบใช้อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ ผมจึงปิดเสียง และไม่อยากฟัง อยากให้ผมช่วย แต่มาตำหนิที่ผมไม่ช่วย ใครจะอยากช่วย ผมจึงตัดสายหนีไปเลย
ผิดไหม ที่ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ซัพพอร์ตได้ทุกเรื่อง ผมแค่อยากให้เขาทำอะไรด้วยตัวเองดูบ้าง คือผมซัพพอร์ทหลายทางแล้ว ผมก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน ปัจจุบันเขาไม่มีอะไรเลย ผมยังพอมีทรัพย์สินนิดหน่อย ผมก็อยากฝากชีวิตกับคนที่รับฟังผม มองว่าผมเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่มาว่าผมฉอดๆ พูดเอาชนะผมแล้วมันได้อะไร
ผมมาถึงจุดนี้ได้ ก็แค่อยากแนะนำ เขาควรจะฟังความคิดมุมผมบ้าง ไม่ใช่มองแต่ในมุมของเขาเองคนเดียว พอผมตั้งคำถาม ก็เหมือนผมไปปฏิเสธอะไรเขา ทั้งๆที่ผมแค่ถามเขา ไม่ใช่ว่าพอผมลืมตาอ้าปากได้แล้วทำมาสอน แต่มันคือความจริง ทั้งๆที่ผมก็แบกไว้ให้เขาได้เดินสะดวก
ผมขอแค่ไม่จำเป็นต้องรวย ขอแค่รู้ว่าตัวเขาเองต้องทำอะไร มีจุดหมายไหม และรู้สึกได้เลยว่าทุกวันนี้ผมเหนื่อยแล้ว ผมไม่ใช่หุ่นยนต์ ผมไม่อยากโทรไปคุยกับแฟน คุยไปก็ไม่ได้กำลังใจอะไร เพราะแค่นึกภาพสีหน้าที่เขาตำหนิผม แว้ดๆๆ เหมือนตัวเขาเป็นคนแบบนี้ ซึ่งผมทนนิสัยเดิมๆแบบนี้เขามาตลอด เขาจะไม่ปรับหรือเปลี่ยนอะไร
มันทำให้ผมไม่รู้จะคุยอะไรแค่จะปรึกษาอะไร ก็ไม่อยาก เพราะคิดว่า คงคิดไม่เหมือนกัน ต่อจากนี้ เลยไม่อยากรับผิดชอบในส่วนนั้นแล้ว ให้เขาจัดการด้วยตัวเองดูบ้าง ผมคิดไว้แล้วว่า ผมกับแฟนนั้น จะอยู่ด้วยกันได้เหรอ ในตัวเขาชอบอะไรเกลียดอะไร วันครบรอบ วันสำคัญ ผมจำได้หมด แต่ว่าผมชอบอะไร เกลียดอะไร เขายังไม่รู้เลย
รู้สึกไม่มีความสุขเลย ที่ต้องห่างบ้าน ห่างลูก มาทำงานหาเงินไกลๆแต่ผมต้องอดทนเพื่อที่บ้านจะไม่ลำบาก ส่วนตัวเขายังได้ใกล้ชิด เจอลูกบ่อยกว่าผม ส่วนผมได้แค่วีดีโอคอล
มันเหนื่อยมากเหลือเกิน... ผมควรทำยังไง? ผมวางแผนเก็บเงินก้อนได้สัก2-3แสน ผมจะลงทุนในทางของผม และอยากกลับไปใช้ชีวิตธรรมดา เหมือนกัน เป็นหัวหน้าแรงกดดันมันก็มี ผมอาจจะทนไปได้สักกี่ปี ไม่มีใครอยากเป็น ลูกจ้างไปตลอด เราหาเงินเพื่อใช้ชีวิตในยามแก่ ตอนนี้มีแรง ก็รีบหาให้มาก...
ผมไม่รู้ว่าผมจะยื้อไว้แบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน...
เรากับแฟน นิสัยเข้ากันไม่ได้ จะอยู่ด้วยกันได้นานแค่ไหน?
