JJNY : พท.ซัดประยุทธ์ ยาบ้าเม็ดละ10บ.│"วีระ-สมชัย"ยื่นปปช.│น้ำมันพุ่ง-ของแพงดันเงินเฟ้อก.ค.7.61%│ตู่หงุดหงิด ถูกถามปม8ปี

เพื่อไทย ซัด ประยุทธ์ 8 ปี ล้มเหลวแก้ยาเสพติด ยาบ้าเม็ดละ 10 บาท-กม.ใหม่ ช่องโหว่อื้อ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3490818
 
 
 
“อรุณี” อัด “ประยุทธ์” ล้มเหลวแก้ปัญหายาเสพติด หลังพบช่องโหว่ กม.ยาเสพติดฉบับใหม่ ทำสังคมเสื่อม-ปัญหาครอบครัวรุนแรง จวก แค่เปลี่ยนนายกฯ คนเดียวก็แก้ปัญหาได้
 
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 5 สิงหาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรค พท. แถลงกรณีความล้มเหลวของรัฐในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่ลุกลามและกัดกินประเทศไทย จากปัญหาสังคมกลายเป็นวิกฤตครอบครัวขั้นรุนแรง ซึ่งเราจะพบเห็นปัญหารายวันที่พ่อฆ่าลูกที่ติดยา ลูกฆ่าหรือทำร้ายร่างกายพ่อแม่ เพราะการเข้าถึงยาเสพติดสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นและมีผู้เสพเพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งปัญหายาเสพติดในปี 2564 มีผู้ถูกจับคดียาเสพติดเพิ่มขึ้น โดยอาจมีสาเหตุมาจาก 2 ประเด็นที่สำคัญคือ 1.การบริหารงานที่ผิดพลาดและล้มเหลวมาโดยตลอดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยิ่งเมื่อปี 2563 เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งทำให้ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ประชาชนสูญเสียงานและอาชีพส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและปากท้องประชาชน แต่ปัญหาเหล่านี้ทำให้คนไทยบางส่วนจนลงโดยเฉียบพลัน บางคนหันไปหารายได้ด้วยการเป็นผู้ค้ายาเสพติด หลายคนหันไปเสพยาเสพติดเพื่อระบายความเครียด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยิ่งสะท้อนชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ละเลย และหละหลวมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด เพราะเรามีวาทะเด็ดจาก พล.อ.ประยุทธ์ว่า กี่ร้อยนายกฯ ก็แก้ปัญหายาเสพติดไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาและทำให้ปัญหายาเสพติดลุกลามอยู่ในขณะนี้
 
น.ส.อรุณี กล่าวต่อว่า และ 2.เรื่องกฎหมาย ที่มีการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประมวลกฎหมายยาเสพติดพ.ศ. 2564 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติดฉบับที่ 2 พ.ศ. 2564 ซึ่งมีการปรับโทษให้ผู้ต้องหายาเสพติดที่เป็นผู้ค้าตัวจริงได้รับโทษเบาลง จากเดิม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มีการกำหนดไว้ว่าผู้ใดที่ครอบครองยาเสพติดเกินปริมาณที่กำหนดให้สันนิษฐานว่าเป็นการครอบครองไว้เพื่อจำหน่ายและจำได้รับโทษรุนแรง ก็ได้มีการแก้ให้เป็นการพิจารณาจากพฤติการณ์และการครอบครองแทน จึงกลายเป็นช่องโหว่ของกฎหมายที่ทำให้ผู้ค้ารายย่อยกลายเป็นเพียงผู้เสพ ซึ่งสามารถเลี่ยงกฎหมายในการจำคุกเข้าสู่การบำบัดเพื่อให้ได้รับโทษเบาลง เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนก็ใช้วิธีนี้ในการทุจริตและคอร์รัปชั่น
 
น.ส.อรุณี กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ในภาพรวม จากที่ในปี 2561 จับกุมได้ 543 ล้านเม็ด และลดลงเหลือ 334 ล้านเม็ดในปี 2564 จึงสวนทางกับความเป็นจริงที่ยาเสพติดได้ระบาดไปทั่วทุกระแหงและราคาถูกลงเหลือเพียงเม็ดละ 10-20 บาท ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีได้เคยระบุไว้ ทั้งนี้เมื่อยาเสพติดมีราคาถูกลงและผู้ค้ารายย่อยไม่ถูกจับ ทำให้มีตัวแทนขายตรงในทุกชุมชน อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้เกิดสถานการณ์คนล้นคุก ที่เกิดขึ้นในปี 2561-2564 สัดส่วนผู้ต้องขังทั้งหมดในเรือนจำ 143 แห่งตามรายงานของกรมราชทัณฑ์ เป็นคดียาเสพติด 76% ในปี 2561 และเพิ่มขึ้นทุกปีมาอยู่ที่ 81.5% ในปี 2564 ซึ่งทำให้สะท้อนชัดเจนว่าคนล้นคุกเพราะปัญหาล้นเมือง นอกจากนี้ ยังมีข่าวการตรวจจับยาเสพติดในต่างประเทศ ในปี 2564 เพียงปีเดียว ศุลกากรจาก 4 ประเทศ ตรวจยึดยาเสพติดจากไทยได้ถึง 10 ครั้ง จนถูกสังคมมองว่าประเทศไทยจากที่เคยเป็นผู้ส่งออกข้าวของโลก กลายมาเป็นผู้ส่งออกยาเสพติดชั้นนำของโลกไปแล้วใช่หรือไม่
 
น.ส.อรุณี กล่าวด้วยว่า พรรค พท. มองว่ากฎหมายที่มีช่องโหว่แบบนี้ถือเป็นความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมไทยและการแก้ไขปัญหายาเสพติดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่แต่งตั้งพวกพ้องตัวเองอย่าง พล.อ.ประวิตร มาเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานการณ์โควิด-19 แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ ซึ่งทางออกของเรื่องนี้ รัฐต้องเสนอทางเลือกในการรักษาที่หลากหลายโดยต้องแยกผู้ค้ารายใหญ่และผู้ค้ารายย่อย รวมถึงต้องแยกผู้ค้ารายย่อยออกจากผู้เสพ เพื่อให้สามารถแยกการกระทำผิดและการลงโทษที่ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ กระบวนการฟื้นฟูผู้เสพยาต้องดูแลทั้งกายภาพและการดูแลด้านจิตใจ รวมทั้งต้องจริงจังกับการจัดการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ใช้ระบบ เพื่อทุจริตตามอำเภอใจในสถานที่จับกุมคุมขังและสถานบำบัดได้แล้ว
 
“พล.อ.ประยุทธ์ ยิ่งอยู่สังคมยิ่งเสื่อม 8 ปีก็มากเกินพอแล้วสำหรับความล้มเหลวทุกด้านที่ท่านสร้างขึ้น ทุกวันนี้คนไทยไม่ใช่แค่จน แต่ความปลอดภัยในชีวิตยิ่งลดน้อย เพราะยาเสพติดครองเมือง แค่เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวก็แก้ปัญหาได้” น.ส.อรุณีกล่าว



"วีระ-สมชัย" ยื่นปปช.สอบพรรคการเมืองรับกล้วย
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_386357/
 
“วีระ-สมชัย” ยื่นสอบพรรคการเมืองรับกล้วย หวัง ปปช.สร้างความเชื่อถือให้กับประชาชน เพื่อทำให้การเมืองไทยสุจริตเที่ยงธรรม  

นายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมด้วยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคเสรีรวมไทย เดินทางมายื่นหนังสือต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบพรรคการเมืองที่มีข่าวเรื่องการรับเงินเดือนจากบุคคลภายนอก
 
โดยนายวีระ กล่าวว่า ภายหลังจากที่มีข่าวออกมา ก็ได้มีการออกมาปฏิเสธโดยอ้างว่าเป็นการกู้ยืมแต่กลับไม่มีหนังสือกู้ยืมเป็นหลักฐานและผู้ให้กู้ ก็ระบุว่าไม่เคยได้คืนซึ่งส่วนนี้เข้าข่ายความผิดของกฎหมายป.ป.ช.หลายมาตราและข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบด้วย รวมถึงประมวลกฎหมายอาญาด้วย ไม่ใช่รับด้วยการเสน่หาแต่เป็นการรับเพื่อการกระทำหนึ่งการกระทำใดที่อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมายื่นให้ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งยืนยันว่าหลักฐานตนมีมากกว่าในวันนี้แต่ต้องรอให้ป.ป.ช.เรียกตนเข้ามาสอบ เพื่อดูความจริงจังของป.ป.ชในการเรียกตนเข้ามาสอบถามข้อมูลในฐานะผู้กล่าวโทษ
 
ทั้งนี้ หลักฐานต่างๆมีการเปิดเผยมาจากผู้ที่กระทำผิดเอง ด้วยความโกรธคุมอารมณ์ไม่อยู่ ซึ่งตามหลักจิตวิทยาคนที่โกรธจะพูดความจริงทั้งหมด และอีกทั้งเมื่อมีการตอบโต้กันไปตอบโต้กันมา ต่างฝ่ายต่างโกรธก็จะพูดความจริงออกมาเอง อยู่ที่การทำงานของป.ป.ช.ว่าจะดำเนินการได้ถึงขั้นไหน ถ้า ป.ป.ช.ไม่สามารถหาคนผิดได้ก็ไม่ต้องมีกฎหมายหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบแล้ว
 
ด้านนายสมชัย กล่าวว่า หวังว่าปปช.จะสร้างความเชื่อถือให้กับประชาชน เพื่อทำให้การเมืองไทยสุจริตเที่ยงธรรมและโปร่งใส เพราะตามกฎหมายระบุว่า ส.ส. ไม่สามารถรับผลประโยชน์อื่นใดมากกว่า 3,000 บาทได้ กรณีนี้เป็นประเด็นสำคัญที่คนไทยทั้งประเทศอยากรับรู้ จึงขอฝากความหวังทั้งหมดไว้กับป.ป.ช. ซึ่งนอกจากการยื่นป.ป.ช.ในวันนี้แล้ว
 
ในวันจันทร์ ที่ 8 สิงหาคม พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)  ด้วยข้อกล่าวหาพรรคเล็กยอมให้พรรคใหญ่ครอบงำชี้นำในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวจะมีความผิด ตามพ.ร.ป.พรรคการเมืองมาตรา 28 และ 29 ซึ่งอาจทำให้ถูกยุบพรรคการเมืองได้ ซึ่งมีทั้งหมด 7 พรรคการเมือง มีพรรคเล็ก 6 พรรคและพรรคใหญ่ 1 พรรค และเพื่อขอให้เอาผิดกรรมการบริหารพรรคของแต่ละพรรคทั้งหมดด้วย
 


พิษน้ำมันพุ่ง-ของแพง ดันเงินเฟ้อก.ค. 7.61% พาณิชย์ยอมถอยปรับเพิ่มเป้าทั้งปีเป็น 6.5%
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7198165

กระทรวงพาณิชย์ เผยเงินเฟ้อก.ค. 7.61% เซ่นพิษน้ำมัน-ของแพง ยอมถอยปรับเพิ่มเป้าทั้งปีเป็น 6.5%
 
พิษน้ำมันพุ่ง-ของแพง – นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภค หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทย เดือนก.ค. 2565 ว่า อยู่ที่ 7.61% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ลดลง 0.16% ส่วนเงินอัตราเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 7 เดือนอยู่ที่ 5.89%
 
ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อยังคงสูง เนื่องจาก สินค้ากลุ่มพลังงานซึ่งมีสัดส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อ 52.57% มีราคาปรับเพิ่มขึ้น 33.82% และแม้ว่าน้ำมันบางชนิด เช่น แก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซินจะปรับลดลง แต่ต้นทุนการผลิตและการขนส่ง ยังสูงขึ้นเพราะน้ำมันดีเซลยังคงอยู่ในระดับสูง รวมทั้งค่าไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนต่อผลกระทบ 3.85% ปรับราคาเพิ่มขึ้นรวมไปถึงราคาก๊าซหุงต้ม
 
ขณะที่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ราคาปรับเพิ่มขึ้น 8.02% โดยหมวดอาหารสดราคาปรับเพิ่มขึ้น 7.76% สินค้าที่ปรับราคาเพิ่มขึ้น อาทิ เนื้อไก่ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ ปรับขึ้น 13.68% เครื่องประกอบอาหาร 11.58% ผักสด 8.80% อาหารบริโภคภายในบ้านเพิ่มขึ้น 8.71% อาหารบริโภคนอกบ้าน 8.43% ไข่และผลิตภัณฑ์นม 4.34%
 
นายรณรงค์ กล่าวถึงแนวโน้มเงินเฟ้อในเดือนส.ค. ว่า หากราคาพลังงานปรับสูงขึ้นเงินเฟ้อก็อาจจะปรับเพิ่มขึ้นอีก แต่ถ้าราคาพลังงานทรวงตัวเงินเฟ้ออาจจะไม่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สนค. ได้ปรับคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2565 จากเดิม 4-5% เป็น 5.5-6.5% ภายใต้สมมติฐานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ 2.5-3.5% ราคาน้ำมันดิบดูไบ 90-110 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 33.5-35.5 บาท/เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการปรับปรับที่สอดคล้องกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ
 
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนก.ค. 2565 สูงขึ้น 12.2% ปรับสูงขึ้นในทุกหมวดสินค้า ตามต้นทุนการผลิต ทั้งราคาพลังงานและวัตถุดิบ ต้นทุนการนำเข้าจากการอ่อนค่าของเงินบาท และความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง สูงขึ้น 6.3% เนื่องจากต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงาน และเงินบาทอ่อนค่า ประกอบกับการใช้วัสดุก่อสร้างในโครงการก่อสร้างภาครัฐเป็นไปตามแผน

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนก.ค. ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 45.5 จากระดับ 44.3 ในเดือนก่อนหน้า ปรับเพิ่มขึ้นทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและใน 3 เดือนข้างหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การเปิดสถานบันเทิง
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต
 
ทั่วประเทศ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับลดลง ขณะที่ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจไทย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผันผวน และมาตรการของภาครัฐ เป็นปัจจัยลบต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่