JJNY : 5in1 ผลงาน‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’│พท.เหน็บอย่าพูดเกินจริง│"ธนาธร"บรรยาย"ธรรมศาสตร์"│จับตา'เสรีพิศุทธ์'│“บิ๊กแสนสิริ”แนะ

กางผลงาน ‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ ครบ 60 วัน กทม.เปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง
https://www.dailynews.co.th/news/1327843/
 
โฆษก กทม. โชว์ผลงาน "ผู้ว่าฯ ชัชชาติ" ครบ 60 วัน เผยงานประชันวงดุริยางค์ มีคนชมออนไลน์ กว่า 9 แสนคน กิจกรรมหนังกลางแปลงมีเงินหมุนเวียนกว่า 4 ล้านบาท
 
 
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่ศาลาว่าการ กทม. (เสาชิงช้า) นายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. และโฆษก กทม. แถลงผลงาน นายชัชชาติ  สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ 60 วัน พลัส” ว่า มี 6 มิติ 
 
มิติแรกด้านสาธารณสุข ปัจจุบันมีโรคระบาดทั้งโรคโควิดและโรคฝีดาษลิง ดังนั้น กทม.จึงตั้งศูนย์เฝ้าระวังภาวะฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร โดยดึงจิตอาสา ภาคประชาชนสังคม อาทิ กลุ่มเส้นด้าย เข้ามาร่วม เดินหน้าดูแลด้านสาธารณสุข นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการฯ 
 
2. เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ โดย กทม.เปิดเผยข้อมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ระหว่าง กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ยืนยันเรื่องความโปร่งใส การขอภาพกล้องซีซีทีวี ภายใน 24 ชม. มีกล้อง 62,000 กล้อง ยืนยันไม่มีกล้องดัมมี่ โดยประชาชนสามารถดูกล้องได้โดยไม่ต้องลงพื้นที่ไปดูเลขรหัสกล้องที่เสา อนาคตจะจัดหาเพิ่มเติม และหาแนวร่วมมาเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริต 5 Quick Win

3. เมืองสร้างสรรค์ ซึ่งต้องการสร้างเมืองให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ โดยได้จัด “กรุงเทพกลางแปลง” นำภาพยนตร์มาฉาย จำนวน 26 เรื่อง มีผู้ชม 88,000 คน มีร้านค้า 345 ร้าน มีเงินหมุนเวียนกว่า 4 ล้านบาท การประชันวงดุริยางค์เชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่างกรุงเทพฯ-จ.นครราชสีมา มีประชาชนรับชมผ่านออนไลน์ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจกว่า 9 แสนคน ซึ่งงานจัดขึ้นโดยสำนักงานประชาสัมพันธ์ เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการจ้างออแกไนเซอร์ การจัดดนตรีในสวน 21 วัน 53 ครั้ง, Co-Working Space โดยการปรับห้องสมุด 12 แห่ง ให้สามารถทำงานได้ด้วยการจัดงานเทศกาลบางกอกวิทยา เป็นนิทรรศการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม
 
4.ฟื้นเศรษฐกิจเมือง เมืองแห่งโอกาส โดยมีเป้าหมายจ้างงานคนพิการทั้ง 7 ประเภท 654 คน ปัจจุบันจ้างงานคนพิการ 247 คน ในเดือน ก.ย. จะจ้างงานคนพิการ 306 คน การจัดงานถนนคนเดิน พัฒนาโครงการกรุงเทพอาหารริมทางอร่อยปลอดภัย 
 
5. การเพิ่มประสิทธิภาพและการแก้ไขปัญหา โดยทราฟฟี่ฟองดูว์ ปัจจุบันคนกรุงเทพฯ รายงานปัญหา 113,881 เรื่อง โดย 5 ปัญหาร้องเรียนมากที่สุด ได้แก่ ถนน 19.1% น้ำท่วม 6.8% ทางเท้า 5.7% แสงสว่าง 5.6% และความปลอดภัย 4.9% ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา สำเร็จ 47% กำลังแก้ไข 19% ส่งต่อหน่วยงานแล้ว 30% รอรับเรื่อง 1% ขยายศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จให้ครบทั้ง 50 เขต ผู้ว่าฯ สัญจร จตุจักร บางบอน ปทุมวัน เป็นการลงตรวจพื้นที่เพื่อดูปัญหาและให้กำลังใจประชาชน 
 
และ 6. ปลูกต้นไม้ล้านต้น ยอดจอง 1,641,360 ต้น ปลูกแล้ว 82,248 ต้น เดือนหน้าแยกขยะนำร่อง 3 เขต เศษอาหาร กับอื่นๆ จากนั้นจะต่อยอดต่อไป นอกจากนี้ยังมีมิติความร่วมมือ ซึ่งได้ขยายมิติความร่วมมือไปแล้ว 22 ความร่วมมือ.
 

