

https://www.bangkokbiznews.com/social/public_health/1018127

ยอดป่วยโควิดยังเฉียด 2 พัน สถานการณ์ยังทรงตัว แต่ผู้ป่วยหนัก-ใส่ท่อ-เสียชีวิต แนวโน้มยังเพิ่มสูงต่อเนื่องตามหลัง“ตรัง” ยอดป่วยลดต่ำกว่าร้อยเหลือ 41 ราย 10 จังหวัดป่วยสูงสุดยังเป็น กทม. ปริมณฑล และเมืองใหญ่
เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์โควิด-19 ประจำวัน ว่า วันนี้ผู้ป่วยรายใหม่ทั้ง RT-PCR และ ATK 1,962 ราย สะสม 4,588,512 ราย หายป่วย 2,157 ราย สะสม 4,532,830 ราย เสียชีวิต 32 ราย สะสม 31,359 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 24,323 ราย อยู่ รพ.สนาม และอื่นๆ 12,104 ราย และอยู่ใน รพ. 12,219 ราย จำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 920 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 456 ราย อัตราครองเตียงระดับ 2-3 หรือสีเหลืองสีแดง 17.2% ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในเรือนจำและผู้ติดเชื้อเดินทางจากต่างประเทศ ภาพรวมกราฟผู้ป่วยรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิตยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 วันที่ 29 ก.ค. 2565 ฉีดได้ 30,427 โดส สะสม 141,538,384 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 57,131,384 โดส คิดเป็น 82.1% เข็มสอง 53,490,325 โดส คิดเป็น 76.9% และเข็มสามขึ้นไป 25,145 โดส สะสม 30,916,062 โดส คิดเป็น 44.4% ขณะที่การฉีดเข็มกระตุ้นในกลุ่มสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ฉีดได้ 6,235,356 โดส คิดเป็น 49.1% และการฉีดวัคซีนในกลุ่มอายุ 5-11 ปี เข็มแรกฉีดได้ 3,245,675 โดส คิดเป็น 63% และเข็มสอง 2,274,500 โดส คิดเป็น 44.2%
ขณะที่กรมควบคุมโรครายงานจำนวนผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่รายจังหวัด พบว่า 10 จังหวัดที่มีผู้ป่วยรายใหม่สูงสุด ได้แก่ ....👇
1. กทม. 1,290 ราย
2. สมุทรปราการ 126 ราย
3. ชลบุรี 110 ราย
4. ตรัง 41 ราย
5. ชุมพร 27 ราย
6. ขอนแก่น 25 ราย
7. ปทุมธานี 24 ราย
8. เชียงใหม่ 23 ราย
9. นนทบุรี 19 ราย
และ 10. บุรีรัมย์ 18 ราย
ภาพรวมมีรายงานผู้ป่วย 48 จังหวัด ไม่มีรายงานผู้ป่วย 29 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี กำแพงเพชร ชัยนาท ชัยภูมิ ตาก นครปฐม นครพนม นราธิวาส น่าน บึงกาฬ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พัทลุง พิจิตร แพร่ มุกดาหาร ลพบุรี ลำปาง เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สระบุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี และ หนองบัวลำภู
https://mgronline.com/qol/detail/9650000072508
แพ็กซ์โลวิด" Paxlovid ยารักษาโควิด หมอมนูญ เผยประสิทธิภาพ ทำไมถึงเรียกว่า ดีกว่า ยา ทุกตัวที่มี พร้อมเปิดผลข้างเคียง
(30 ก.ค.2565) นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หรือ "หมอมนูญ" ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์เฟซบุ๊ค หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC อัปเดต "ยารักษาโควิด" โดยระบุว่า "แพ็กซ์โลวิด" Paxlovid เข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 เพิ่งกระจายมาถึงโรงพยาบาลเอกชน ปลายเดือนกรกฎาคมนี้
"หมอมนูญ" ระบุถึงประสิทธิภาพ "ยารักษาโควิด" แพ็กซ์โลวิด สามารถลดความเสี่ยงการป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ลงได้ร้อยละ 88 เมื่อผู้ป่วยได้รับยาภายใน 5 วัน นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ คนที่เข้าข่ายการใช้แพ็กซ์โลวิด คือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คนที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย มีประวัติการฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือยังไม่ได้รับเลยแม้แต่เข็มเดียว
