วันแม่ที่ไม่มีแม่

ตัดสินใจอยู่นาน ว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีไหม
แต่มันวนเวียนอยู่ในใจแทบทุกวัน
ขอให้เรื่องนี้ได้เป็นข้อคิดเตือนใจใครบ้างก็ยังดี…

เมื่อปีที่แล้วช่วงที่รินทำงานเยอะๆ ยุ่งๆทั้งวัน
จะมีแม่เป็นคนดูแลเรื่องอาหารให้
วันนั้นทำงานเหนื่อยมาก และหิวมากๆ
แม่ก็ถามว่าจะกินอะไร รินก็คิดไม่ออก
แม่ก็ถามว่ากินน้ำตกมั้ย แต่รินคิดได้ว่าร้านเจ๊ปูไม่อร่อย
ก็บอกแม่ไปว่าไม่กินดีกว่า ขอเป็นผัดมาม่าเหมือนเดิมแล้วกัน
เพราะทำไว ทำง่าย และอยากกินด้วย
ระหว่างนั้นรินก็ทำงานยุ่งๆต่อ หูก็ได้ยินเสียงในครัวตลอด
ก็นานพอควร และรู้สึกหิวมากๆ
สักพักแม่ถือจานมาวางไว้ พร้อมกับยิ้มกวนๆฉบับแม่
มันคือน้ำตก…

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนั้นคือรินโกรธมากๆ โมโหมากๆ
ใจตอนนั้นคิดว่าแม่มากวน เพราะนิสัยแม่คือชอบกวน
ด้วยความยุ่ง ความโมโห ความหิว ความอยากกินมาม่า
และรอนานแต่ไม่ได้กินสมใจ จึงโมโหเพิ่มเป็น 2 เท่า
รินตวาดออกไปเสียงดังมากๆ
ในใจอยากจับจานทุ่มลงพื้นให้แตกไปเลย
แต่ตอนนั้นทำแค่โยนจานอาหารลงบนโต๊ะแรงๆ
รินโวยวายเสียงดังที่แม่มากวนประสาทตอนนี้
รินเข้าห้องนอน ปิดประตูเสียงดังโครม
แล้วก็เข้ามาระงับความโกรธของตัวเองในห้อง

แล้วแม่ก็ออกจากบ้านไปหาพี่สาวที่งามวงศ์วาน
พี่สาวโทรมาบอกว่าแม่ร้องไห้ และโดนแมวของพี่กัดด้วย
อยากให้มารับแม่กลับบ้าน
ใจรินคิดแต่ว่าแม่โกหก และพี่สาวสร้างเรื่องจะให้แม่กลับมา
เลยบอกว่าถ้าแม่จะกลับมาก็ให้นั่งแท็กซี่กลับมา
เดี๋ยวจะจ่ายค่ารถให้เอง เพราะออกไปรับไม่ได้

จนสามีกลับมาบ้าน รินก็เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
สามีพูดว่า “ถึงว่าพี่เปิดกล้องดูวันนี้ เห็นแม่เขายืนร้องไห้”
รินรีบเปิดกล้องดูย้อนหลัง
เห็นแม่ยืนร้องไห้อยู่หลังบ้าน เอาแขนเสื้อปาดน้ำตา
แม่เดินไปนั่งที่โรงจอดรถพักใหญ่เหมือนคิดอะไรอยู่
แล้วก็ลุกมายืนแอบร้องไห้ตรงกำแพงข้างบ้าน
แม่เข้าห้องไปเก็บของ แล้วปีนรั้วบ้านเพื่อออกไปหาพี่สาว

ภาพในกล้องพวกนี้ ทำรินร้องไห้อยู่นานมาก
รู้สึกผิด รู้สึกเลว รู้สึกว่าเราแย่มากๆที่ทำให้แม่ร้องไห้
มันมีก้อนอะไรใหญ่ๆ ขึ้นมาจุกอยู่ที่อก มันแน่นไปหมด

