💜มาลาริน💜นับถอยหลังรอลุงตู่ค่ะ....วันนี้มีแต่ข่าวFCกล่าวถึงลุงตู่....💕🤟💕🤟💕


 เพจฟซบุ๊ก ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ แชร์เพจเฟซบุ๊ก โบราณนานมา โพสต์ข้อความพร้อมภาพ ระบุว่า


ก่อนหน้านี้(24 ส.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก โบราณนานมา โพสต์ข้อมูลนายกฯที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด ระบุว่า
“๖ อันดับ นายกรัฐมนตรี ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด
๑. จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ดำรงตำแหน่ง ๘ สมัย เป็นระยะเวลา ๑๕ ปี ๒๕ วัน
๒. จอมพล ถนอม กิตติขจร
ดำรงตำแหน่ง ๕ สมัย เป็นระยะเวลา ๙ ปี ๒๐๕ วัน
๓. พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
ดำรงตำแหน่ง ๓ สมัย เป็นระยะเวลา ๘ ปี ๑๕๔ วัน
๔. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ดำรงตำแหน่ง ๒ สมัย เป็นระยะเวลา ๘ ปี
๕. นายชวน หลีกภัย
ดำรงตำแหน่ง ๒ สมัย เป็นระยะเวลา ๖ ปี ๒๐ วัน
๖. นายทักษิณ ชินวัตร
ดำรงตำแหน่ง ๒ สมัย เป็นระยะเวลา ๕ ปี ๒๒๒ วัน”



ขณะเดียวกัน ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

“ช่วยกัน share ให้เป็น Viral หน่อยนะคะ
“นายกฯเถื่อนอยู่ดูไบ นายกฯไทยเคารพกฎหมาย” เพื่อสู้กับการ.....ของ.......ในคอกบางตัวนะคะ แล้วทำใจให้สบายรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนะคะ

ผลออกมาอย่างไร พวกเราต้องยอมรับนะคะ ถ้าลุงตู่ได้อยู่ต่อเราก็ช่วยกันดีใจ ถ้าลุงตู่มีอันต้องออกไป พวกเราก็ทำใจ แล้วไม่ต่อว่าศาลรัฐธรรมนูญกันนะคะ”


น่าสนใจไม่แพ้กัน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุว่า

“ไม่ได้ผิดจากความคาดหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้พิจารณาด้วยมติ 9-0 และให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้จนกว่าจะมีผลการวินิจฉัยออกมาด้วยมติ 5-4 ในขณะที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านยังถล่มไม่หยุด ยังคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นายกฯ ประยุทธ์ ต้องไปอย่างเดียว กระทั่งเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ก็โจมตีว่าเป็นไม่ได้เพราะไม่สง่างาม
ความจริงคนที่มีสมองในระดับที่สอบเข้าและเรียนจบแพทย์มาได้ ต้องมองออกอยู่แล้วว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ชัดอย่างที่กล่าวอ้าง รัฐธรรมนูญบอกว่า

“นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดํารงตําแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตําแหน่ง”

นั่นหมายความว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินกว่า 8 ปี ไม่ได้ แม้จะดำรงตำแหน่งมาแล้วเว้นจากการดำรงตำแหน่งไประยะหนึ่ง เช่น ดำรงตำแหน่งครบ 1 วาระ จากนั้นเว้น 1 วาระ เมื่อกลับมาดำรงตำแหน่งใหม่อีก ก็ไม่ให้เริ่มนับ 1 ใหม่ แต่ให้นับต่อเนื่อง โดยรวมกันแล้วจะเกินกว่า 8 ปีไม่ได้

รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ว่า ให้มีผลบังคับย้อนหลังไปหรือไม่ แต่โดยหลักแล้วกฎหมายจะมีผลบังคับย้อนหลังที่เป็นโทษต่อบุคคลไม่ได้ แต่บรรดา ส.ส.ฝ่ายค้าน นักวิชาการที่ไม่เอารัฐบาล ดูเหมือนยืนกระต่ายขาเดียวกันหมดว่า ต้องให้มีผลย้อนหลังไปก่อนที่รัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ ดังนั้น นายกฯต้องไปสถานเดียว แต่ความเป็นจริงจะต้องมีการตีความว่า จะสามารถให้มีผลย้อนหลังได้หรือไม่

มีบางคนไปนำเอากรณี คุณสิระ เจนจาคะ มาเทียบเคียง คุณสิระ ถูกร้องว่า เคยต้องโทษคดีฉ้อโกง อันเป็นคุณสมบัติต้องห้ามสำหรับตำแหน่ง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กรณีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้คุณสิระ พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ไม่ใช่ตั้งแต่วันที่ถูกร้อง แต่ให้ย้อนหลังไปถึงวันที่ได้ตำแหน่ง ส.ส. ซึ่งเท่ากับว่า คุณสิระไม่เคยเป็น ส.ส.มาเลยนั่นเอง

แต่กรณี คุณสิระ ไม่ได้เป็นการใช้กฎหมายบังคับย้อนหลัง เพราะในวันที่คุณสิระสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่ง ส.ส. คุณสิระขาดคุณสมบัติที่จะเป็น ส.ส.แล้วตามรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังบังคับใช้ขณะนั้น ซึ่งก็เป็นฉบับเดียวกับฉบับปัจจุบัน ดังนั้น กรณีของคุณสิระ จึงเป็นคนละกรณีกับ พลเอก ประยุทธ์ ซึ่งนำมาเทียบเคียงกันไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เป็นไปไม่ได้ว่า จะไม่มีใครมองออกว่า การตีความมีความเป็นไปได้ 3 ทาง อย่างที่มีการวิเคราะห์กัน แต่ที่ฝ่ายค้านทั้งหลายดึงดันว่าต้องออกสถานเดียว ก็เพื่อจะสร้างความเชื่อให้เกิดขึ้นในกลุ่มคนที่ไม่ต้องการหรือไม่มีเวลาอ่านกฎหมาย หรือสาวกที่พร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่บอกโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลและข้อกฎหมาย ทำให้ความเชื่อแบบนี้เกิดขึ้นในวงกว้าง เพื่อสร้างบรรยากาศเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญ

เป็นที่น่าสังเกตว่า ม็อบทั้งหลายที่พยายามก่อขึ้นในช่วงนี้กลับจุดไม่ติด ไม่ว่าจะกลุ่มใด จัดที่ไหน ล้วนมีคนมาร่วมโหรงเหรงหรอมแหรมทั้งสิ้น ทั้งยังจัดพิธีกรรมสาปแช่งที่ไร้สาระ พวกทะลุแก๊สก็ยังไม่วายป่วนเมือง ณ จุดเดิมคือสามเหลี่ยมดินแดง แต่ก็มีคนเพียงหยิบมือเดียว ไม่มีพลังใดๆ ทั้งสิ้น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คงไม่ใช่เป็นเพราะประชาชนที่ไม่ชอบ พลเอก ประยุทธ์ เกิดเปลี่ยนใจ หรือเห็นใจท่านขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่คงเป็นเพราะประชาชนที่มีความคิดเขาเบื่อหน่ายความไร้สาระของม็อบ และเขาไม่รู้ว่าจะไปร่วมชุมนุมเพื่ออะไร สู้รอดูผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดีกว่า

การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยเสียงข้างมากให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน ไม่ได้หมายความว่า นายกรัฐมนตรีได้พ้นจากตำแหน่งแล้ว และที่มติออกมา 5-4 แสดงว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นแตกต่างกัน ดังนั้น ถึงเวลาลงมติ คะแนนเสียงก็คงจะไม่เป็นเอกฉันท์ค่อนข้างแน่
ขณะนี้ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่า ผลการวินิจฉัยจะออกมาในแนวทางใดใน 3 แนวทาง แต่คาดได้เพียงว่าผลการวินิจฉัยจะไม่ออกมาอย่างที่ “ฝ่ายแค้น” ออกมาประโคมโหมกันทุกวัน เพราะนั่นไม่ใช่เป็นการประโคมโดยปราศจากอคติ แต่เป็นการตั้งใจไม่ใช้เหตุผลและข้อกฎหมาย แต่เอาผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการเป็นตัวตั้ง แล้วทำให้ผู้อื่นเชื่อตาม ดังนั้น จึงจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ขบวนการกดดันศาลรัฐธรรมนูญ และชี้นำทางสังคม ของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่รอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า ทำเพื่ออะไร เพราะชัดเจนอยู่แล้ว แต่ที่น่าคิดก็คือ มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะถ้ามีคนอยู่เบื้องหลัง การเมืองไทยถือว่า อยู่ใน “อันตราย” และไม่ช้าก็เร็ว คนที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง จะใช้ประโยชน์จากกลุ่มไม่เคารพกฎหมายทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ นับว่า “น่ากลัว!”



ลุงตู่อยู่นานแปดปีเป็นลำดับที่4ของนายกฯที่อยู่นานที่สุด ทำสถิติชนะนายกฯหลายคนเลยค่ะ

รศ.หริรักษ์ ยังมีความเห็นว่า..จะตีความนับอายุนายกฯย้อนหลังจากรัฐธรรมนูญปี60ไม่ได้

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  อาจาย์เสรีบอกแล้ว
ถ้าลุงตู่อยู่ต่อ เราก็ดีใจ ถ้าต้องออกไปก็ยอมรับมติศาลรัฐธรรมนูญ

ส่งกำลังใจให้ลุงตู่ค่ะ




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่