แพ็กซ์โลวิด" ประกอบด้วยยา 2 ชนิด: เนอร์มาเทรลเวียร์ และริโทนาเวียร์ ขนาดยาที่แนะนําคือ เนอร์มาเทรลเวียร์ จํานวน 2 เม็ดร่วมกับริโทนาเวียร์ 1 เม็ด
โดยรับประทานวันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน สําหรับแต่ละโดส ให้รับประทานยาทั้งหมด 3 เม็ดพร้อมกัน
คนที่เป็นโรคไตที่มีความรุนแรงปานกลาง ต้องลดขนาดแพ็กซ์โลวิดลงก่อนให้ยาต้องตรวจสอบว่ามีการใช้ยาอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ยาบางชนิดอาจเข้ากันไม่ได้กับแพ็กซ์โลวิด อาการข้างเคียงที่พบบ่อย คือการรับรสชาติเปลี่ยนไป ผู้ป่วยบ่นว่ามีรสขม และเป็นโลหะในปาก (metallic taste) บางรายมีท้องเสีย อาเจียน อาการจะดีขึ้นหลังหยุดยา 1 วัน
ผู้ป่วยชายไทยอายุ 75 ปี เจ็บคอมาก มีไข้ ไอเล็กน้อย 1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล ตรวจ ATK บวก เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไตเสื่อม เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีอัมพฤกษ์ด้านซ้าย แต่ดีขึ้นแล้ว ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกา 2 เข็ม ตรวจร่างกายอุณหภูมิ 38.5 องศาเซลเซียส ฟังปอดปกติ
เอกซเรย์ปอดปกติ การทำงานของไตลดลง BUN 27, Creatinine 1.91 กินยาลดไขมัน rosuvastatin วินิจฉัยเป็นโรคไวรัสโควิด-19 ได้เริ่มยาแพ็กซ์โลวิด ลดขนาดเนอร์มาเทรลเวียร์เหลือ 1 เม็ด ร่วมกับริโทนาเวียร์ 1 เม็ด เพราะไตไม่ดี โดยให้รับประทานวันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน หยุดยาลดไขมัน rosuvastatin ชั่วคราว เพราะยาริโทนาเวียร์จะไปเพิ่มระดับยาลดไขมัน rosuvastatin
หลังกินยาแพ็กซ์โลวิดไข้ลง เจ็บคอน้อยลงใน 1 วัน แต่การรับรสอาหารเปลี่ยนไป มีรสขม กินอาหารไม่อร่อย กินยาแพ็กซ์โลวิดครบ 5 วัน อาการทั่วไปดีขึ้นมาก คนไข้ยอมรับผลข้างเคียงภาวะขมปาก จากยาแพ็กซ์โลวิด เพราะยานี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันปอดอักเสบจากไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่ายาทุกตัวที่มีขณะนี้
https://www.komchadluek.net/covid-19/524441

WHO ประกาศภาวะฉุกเฉิน ‘ฝีดาษลิง’ ผู้เชี่ยวชาญชี้ ‘ใกล้หมดเวลา’ หยุดการระบาด
องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ “ฝีดาษลิง” (monkeypox) เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยข้อมูลล่าสุดในสัปดาห์นี้พบว่ามีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้วมากกว่า 18,000 คนใน 78 ประเทศ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่าโลกกำลังเลยจุดที่จะสามารถควบคุมฝีดาษลิงเอาไว้ได้ และมีแนวโน้มที่โรคนี้อาจจะแพร่ระบาดต่อไปอีกเป็นเวลาหลายเดือน
ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของฝีดาษลิงเป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” เมื่อวันเสาร์ที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยยอมรับว่าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ WHO ที่จัดประชุมกัน 2 วันก่อนหน้านั้นไม่สามารถบรรลุมติเอกฉันท์ จึงกลายเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องตัดสินใจประกาศเตือนความเสี่ยงขั้นสูงสุด
“WHO ประเมินว่าความเสี่ยงของโรคฝีดาษลิงยังอยู่ในระดับปานกลาง (moderate) ทั่วโลกและทุกภูมิภาค ยกเว้นยุโรปที่จัดว่ามีความเสี่ยงสูง” ทีโดรส ระบุ
ฝีดาษลิงเป็นโรคประจำถิ่นในแถบแอฟริกากลางและตะวันตก และถูกละเลยมานานหลายสิบปี จนกระทั่งเริ่มมีการพบผู้ติดเชื้อนอกภูมิภาคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. โดย 98% ของผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มชายรักชายที่มีเพศสัมพันธ์กัน และเคยมีประวัติไปท่องเที่ยวสถานบันเทิงทางเพศ เช่น ปาร์ตี้เซ็กซ์ หรือห้องเซาน่า ในช่วงประมาณ 1 เดือนก่อนที่จะป่วย
ทีโดรส ระบุเมื่อวันเสาร์ (23) ว่า การระบาดของโรคยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มชายรักชาย โดยเฉพาะผู้ที่นิยมเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส “หากมีการใช้ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย”
ผอ. WHO ยังเรียกร้องให้ทุกประเทศทำงานอย่างใกล้ชิดกับประชาคมชายรักชาย เพื่อช่วยให้คนกลุ่มนี้ได้รับข้อมูลและบริการที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงนำมาตรการป้องกันที่ได้ผลจริงมาใช้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โดยหลีกเลี่ยงการสร้าง “ตราบาป” ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยปฏิเสธการรักษา และทำให้การติดตามสอบสวนโรคนั้นยากขึ้น
ฝีดาษลิงเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในตระกูลเดียวกับฝีดาษคน หรือไข้ทรพิษ (smallpox) โดยพบครั้งแรกในมนุษย์เมื่อปี 1970 อาการของโรคจัดว่ามีความรุนแรงน้อยกว่าและแพร่ระบาดได้ยากกว่าไข้ทรพิษ ซึ่งถูกกำจัดหมดสิ้นไปจากโลกแล้วในปี 1980
งานวิจัยซึ่งเผยแพร่ทางวารสาร New England Journal of Medicine ซึ่งได้จากการศึกษากลุ่มผู้ป่วย 528 คนใน 16 ประเทศและถือเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับฝีดาษลิงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา พบว่า 95% ของการแพร่เชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กัน
อาการในช่วงแรกๆ ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงคือมีไข้และอ่อนเพลีย จากนั้นจะมีผื่นแดงขึ้นทั่วร่างกาย ก่อนที่ผื่นนั้นจะบวมกลายเป็นตุ่มน้ำใสและตุ่มหนอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้สูงสุด ระยะนี้จะคงอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่แผลจะตกสะเก็ดและหลุดลอกไป
เมื่อวันจันทร์ (25) สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักรได้ประกาศเพิ่มอาการของผู้ป่วยฝีดาษลิงให้ครอบคลุมถึงบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก และอาการเจ็บปวด และมีเลือดออกบริเวณรูทวารหนักด้วย
อย่างไรก็ดี อาการของผู้ป่วยฝีดาษลิงแต่ละคนรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน และมักจะแสดงอาการอยู่ระหว่าง 2-4 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยจะยังคงแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่นได้ จนกว่าตุ่มแผลตามร่างกายจะหายสนิท
ข้อมูลจาก WHO ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยฝีดาษลิงแค่ราวๆ 10% ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตจากการระบาดครั้งนี้แล้ว 5 ราย โดยทั้งหมดเป็นผู้ป่วยในทวีปแอฟริกา
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การตรวจวินิจฉัยโรคนี้ค่อนข้างยาก เนื่องจากอาการของโรคมีความคล้ายคลึงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ซึ่งการตรวจนั้นอาจจะต้องใช้วิธี PCR Test หรือนำตัวอย่างจากแผลพุพองที่ผิวหนังไปตรวจโดยละเอียดจึงจะทราบ
ยุโรปถือเป็นจุดศูนย์กลางการระบาดของฝีดาษลิงในขณะนี้ โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มอายุน้อยที่อาศัยอยู่ในเมือง ตามข้อมูลจาก WHO
https://mgronline.com/around/detail/9650000072444

ติดตามข่าวโควิดวันนี้ค่ะ
🇹🇭💜มาลาริน💜🇹🇭30ก.ค.ไทยไม่ติดTop10โลก/ป่วย1,962คน หาย2,157คน ตาย32คน/ยาแพ็กซ์โลวิด ดีกว่า/ใกล้หมดเวลาหยุดฝีดาษลิง
https://www.bangkokbiznews.com/social/public_health/1018127
เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์โควิด-19 ประจำวัน ว่า วันนี้ผู้ป่วยรายใหม่ทั้ง RT-PCR และ ATK 1,962 ราย สะสม 4,588,512 ราย หายป่วย 2,157 ราย สะสม 4,532,830 ราย เสียชีวิต 32 ราย สะสม 31,359 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 24,323 ราย อยู่ รพ.สนาม และอื่นๆ 12,104 ราย และอยู่ใน รพ. 12,219 ราย จำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 920 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 456 ราย อัตราครองเตียงระดับ 2-3 หรือสีเหลืองสีแดง 17.2% ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในเรือนจำและผู้ติดเชื้อเดินทางจากต่างประเทศ ภาพรวมกราฟผู้ป่วยรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิตยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 วันที่ 29 ก.ค. 2565 ฉีดได้ 30,427 โดส สะสม 141,538,384 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 57,131,384 โดส คิดเป็น 82.1% เข็มสอง 53,490,325 โดส คิดเป็น 76.9% และเข็มสามขึ้นไป 25,145 โดส สะสม 30,916,062 โดส คิดเป็น 44.4% ขณะที่การฉีดเข็มกระตุ้นในกลุ่มสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ฉีดได้ 6,235,356 โดส คิดเป็น 49.1% และการฉีดวัคซีนในกลุ่มอายุ 5-11 ปี เข็มแรกฉีดได้ 3,245,675 โดส คิดเป็น 63% และเข็มสอง 2,274,500 โดส คิดเป็น 44.2%
ขณะที่กรมควบคุมโรครายงานจำนวนผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่รายจังหวัด พบว่า 10 จังหวัดที่มีผู้ป่วยรายใหม่สูงสุด ได้แก่ ....👇
1. กทม. 1,290 ราย
2. สมุทรปราการ 126 ราย
3. ชลบุรี 110 ราย
4. ตรัง 41 ราย
5. ชุมพร 27 ราย
6. ขอนแก่น 25 ราย
7. ปทุมธานี 24 ราย
8. เชียงใหม่ 23 ราย
9. นนทบุรี 19 ราย
และ 10. บุรีรัมย์ 18 ราย
ภาพรวมมีรายงานผู้ป่วย 48 จังหวัด ไม่มีรายงานผู้ป่วย 29 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี กำแพงเพชร ชัยนาท ชัยภูมิ ตาก นครปฐม นครพนม นราธิวาส น่าน บึงกาฬ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พัทลุง พิจิตร แพร่ มุกดาหาร ลพบุรี ลำปาง เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สระบุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี และ หนองบัวลำภู
https://mgronline.com/qol/detail/9650000072508
แพ็กซ์โลวิด" Paxlovid ยารักษาโควิด หมอมนูญ เผยประสิทธิภาพ ทำไมถึงเรียกว่า ดีกว่า ยา ทุกตัวที่มี พร้อมเปิดผลข้างเคียง
(30 ก.ค.2565) นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หรือ "หมอมนูญ" ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์เฟซบุ๊ค หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC อัปเดต "ยารักษาโควิด" โดยระบุว่า "แพ็กซ์โลวิด" Paxlovid เข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 เพิ่งกระจายมาถึงโรงพยาบาลเอกชน ปลายเดือนกรกฎาคมนี้
"หมอมนูญ" ระบุถึงประสิทธิภาพ "ยารักษาโควิด" แพ็กซ์โลวิด สามารถลดความเสี่ยงการป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ลงได้ร้อยละ 88 เมื่อผู้ป่วยได้รับยาภายใน 5 วัน นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ คนที่เข้าข่ายการใช้แพ็กซ์โลวิด คือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คนที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย มีประวัติการฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือยังไม่ได้รับเลยแม้แต่เข็มเดียว
แพ็กซ์โลวิด" ประกอบด้วยยา 2 ชนิด: เนอร์มาเทรลเวียร์ และริโทนาเวียร์ ขนาดยาที่แนะนําคือ เนอร์มาเทรลเวียร์ จํานวน 2 เม็ดร่วมกับริโทนาเวียร์ 1 เม็ด
โดยรับประทานวันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน สําหรับแต่ละโดส ให้รับประทานยาทั้งหมด 3 เม็ดพร้อมกัน
คนที่เป็นโรคไตที่มีความรุนแรงปานกลาง ต้องลดขนาดแพ็กซ์โลวิดลงก่อนให้ยาต้องตรวจสอบว่ามีการใช้ยาอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ยาบางชนิดอาจเข้ากันไม่ได้กับแพ็กซ์โลวิด อาการข้างเคียงที่พบบ่อย คือการรับรสชาติเปลี่ยนไป ผู้ป่วยบ่นว่ามีรสขม และเป็นโลหะในปาก (metallic taste) บางรายมีท้องเสีย อาเจียน อาการจะดีขึ้นหลังหยุดยา 1 วัน
ผู้ป่วยชายไทยอายุ 75 ปี เจ็บคอมาก มีไข้ ไอเล็กน้อย 1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล ตรวจ ATK บวก เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไตเสื่อม เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีอัมพฤกษ์ด้านซ้าย แต่ดีขึ้นแล้ว ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกา 2 เข็ม ตรวจร่างกายอุณหภูมิ 38.5 องศาเซลเซียส ฟังปอดปกติ
เอกซเรย์ปอดปกติ การทำงานของไตลดลง BUN 27, Creatinine 1.91 กินยาลดไขมัน rosuvastatin วินิจฉัยเป็นโรคไวรัสโควิด-19 ได้เริ่มยาแพ็กซ์โลวิด ลดขนาดเนอร์มาเทรลเวียร์เหลือ 1 เม็ด ร่วมกับริโทนาเวียร์ 1 เม็ด เพราะไตไม่ดี โดยให้รับประทานวันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน หยุดยาลดไขมัน rosuvastatin ชั่วคราว เพราะยาริโทนาเวียร์จะไปเพิ่มระดับยาลดไขมัน rosuvastatin
หลังกินยาแพ็กซ์โลวิดไข้ลง เจ็บคอน้อยลงใน 1 วัน แต่การรับรสอาหารเปลี่ยนไป มีรสขม กินอาหารไม่อร่อย กินยาแพ็กซ์โลวิดครบ 5 วัน อาการทั่วไปดีขึ้นมาก คนไข้ยอมรับผลข้างเคียงภาวะขมปาก จากยาแพ็กซ์โลวิด เพราะยานี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันปอดอักเสบจากไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่ายาทุกตัวที่มีขณะนี้
https://www.komchadluek.net/covid-19/524441
องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ “ฝีดาษลิง” (monkeypox) เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยข้อมูลล่าสุดในสัปดาห์นี้พบว่ามีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้วมากกว่า 18,000 คนใน 78 ประเทศ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่าโลกกำลังเลยจุดที่จะสามารถควบคุมฝีดาษลิงเอาไว้ได้ และมีแนวโน้มที่โรคนี้อาจจะแพร่ระบาดต่อไปอีกเป็นเวลาหลายเดือน
ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของฝีดาษลิงเป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” เมื่อวันเสาร์ที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยยอมรับว่าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ WHO ที่จัดประชุมกัน 2 วันก่อนหน้านั้นไม่สามารถบรรลุมติเอกฉันท์ จึงกลายเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องตัดสินใจประกาศเตือนความเสี่ยงขั้นสูงสุด
“WHO ประเมินว่าความเสี่ยงของโรคฝีดาษลิงยังอยู่ในระดับปานกลาง (moderate) ทั่วโลกและทุกภูมิภาค ยกเว้นยุโรปที่จัดว่ามีความเสี่ยงสูง” ทีโดรส ระบุ
ฝีดาษลิงเป็นโรคประจำถิ่นในแถบแอฟริกากลางและตะวันตก และถูกละเลยมานานหลายสิบปี จนกระทั่งเริ่มมีการพบผู้ติดเชื้อนอกภูมิภาคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. โดย 98% ของผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มชายรักชายที่มีเพศสัมพันธ์กัน และเคยมีประวัติไปท่องเที่ยวสถานบันเทิงทางเพศ เช่น ปาร์ตี้เซ็กซ์ หรือห้องเซาน่า ในช่วงประมาณ 1 เดือนก่อนที่จะป่วย
ทีโดรส ระบุเมื่อวันเสาร์ (23) ว่า การระบาดของโรคยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มชายรักชาย โดยเฉพาะผู้ที่นิยมเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส “หากมีการใช้ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย”
ผอ. WHO ยังเรียกร้องให้ทุกประเทศทำงานอย่างใกล้ชิดกับประชาคมชายรักชาย เพื่อช่วยให้คนกลุ่มนี้ได้รับข้อมูลและบริการที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงนำมาตรการป้องกันที่ได้ผลจริงมาใช้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โดยหลีกเลี่ยงการสร้าง “ตราบาป” ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยปฏิเสธการรักษา และทำให้การติดตามสอบสวนโรคนั้นยากขึ้น
ฝีดาษลิงเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในตระกูลเดียวกับฝีดาษคน หรือไข้ทรพิษ (smallpox) โดยพบครั้งแรกในมนุษย์เมื่อปี 1970 อาการของโรคจัดว่ามีความรุนแรงน้อยกว่าและแพร่ระบาดได้ยากกว่าไข้ทรพิษ ซึ่งถูกกำจัดหมดสิ้นไปจากโลกแล้วในปี 1980
งานวิจัยซึ่งเผยแพร่ทางวารสาร New England Journal of Medicine ซึ่งได้จากการศึกษากลุ่มผู้ป่วย 528 คนใน 16 ประเทศและถือเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับฝีดาษลิงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา พบว่า 95% ของการแพร่เชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กัน
อาการในช่วงแรกๆ ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงคือมีไข้และอ่อนเพลีย จากนั้นจะมีผื่นแดงขึ้นทั่วร่างกาย ก่อนที่ผื่นนั้นจะบวมกลายเป็นตุ่มน้ำใสและตุ่มหนอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้สูงสุด ระยะนี้จะคงอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่แผลจะตกสะเก็ดและหลุดลอกไป
เมื่อวันจันทร์ (25) สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักรได้ประกาศเพิ่มอาการของผู้ป่วยฝีดาษลิงให้ครอบคลุมถึงบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก และอาการเจ็บปวด และมีเลือดออกบริเวณรูทวารหนักด้วย
อย่างไรก็ดี อาการของผู้ป่วยฝีดาษลิงแต่ละคนรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน และมักจะแสดงอาการอยู่ระหว่าง 2-4 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยจะยังคงแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่นได้ จนกว่าตุ่มแผลตามร่างกายจะหายสนิท
ข้อมูลจาก WHO ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยฝีดาษลิงแค่ราวๆ 10% ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตจากการระบาดครั้งนี้แล้ว 5 ราย โดยทั้งหมดเป็นผู้ป่วยในทวีปแอฟริกา
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การตรวจวินิจฉัยโรคนี้ค่อนข้างยาก เนื่องจากอาการของโรคมีความคล้ายคลึงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ซึ่งการตรวจนั้นอาจจะต้องใช้วิธี PCR Test หรือนำตัวอย่างจากแผลพุพองที่ผิวหนังไปตรวจโดยละเอียดจึงจะทราบ
ยุโรปถือเป็นจุดศูนย์กลางการระบาดของฝีดาษลิงในขณะนี้ โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มอายุน้อยที่อาศัยอยู่ในเมือง ตามข้อมูลจาก WHO
https://mgronline.com/around/detail/9650000072444