ก่อนหน้านั้น ผมได้พี่ชายคนนึ่งที่รู้จัก ผมขอพี่เขาไปทำงานด้วย ผมตัดสินใจต้องทำ ได้คุยกับแฟนกับขอให้เขาดูแลรับผิดชอบเรื่องลูกทางบ้านแทน เพื่อเงินที่เพิ่มมากขึ้น เงินเดือนก็ราวๆ 15000+ แต่ต้องแลกกับต้องขับรถไปกลับตจว.ทุกวัน เข้างาน 8โมง เลิก2ทุ่ม ขับรถมอเตอไซ ไปกลับรวมๆก็80กิโล ทำอยู่ราวๆ2เดือนเต็ม พี่ผมจึงได้ผลักดันให้ผมได้เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งเขามองว่าผมมีวุฒิภาวะ ตั้งใจ ผมสู้ จนผมได้มาประจำงานเต็มตัว มีที่พักและสวัสดิการให้
หลังจากที่ผมไปอยู่ตจว.แล้ว แฟนผม เขาอาศัยอยู่ที่บ้านผม เขาไม่มีอาชีพ ไม่มีเงินเดือน ผมจึงส่งเงินกลับบ้านตลอดทุกๆเดือน ตอนนั้นแฟนผมเขาเป็นนายหน้า รับจำกินดอกทุกทาง แต่ภาระทางบ้างผมจะเป็นคนส่งเงินมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟที่บ้านทั้งหมด แม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่ ค่างวดรถเป็นชื่อแฟน ผมส่งงวดทุกเดือน ค่ากิน เงินฝากบัญชีลูกต่างหากอีกทุกเดือน
ในปัจจุบันตอนนี้ลูกสาวผม จะให้แม่ผมเป็นคนจัดการดูแลแทนเข้าเรียนโรงเรียนประถมบ้านเกิดแม่ผม จะอยู่ที่ต่างจังหวัด ลูกไม่ได้อยู่กับแฟนผม และผมจะรับผิดชอบในการส่งเงินกลับไปให้แม่ทุกอาทิตย์ ส่งนมให้ลูกกินทุกเดือน 4-5ลัง ไม่ให้ขาด
ผมต้องรับผิดชอบทั้ง3ทาง ลูกสาว แม่ผมที่อายุ63แล้ว มีหลานติดอีก1คนที่น้องสาวทิ้งไว้ไม่แยแส กับทางบ้านผมที่แฟนอยู่กับพ่อของผมที่เขาจะมาแต่เสาร์อาทิตย์
ผมกับแฟน เราไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่งงานกัน แต่อยู่กินฉันสามีภรรยา พอลูกเริ่มโตขึ้น เข้าเรียนจนจะเข้า5ขวบแล้ว ผมมองดูตัวแฟนผมมาตลอด ก็เห็นเขาก็ยังไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งก่อนที่ผมจะมาได้ทำงานนี้ ช่วงนั้น ผมลำบากมาก เปลี่ยนงานมาหลายงาน และบางทีทำงานประจำเสร็จ เลิกงานยังต้องออกไปขับแกร้บเพื่อหารายได้เพิ่ม กลับบ้านตี2-3 ส่วนเขาจะอยู่บ้าน ดูแลลูก บางครั้งเขาก็จะฝากลูกไว้ที่แม่ผม แล้วออกไปกับเพื่อน ผมก็ปล่อยให้เขามีอิสระบ้าง สังคมของแฟนผม มักจะมีแต่เพื่อนผู้ชาย ไม่ก็เด็กผู้หญิง ซึ่งผมในตอนนั้น วุฒิภาวะทางความคิด มายเซตผมเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่คนติดเที่ยว ดื่มเหล้า ติดเพื่อน พอมีลูกแล้วผมจึงตั้งความหวังว่าลูกผมต้องมีที่พึ่ง ซึ่งผมทำงานหนักมาก แต่ก่อน