 
เพื่อไทย เหน็บนายกฯ อย่าพูดเกินจริง เศรษฐกิจขยายตัว ยังไม่ถึงที่ตกลงมา
https://www.thairath.co.th/news/politic/2464872
 
เพื่อไทย ติง “ประยุทธ์” อย่าพูดเกินจริง เศรษฐกิจไทยขยายตัว ยังไม่ถึงระดับที่ตกลงมา ชี้ อยู่ในแดนลบมา 3 ปีแล้ว ประชาชนลำบาก รายได้ลด ค่าใช้จ่ายเพิ่ม แนะฟื้นฟูดีกว่าแจกเงิน คนอยากมีรายได้ที่มั่นคง

วันที่ 5 ส.ค. 65 นางสาวจุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตบางรัก และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แย่งซีนสภาพัฒน์ฯ เร่งแถลงการขยายตัวในไตรมาสที่สองว่าจะขยายตัวได้ 3.3% ทั้งที่โดยมารยาทแล้วต้องให้สภาพัฒน์ฯ  แถลงข่าวก่อนในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นเพราะพลเอกประยุทธ์ถูกโจมตีเรื่องความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจ จึงพยายามหาเรื่องเพื่อมากลบปมด้อย โดยที่อาจจะไม่ทราบเลยว่าการขยายตัวได้ 3.3% ไม่ได้แปลว่าดี ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ทรุดหนักติดลบไปถึง -6.2% และปี 2564 เศรษฐกิจไทยแทบไม่ฟื้นเลย โดยขยายได้แค่ 1.6% ซึ่งบวกลบกันแล้ว ยังคงติดลบอยู่ถึง -4.6% ดังนั้นการขยายตัว 3.3% ก็ยังฟื้นไม่ถึงระดับที่ได้ตกลงมา แถมไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 2.2% เท่านั้น ดังนั้นครึ่งปีแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียงประมาณ 2.8% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ไม่เห็นน่าจะภูมิใจถึงกับต้องเร่งแย่งแถลงข่าวแต่อย่างไร ทั้งที่ตอนต้นปีพลเอกประยุทธ์ยังโม้เองว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายได้ 4% ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้บอกแต่แรกแล้วว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะทำได้ไม่ถึงแน่
 
การที่ในปีนี้เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ต่ำยังไม่ฟื้นกลับไปถึงระดับที่ได้ตกลงมา ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในแดนลบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ขนาดนักวิชาการของทีดีอาร์ไอยังยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นช้าที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ส่งผลทำให้ทำไมประชาชนถึงรู้สึกลำบากกันอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจติดลบทำให้รายได้ของประชาชนลดลง คนหาเงินไม่พอค่าใช้จ่ายที่จะเลี้ยงตัวเองแลครอบครัว หาเงินไม่พอผ่อนบ้าน ไม่พอผ่อนรถ ต้องกู้เงินมาประคองชีวิต กู้มาจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกหลาน ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง อีกทั้งธุรกิจก็ย่ำแย่ หนี้สินรุงรังและพุ่งสูงขึ้นเพราะรายได้เข้ามาน้อยแต่รายจ่ายเพิ่ม แถมยังต้องมาเจอกับภาวะเงินเฟ้อ ข้าวของแพง ไข่แพง หมูแพง น้ำมันแพง ก๊าซหุงต้มแพง ไฟฟ้าแพง ปุ๋ยแพง ค่าขนส่งแพง ฯลฯ ซ้ำเติม ยิ่งทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่รู้จะหารายได้ที่ไหนมาประคองชีวิตให้เพียงพอ อีกทั้งหากดอกเบี้ยขึ้นอีก ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเดิมอยู่แล้วให้ยิ่งหนักขึ้น ซึ่งพลเอกประยุทธ์ไม่ได้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เลย ปัญหาจะเพิ่มหนักขึ้น และประชาชนจะทนกันไม่ไหว
 
นางสาวจุฑาพร กล่าวต่อว่า ความจริงคือก่อนจะมีวิกฤตไวรัสโควิด เศรษฐกิจไทยก็ย่ำแย่อยู่แล้ว เพราะเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำมากมาตั้งแต่หลังการปฏิวัติรัฐประหาร ขนาดสื่อต่างประเทศยังขนานนามประเทศไทยว่าเป็น “คนป่วยของเอเชีย” พอมาเจอวิกฤติไวรัสโควิดเลยยิ่งป่วยหนัก ตอนนี้แม้ดูเหมือนอาการดีขึ้น เพราะท่องเที่ยวเริ่มที่จะกลับมาแต่ก็ยังน้อย ส่งออกขยายตัว (แต่ไทยยังขาดดุลการค้า) ซึ่งเป็นอาการฟื้นปกติ แต่ต้องถามว่าอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คนรุ่นใหม่แทบมองไม่เห็นกันเลย มีแต่ความมืดมน เด็กจบใหม่หลายแสนคนตกงาน ยิ่งแถลงยุทธศาสตร์ 3 แกนยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวและความไม่รู้เรื่องของพลเอกประยุทธ์ ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่ย่ำแย่ อุตสาหกรรมที่ล้าสมัย และหนี้สินที่ท่วมท้นทั้งหนี้ของประเทศและหนี้ของประชาชน ดูเหมือนว่าวันๆ มีแต่คำหลอกตัวเองของพลเอกประยุทธ์เท่านั้นว่ากำลังไปได้ดี หรือต่อไปจะทำให้ดีขึ้น แต่ที่ผ่านมาไม่ได้พิสูจน์เลยว่าจะทำให้ดีได้ คิดได้แต่การแจกเงิน ซึ่งต้องเลิกได้แล้ว ประชาชนอยากได้งานทำ อยากให้ขายของได้ดี มีรายได้เพิ่มเพียงพอจับจ่ายใช้สอยกับข้าวของที่แพง และหาเงินสู้กับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นได้ พลเอกประยุทธ์จะต้องนำเงินมาฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าได้จริง เพราะเงินที่แจกเป็นเพียงแค่การหาเสียง นำไปใช้แป๊บเดียวก็หมด (ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการแจกปลาที่กินแล้วก็หมดไปใน 1 มื้อ แทนที่จะให้เบ็ดตกปลาเป็นอุปกรณ์ในการเลี้ยงชีพ) แต่ประเทศต้องใช้หนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน
 
"การที่พลเอกประยุทธ์พยายามจะกลบปมด้อยทางเศรษฐกิจกลับเป็นการประจานความล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์เองที่เห็นได้ชัด โดยประชาชนสามารถสัมผัสได้จากความลำบากยากแค้นในการหาเลี้ยงชีพ ทุกวันนี้ในภาวะข้าวของแพง ต้องกู้หนี้ยืมสินจนหมดหนทางแล้ว หากพลเอกประยุทธ์ยังบริหารประเทศนี้ต่อไป สถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย และประชาชนจะยิ่งลำบาก แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่รู้ตัวเลย แถมยังพยายามดื้อรั้นหาทุกวิถีทางที่จะอยู่ต่อ นี่เป็นอันตรายและเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง" นางสาวจุฑาพร กล่าวทิ้งท้าย.
 

 
"ธนาธร" บรรยาย "ธรรมศาสตร์" แชร์ประสบการณ์ ปลุกคนรุ่นใหม่เปลี่ยนสังคม
https://www.thairath.co.th/news/politic/2465124
 
"ธนาธร" ประธานคณะก้าวหน้า เคลื่อนไหว บรรยายให้ นศ.ใหม่ หลักสูตรอินเตอร์ธรรมศาสตร์ แชร์ ประสบการณ์สมัยทำกิจกรรม ย้ำ หากไม่อาจทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ไม่มีทางแก้ปัญหาประเทศไทยได้
 
วันที่ 5 ส.ค. 65 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาใหม่ ของหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (PPE) วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2565 ในวิชาเรียนพื้นฐานก่อนเปิดการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ (pre-college session)
      
โดย นายธนาธร ได้ใช้เวลาในการบรรยายกว่า 2 ชั่วโมง ในการตั้งคำถามชักชวนนักศึกษาให้ร่วมแสดงความคิดเห็น พร้อมแนะนำความรู้พื้นฐานที่นักศึกษา จะต้องได้เรียนรู้ในการเรียนเศรษฐศาสตร์และการเมือง เช่น แนวคิดทางเศรษฐกิจพื้นฐาน การจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในแบบขาดดุล เกินดุล สมดุล, ตัวเลขที่บ่งชี้เกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ, หลักการของรัฐสมัยใหม่ที่รับประกันเสรีภาพของประชาชน และจำกัดอำนาจของรัฐ เป็นต้น
      
ในช่วงหนึ่งของการบรรยาย นายธนาธร ได้เล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองในการทำกิจกรรมและเรียนที่ธรรมศาสตร์ พร้อมระบุว่า ธรรมศาสตร์ คือ สถานที่ที่หล่อหลอมตัวเองขึ้นมาจนเป็นแบบทุกวันนี้ และจากการทำกิจกรรมที่นี่เอง ที่ตัวเองได้เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาสังคมกับการเมืองมากขึ้น
      
โดยระบุว่า เมื่อแรกเริ่มทำกิจกรรมนั้น ตนจัดได้ว่า เป็นนักสิ่งแวดล้อมที่ปฏิเสธการเมือง แต่ในเวลาต่อมาเมื่อเริ่มเคลื่อนไหวกับประชาชนมากขึ้น จนได้ร่วมการชุมนุมบ่อยครั้ง เห็นการสลายการชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งการชุมนุมกรณีเขื่อนปากมูลของสมัชชาคนจน รวมทั้งบทบาทของรัฐในการพัฒนาที่ไม่เห็นหัวประชาชนเพียงเพื่อประโยชน์ของคนเมืองบางกลุ่ม ก็ได้เริ่มทำความเข้าใจใหม่ว่า ทุกปัญหารายประเด็นของประเทศไทย ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกิดจากโครงสร้างการเมืองที่ไม่เป็นธรรม และต้องใช้อำนาจทางการเมืองในการแก้ปัญหา
 
นายธนาธร ระบุต่อไปว่า คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนกับการเมืองเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก เพราะปัญหาของประเทศไทย ล้วนเป็นปัญหาที่มีต้นตอที่มาจากโครงสร้างที่สำคัญมาก นั่นคือปัญหาโครงสร้างทางการเมือง ที่อำนาจไม่ได้เป็นของประชาชน
      
ถ้าอำนาจสูงสุดไม่เป็นของประชาชน ปัญหาเรื้อรังของประเทศไทยไม่มีวันแก้ไขได้ การมีรัฐธรรมนูญใหม่ทุก 4.5 ปี โดยเฉลี่ย แปลว่า สังคมไทยหาฉันทามติไม่ได้ ว่า อำนาจเป็นของใครกันแน่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ทรัพยากรของชาติก็จะถูกนำไปใช้ในการหาความสวามิภักดิ์ทางการเมือง มากกว่าการนำมาพัฒนาประเทศ
 
“ปัญหาประเทศไทยเยอะก็จริง แต่สิ่งที่สังคมไทยต้องการ คือ กฎกติกาที่เดินไปในเส้นทางประชาธิปไตย มีความเสถียร ทุกฝ่ายยอมรับ ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ปัญหารายประเด็นอื่นจะไม่สามารถแก้ได้เลย” ธนาธรกล่าว
      
ในช่วงสุดท้ายของการบรรยาย นายธนาธร ยังได้ขอให้ทุกคนตระหนักเสมอว่า คนรุ่นนี้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อเพื่อนมนุษย์ได้จริง ขอให้ขวนขวายหาความรู้ มีความสุขกับการเรียน ออกไปเห็นโลกกว้าง เปิดโลกของตัวเอง เพื่อให้เป็นสี่ปี ที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตมหาวิทยาลัย ซึ่งหลังจากจบการบรรยาย ยังได้มีนักศึกษามาขอถ่ายรูป พร้อมล้อมวงแลกเปลี่ยนนอกรอบสั้นๆ ในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับสถานการณ์โลกในปัจจุบันด้วย.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่