พอแม่กลับมาถึงบ้าน แม่ก็ตรงเข้าห้องตัวเองทันที
รินเห็นแม่ตาแดงๆ สามีก็สนับสนุนให้ไปขอโทษแม่
รินเข้าไปหาแม่ในห้อง แม่นอนอยู่ที่พื้น
รินก้มกราบแม่ แล้วก็กอดแม่ บอกแม่ว่าขอโทษ
ต่อไปนี้หนูจะไม่ขัดใจแม่ จะทำตามที่แม่ต้องการทุกอย่าง
จะกินอาหารทุกอย่างที่แม่ทำให้
แม่ไม่พูดอะไร แต่แม่นอนร้องไห้
สายตาที่มองมามันคือความเจ็บปวดจริงๆ

วันนั้นรินสัญญากับตัวเองว่าจะทนแม่ให้ได้ทุกอย่าง
จะไม่ทะเลาะกับแม่อีก จะยอมแม่ทุกๆอย่าง

แต่พอเรื่องนี้ผ่านไปได้ไม่กี่เดือน ก็มีเหตุให้ทะเลาะกันอีกครั้ง
ทะเลาะกันแบบไม่มีเหตุผล ไม่พูดคุยกัน 3-4 เดือน
ซึ่งรินก็คิดแต่ว่าทำไมเราต้องเป็นฝ่ายง้อ เราไม่ผิด
และแม่ก็คงจะคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน

ผ่านมาจนถึงพฤศจิกายนปีที่แล้ว เราถึงคลายทิฐิและคุยกัน
ทำกิจกรรมร่วมกันเยอะมากๆ ซึ่งในขณะที่เป็นไปได้ด้วยดี
วันนั้นเราก็ยังมีเรื่องให้ทะเลาะกันอีก

วันนั้น 15 มกรา 65 เป็นวันที่พี่สาวย้ายไปอยู่บ้านใหม่
พี่ชายที่รินไม่คุยด้วยจะมาช่วยขนของของแม่ที่บ้านริน
รินบอกแม่แล้วว่าห้ามให้เขาเข้าบ้านรินเด็ดขาด
เพราะรินไม่อยู่บ้าน ต้องไปจันทบุรี
แต่รินเปิดกล้องวงจรดูเหตุการณ์เช้านั้น
เห็นแม่กำลังเอาต้นกระบองเพชรให้พี่ชายไป
รินเลยส่งไลน์ไปหาแม่ตามภาพด้านล่าง…



17 มกรา 65 รินกลับมาถึงบ้านตีสอง
รินร้องไห้ ทรมานใจที่สุด
และยิ่งร้องไห้มากขึ้นเมื่อคิดได้ว่าแม่จะไม่มีวันตอบไลน์
และแม่จะไม่มีวันรู้ว่าวันนั้นรินแค่พูดเล่น
และถ้ารินรู้ว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายของเรา
รินจะไม่มีวันพิมพ์อะไรแบบนั้นเลย

ความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆของเรา
มันอาจจะไปทำร้ายความรักและความรู้สึกของแม่ได้
แม้แต่นาทีสุดท้ายที่ได้ใช้ด้วยกัน เราก็ยังทำร้ายแม่อีก

สมมติถ้าแม่ยังอยู่ตอนนี้ รินก็อาจจะยังทำร้ายความรู้สึกของแม่
ทำอีกไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เพราะเราคิดว่าเดี๋ยวก็หายโกรธ เดี๋ยวก็กราบขอโทษกันได้
แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถรู้ได้เลย ว่าจะเอ่ยคำว่าขอโทษได้ทันเวลาไหม
เพราะเวลามันสั้น ความตายไม่เคยรอคำขอโทษจากใคร
และเราไม่มีทางรู้เลยว่าคำขอโทษของเราจะส่งไปถึงแม่หรือไม่

ที่เขาพูดกันว่า “คนตาย ตายไปแล้วคือจบ”
แต่สำหรับเราที่ยังอยู่ มันไม่มีวันจบลงง่ายๆเลย

อย่าปล่อยให้ทิฐิ อารมณ์ชั่ววูบ มาทำร้ายกัน
อย่าใช้เวลาที่มีแสนสั้น ห้ำหั่นฟาดฟันด้วยคำพูด
อย่าละเลยเวลาที่มีค่าให้มันไร้ค่า
อย่าขอโทษหรือบอกรักในวันที่เขาไม่ได้ยิน

#วันแม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่