เงินทุกบาทที่เงินเดือนออก แฟนผมยึดหมด เอาไปบริหารจัดการเอง ผมซึ่งหารายได้ทางเดียว จึงรู้สึกไม่ไหว ผมไม่ยอมอีกต่อไป เขาจึงให้ผมบริหารจัดการเอง จะได้รู้ว่าทุกบาทที่ผมจัดแจงไปมีอะไรบ้าง ซึ่งมันก็ไม่พอใช้จริงๆ และผมเริ่มจัดการบริหารตนเองได้ แต่เขาไม่ไว้ใจผม กลัวผมเอาเงินหามาได้ไปซื้ออะไรไร้สาระ ซึ่งผมคิดว่า เงินผมหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง ผมจะซื้ออะไรให้ตัวเองบ้าง มันผิดไหม? เขาบอกว่าผมเห็นแก่ตัว เงินทุกเดือน ผมจะไม่ให้เขารู้ว่าผมมีเงินเก็บไว้ลงทุน เพราะผมหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของผม ซึ่งเขาไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย เพราะเหมือนรายได้ที่เขาหาได้ ส่วนใหญ่ ก็มาจากรับจำ กินดอก แต่ก็ตามได้บ้างไม่ได้บ้าง เอาไว้ซื้อกินพอแต่รอดไปวันๆ เป็นนายหน้ามีคอนเนคชั่น แต่ก็ปิดงานไม่ค่อยได้ ซึ่งผมปล่อย มันคือชีวิตเขาเลือก
ผมเคยเตือนไปแล้ว ว่ามันไม่ได้ตลอดหรอก ไปหางานทำเถอะ ลูกก็ยิ่งโตยิ่งใช้เงิน แม่เราก็ดูให้แล้ว นางก็ตัดสินใจ จะไปทำงานกับเพื่อนที่ภูเก็ต ขอเงินผมไปจำนวนนึง ผมก็ให้ไป สุดท้ายไปทำได้ไม่กี่วัน ติดโควิด-19 ทำได้ไม่ถึงเดือนก็กลับมาพอกลับมา นางก็ยังไม่มีอะไรทำเช่นเคย ก็ได้ไปหุ้นเช่าที่ ขายของ ดูเหมือนจะพอขายได้ ขายได้บางช่วงก็ต้องหยุดลง เพราะแม่เขาดันป่วย หมดเงินหมดอะไรไปกับการรักษา ผมก็โอนเงินไปช่วยเหลือเขาส่วนหนึ่ง ต้องเลิกขายไปดูแลแม่ที่ต้องเตรียมผ่าตัดหลัง แม่เขาลุกทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากกระดูกทับเส้น ต้องนอนเป็นอาทิตย์ สุดท้ายร้านตรงนั้นก็เลิกทำอีก ก็เลยถามว่า คิดจะทำยังไงต่อไป เขาบอกว่า คุยกับน้องสาวแล้ว จะหาเช่าที่ร่วมทุนกับน้องสาวเปิดร้านอาหาร ผมก็เลยถามไปว่า มีทุนเหรอ เขาก็ไม่ค่อยมีหรอกครับ
สุดท้าย เงินที่รับจำกินดอก ตามก็ไม่ค่อยได้คืน ไม่มีเงิน ต้องปล่อยไป และจะขอให้ผมช่วย ผมจึงรู้สึกว่า ไอ้ที่ผ่านมา ผมดิ้นรนมาตลอดด้วยตัวเอง ไม่เคยหยิบยืมเงินจากครอบครัว ทรัพย์สินที่ผมมีก็เอาไปจำนองมาให้ใช้ ผมก็ส่งจนหมด มีแต่หาเข้ามาให้ซัพพอร์ตตลอด จะต้องมาช่วยลงทุนในการเปิดร้านที่ผมกังวลว่าทำแบบครึ่งๆกลางๆแล้วเสียทิ้งไปรึเปล่า เพราะที่ผ่านมาผมสัมผัสได้ว่า นางทำอะไรไม่เคยสุดทางสักอย่างเลย ผมจึงปฏิเสธช่วยไป
แล้วนางก็ไม่พอใจ ที่ผมปฏิเสธผมบอกให้ไปหากู้เอา จะได้รู้ว่าการเป็นหนี้ ก็ต้องดิ้นรนและรับผิดชอบเอง ด้วยที่นางเป็นคนที่ชอบใช้อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ ผมจึงปิดเสียง และไม่อยากฟัง อยากให้ผมช่วย แต่มาตำหนิที่ผมไม่ช่วย ใครจะอยากช่วย ผมจึงตัดสายหนีไปเลย
ผิดไหม ที่ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ซัพพอร์ตได้ทุกเรื่อง ผมแค่อยากให้เขาทำอะไรด้วยตัวเองดูบ้าง คือผมซัพพอร์ทหลายทางแล้ว ผมก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน ปัจจุบันเขาไม่มีอะไรเลย ผมยังพอมีทรัพย์สินนิดหน่อย ผมก็อยากฝากชีวิตกับคนที่รับฟังผม มองว่าผมเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่มาว่าผมฉอดๆ พูดเอาชนะผมแล้วมันได้อะไร
ผมมาถึงจุดนี้ได้ ก็แค่อยากแนะนำ เขาควรจะฟังความคิดมุมผมบ้าง ไม่ใช่มองแต่ในมุมของเขาเองคนเดียว พอผมตั้งคำถาม ก็เหมือนผมไปปฏิเสธอะไรเขา ทั้งๆที่ผมแค่ถามเขา ไม่ใช่ว่าพอผมลืมตาอ้าปากได้แล้วทำมาสอน แต่มันคือความจริง ทั้งๆที่ผมก็แบกไว้ให้เขาได้เดินสะดวก
ผมขอแค่ไม่จำเป็นต้องรวย ขอแค่รู้ว่าตัวเขาเองต้องทำอะไร มีจุดหมายไหม และรู้สึกได้เลยว่าทุกวันนี้ผมเหนื่อยแล้ว ผมไม่ใช่หุ่นยนต์ ผมไม่อยากโทรไปคุยกับแฟน คุยไปก็ไม่ได้กำลังใจอะไร เพราะแค่นึกภาพสีหน้าที่เขาตำหนิผม แว้ดๆๆ เหมือนตัวเขาเป็นคนแบบนี้ ซึ่งผมทนนิสัยเดิมๆแบบนี้เขามาตลอด เขาจะไม่ปรับหรือเปลี่ยนอะไร
มันทำให้ผมไม่รู้จะคุยอะไรแค่จะปรึกษาอะไร ก็ไม่อยาก เพราะคิดว่า คงคิดไม่เหมือนกัน ต่อจากนี้ เลยไม่อยากรับผิดชอบในส่วนนั้นแล้ว ให้เขาจัดการด้วยตัวเองดูบ้าง ผมคิดไว้แล้วว่า ผมกับแฟนนั้น จะอยู่ด้วยกันได้เหรอ ในตัวเขาชอบอะไรเกลียดอะไร วันครบรอบ วันสำคัญ ผมจำได้หมด แต่ว่าผมชอบอะไร เกลียดอะไร เขายังไม่รู้เลย
รู้สึกไม่มีความสุขเลย ที่ต้องห่างบ้าน ห่างลูก มาทำงานหาเงินไกลๆแต่ผมต้องอดทนเพื่อที่บ้านจะไม่ลำบาก ส่วนตัวเขายังได้ใกล้ชิด เจอลูกบ่อยกว่าผม ส่วนผมได้แค่วีดีโอคอล
มันเหนื่อยมากเหลือเกิน... ผมควรทำยังไง? ผมวางแผนเก็บเงินก้อนได้สัก2-3แสน ผมจะลงทุนในทางของผม และอยากกลับไปใช้ชีวิตธรรมดา เหมือนกัน เป็นหัวหน้าแรงกดดันมันก็มี ผมอาจจะทนไปได้สักกี่ปี ไม่มีใครอยากเป็น ลูกจ้างไปตลอด เราหาเงินเพื่อใช้ชีวิตในยามแก่ ตอนนี้มีแรง ก็รีบหาให้มาก...
ผมไม่รู้ว่าผมจะยื้อไว้แบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน...