JJNY : 5in1 เล็งหั่นทิ้งงบกองทัพ│สตง.ส่งทีมสอบ"เบนซ์ S500"│"ส่งออกไทย"บนความเสี่ยงศก.โลก│‘ก้าวไกล’โรยเกลือ│สมชัยแซะแรง!

อนุเล็งหั่นทิ้ง งบกองทัพ 3 หมื่นล้าน ฉะ 'ทบ.-ทร.' ชอบอ้างเอกสารลับ เปิดเผยไม่ได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3479981
 
 
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะคณะอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ให้สัมภาษณ์กรณีอนุ กมธ.จะเสนอ กมธ.ชุดใหญ่ตัดงบกระทรวงกลาโหม ว่าอนุ กมธ.ได้ตัดงบประมาณในส่วนของกองทัพประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ในส่วนของครุภัณฑ์ ประมาณ 4 พันล้านบาท คิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของงบกระทรวงกลาโหม โดยงบประมาณส่วนใหญ่อยู่ที่กองทัพบก ประมาณ 2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการเลื่อนโครงการที่ยังทำไม่ทันและทำไม่เสร็จ หรือเหมือนว่าอาจจะไม่ได้ทำจริง โดยตัวเลขของกองทัพบกที่มากเป็นเรื่องของการสร้างโรงงานผลิตดินระเบิดที่ทำร่วมกับจีน ซึ่งทั้งระยะที่หนึ่งและสองยังไม่ถึงไหน โดยรอบนี้จะเอาเงินระยะที่หนึ่งและสองเพิ่มอีก กมธ.จึงเห็นว่าให้เลื่อนโครงการออกไปก่อนเนื่องจากเงินระยะที่หนึ่งยังเหลืออยู่ และจะตัดงบที่ดูแล้วไม่สามารถเป็นจริงได้ เช่น รถอีวี รถบัสไฟฟ้า ราคาคันละประมาณ 8 ล้านบาท ซึ่งกองทัพบกเป็นหน่วยงานแรกที่ขอซื้อ และขอซื้อเป็นจำนวนมาก หากซื้อรถแบบเดียวกันที่ใช้น้ำมัน ราคาอยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านบาทเท่านั้น
 
นายจิรัฏฐ์กล่าวต่อว่า ในส่วนของกองทัพเรือได้ตัดงบเรื่องของการฝึกฝนกองกำลังที่จะไปปฏิบัติการในเรือดำน้ำ เนื่องจากยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเรือดำน้ำจะใช้เครื่องยนต์อะไรในการทำงาน โดยอ้างว่าฝึกไปก่อนค่อยปฏิบัติงาน ตนคิดว่าไม่สามารถเป็นไปได้ และในส่วนของกองทัพอากาศที่ขอซื้อเครื่องบิน F-35A จำนวน 2 ลำ ในงบประมาณ 7,300 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของอนุ กมธ.ไม่ให้ผ่าน เนื่องจากมองแล้วไม่จำเป็น และสมเหตุสมผล และไม่ได้เป็นไปตามที่พูดในสภาว่า ภายใน 2 ปี จะได้รับเครื่อง ซึ่งในภายหลังแจ้งว่า 4 ปีได้ แต่ในความเป็นจริง 10 ปีถึงจะได้เครื่องเปล่าที่ไม่สามารถขึ้นบินได้ และเมื่อถามว่าจะต้องใช้งบเท่าไหร่ถึงจะได้ฝูงบินทั้งฝูง จำนวน 12 ลำ ก็ได้คำตอบว่าประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาทเป็นอย่างน้อย
 
เมื่อถามว่า กมธ.จะเห็นชอบหรือไม่ที่จะตัดงบประมาณในส่วนนี้ นายจิรัฏฐ์กล่าวว่า กระแสสังคมจะกดดันหนัก เหมือนกรณีซื้อเรือดำน้ำ และประชาชนมีความเชื่อว่าคนที่มาจากประชาชนคงไม่เป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่มีการซื้อ เช่น เรือดำน้ำ เรือเหาะ GT200 เกิดขึ้นได้จากหลังการรัฐประหารทั้งนั้น หากเป็นตัวแทนที่มาจากประชาชน เป็น กมธ.ที่ดูเรื่องงบประมาณ ตนมั่นใจว่าเป็นเรื่องยากที่จะผ่าน เพราะก็ทราบอยู่ว่าไม่รู้จะเอามาทำอะไร ซื้อมาเพื่อตอบสนองคำว่าดำรงสภาพความพร้อมรบเท่านั้นเอง และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพร้อม
 
นายจิรัฏฐ์กล่าวว่า สิ่งที่ตนไม่พอใจและเป็นประเด็นก็คือ เรื่องของเอกสารลับของกองทัพเรือและกองทัพบก ซึ่งไม่ควรจะเป็นลับและควรจะเปิดเผย เมื่อเอาเอกสารมาให้ก็จะต้องเซ็นชื่อรับ เมื่อเลิกประชุมแล้วก็จะต้องคืน ถึงขั้นต้องนับจำนวนแผ่น อันที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องลับอะไร เป็นการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ตนคิดว่าที่ลับน่าจะเป็นเรื่องของราคา ในส่วนของเอกสารกองทัพบกมีชื่อผู้เปิดเอกสารเป็นลายน้ำในกระดาษ ซึ่งตนมองว่าก็ไม่ผิดกฎหมายอะไรหากจะเปิดเผย ซึ่งตนจะเปิดเผยแน่นอน
 
“งบลับอะไรไปซื้อรถไถนา รถพรวนดิน ไปซื้อเตียงนอนทหาร อุปกรณ์ทำนาทำไร่ ในโครงการทหารพันธุ์ดี มันลับตรงไหน ถ้าจะลับก็คงจะลับที่ราคา” นายจิรัฏฐ์กล่าว
 
นายจิรัฏฐ์กล่าวว่า นอกจากเรื่องเอกสารลับก็มีเรื่องของการโกงงบประมาณ ในส่วนของกองทัพเรือปีที่แล้วมีกรณีเรือดำน้ำที่ยังผลิตไม่เสร็จและยังไม่มีเครื่องยนต์ งบที่ได้ก็ไม่ได้ใช้ ก็ควรจะคืนเข้าหลวง แต่ทางกองทัพเรือไม่คืน กลับโอนไปซื้อรถยานเกราะ ซึ่งไม่ใช่ความรับผิดชอบของกองทัพเรือ ตนมองว่าไม่มีจิตสำนึกในการใช้ภาษีประชาชนเลย
 

 
"สตง." ส่งทีมสอบ "เบนซ์ S 500" ของกองทัพ ผงะทุ่มจัดซื้อไว้ถึง 30 คัน เพื่อ...
https://www.nationtv.tv/news/378881313
 
ไม่เพียงแต่กมธ.แขวนงบกองทัพในรายการ"รถประจำตำแหน่ง" มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท หากแต่ขุดคุ้ยลงไปอีกพบว่ากองทัพมีรถเบนซ์ S 400 และ เบนซ์ S 500 มากถึง 30 คัน ล่าสุดสตง.เข้าตรวจสอบแล้ว ท่ามกลางคำถามเพื่อภารกิจอะไร ขณะที่ "สมชัย" ทวงเอกสารกองทัพยังไม่ได้รับการตอบรับ
 
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการชี้แจงงบประมาณของกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ในปีนี้ มีประเด็นค้างคาที่แขวนการพิจารณาเอาไว้เพื่อรอคำตอบจากทางกองทัพ นั่นก็คือ เรื่องรถประจำตำแหน่ง และค่าตอบแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง รวมถึงการเช่ารถในภารกิจต่างๆ ของกองทัพ ซึ่งใช้งบประมาณจำนวนมาก ระดับร้อยล้านบาท 
 
ประเด็นที่ร้อนแรงและถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คือการที่กองทัพมีรถเบนซ์ S 400 และ เบนซ์ S 500 ซึ่งเป็นรถหรูราคาแพง คันละ 7-8 ล้านบาท มากถึง 30 คัน ข้อมูลนี้เปิดโดย อาจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมาธิการงบประมาณฯ 
 
เบื้องต้นกองทัพชี้แจงว่า รถเหล่านี้เรียกรวมๆ ว่า "รถสมรรถนะสูง" จัดซื้อมาสำหรับ 2 ภารกิจสำคัญ คือ 
 
1. ภารกิจต้อนรับแขกวีไอพี
 
2. ภารกิจเป็นรถควบคุมสั่งการ เพื่อประสานงานและสื่อสารกับรถในขบวนของผู้นำเหล่าทัพ ตลอดจนภารกิจเพื่อความปลอดภัย ซึ่งต้องมีการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสาร จึงต้องใช้รถสมรรถนะสูง 
 
ที่ผ่านมากองทัพยังชี้แจงประเด็นเหล่านี้ไม่ชัดเจน  "นายสมชัย" จึงให้ไปสำรวจว่ามีรถเบนซ์ รุ่น S 400 กับ / S 500 กี่คันกันแน่ และทำภารกิจใด 
 
คำชี้แจงของกองทัพ ทาง "ข่าวข้นคนข่าว" ได้รายงานข้อมูลไปแล้วเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ก่อนที่กองทัพจะเข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการฯ โดยเราได้เอกสารลับจากกองทัพ เพื่อนำมาคลี่ปม 
 
แต่สาระสำคัญของการชี้แจง ปรากฏว่า รถประจำตำแหน่งของผู้นำเหล่าทัพบางคน เช่น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด คือรถ โตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด / คำถามคือ ขนาด ผบ.ทสส. ซึ่งโดยตำแหน่งแล้ว ถือว่าใหญ่สุดของทุกเหล่าทัพ ยังนั่งโตโยต้า คัมรี่ แล้วเหล่าทัพอื่นใช้รถอะไร ใช่ เบนซ์ S 500 ที่เป็นข่าวหรือไม่ 
 
ล่าสุด มีรายงานว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ได้ส่งทีมเข้าตรวจสอบรถหรูสมรรถนะสูงของกองทัพ ว่าใช้ในภารกิจใดบ้าง โดยเฉพาะภารกิจต้อนรับแขก วีไอพี กับภารกิจรถควบคุมสั่งการ / ในทางปฏิบัติมีการใช้รถในภารกิจเหล่านี้จริงหรือไม่ และต้องใช้มากถึง 30 กว่าคันหรือไม่ 
 
แหล่งข่าวจากกระทรวงกลาโหม เผยว่า ที่ผ่านมามีการใช้รถหรูสมรรถนะสูงบางส่วน ไปใช้ในภารกิจต้อนรับแขกวีไอพี และภารกิจรถควบคุมสั่งการจริง แต่ไม่ถึง 30 คัน / ต้องดูว่ารถที่เหลือถูกนำไปใช้ในภารกิจอะไร / เช่น ถูกใช้เป็นรถประจำตำแหน่งของผู้นำเหล่าทัพหรือไม่ เรื่องนี้ต้องรอผลการตรวจสอบของ สตง.
 
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา  นายสมชัย ศรีสุทธิยากร  รองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 66 ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับข้อสงสัยงบประมาณกองทัพอีกครั้ง โดยตั้งคำถาม ถึงกองทัพดังนี้  
 
"คำถามที่ผมในฐานะรองประธานกรรมาธิการงบประมาณ ที่ถามไปยังกองทัพมีแค่ 2 ข้อ ไม่ใช่คำถามที่ตอบยากเย็นประการใด" 
 

1. กองทัพมีนายพลกี่คน เป็นพลตรี พลโท พลเอก กี่คน ในจำนวนดังกล่าวเป็นตำแหน่งที่ไม่มีหน่วยรองรับ เช่น ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กี่คน
 

2. ใน 10 ปีที่ผ่านมา กองทัพมีการจัดซื้อยุทธภัณฑ์ที่เป็นรถหรูในชื่อ "รถควบคุมสั่งการ" จำนวนกี่คัน ให้แก่ตำแหน่งใดบ้าง เป็นเงินเท่าไร มาจากการขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณเหลือจ่ายชื่อรายการอะไร ในปีงบประมาณใด
 
วันที่ขอ คือวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 ตามวิธีปฏิบัติต้องส่งในภายใน 3 วัน ขณะนี้วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ผมให้ฝ่ายเลขาตามด้วยวาจาอย่างน้อย 2 ครั้งแล้ว ยังไม่ได้รับเอกสาร
 
เช้านี้ ผมจะปรึกษาที่ประชุม ขอให้ประธานออกเอกสารทวงอย่างเป็นทางการ
 
กองทัพจะเป็นหน่วยราชการแรกที่ถูกทวงเอกสารอย่างเป็นทางการของการพิจารณางบประมาณปีนี้ และฝากเป็นประเด็นให้กับ ปปช. ประเมินเรื่องคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ด้วย
 
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid02ZEtAquH4a9WdHGuU8fiHgMyhBjMfJmRNUmvtdddXFLWunccVDbVUc74dDfnf9YFPl
 


"ส่งออกไทย" บนความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้ามีสัญญาณชะลอตัว
https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/177324

ส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีแรกก็ดูมีท่าที "สดใส" แต่ในระยะถัดไปกำลังเจอกับควาเสี่ยง เศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้ามีสัญญาณชะลอตัว
 
มูลค่าส่งออก มิ.ย.อยู่ที่ 26,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขยายตัวต่อเนื่องเดือนที่ 16 ส่วนช่วงที่เหลือของปีอาจได้อานิสงค์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า หลายกลุ่มสินค้าได้ประโยชน์โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาปัจจัยการผลิตนำเข้าน้อย พึ่งพิงตลาดต่างประเทศสูง รวมถึงปัจจัยด้านราคามากขึ้นจากการขาดแคลนสินค้าเกษตรนตลาดโลก และระดับราคาสินค้าส่งออกที่อยู่ในระดับสูง

แต่...ระยะถัดไปเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงชะลอตัวเพิ่มขึ้น คาดส่งออกของไทยจะชะลอตัวลง
 
โดยเฉพาะด้านปริมาณ ตามกำลังซื้อของผู้นำเข้า ปัจจัยเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศจำเป็นต้องใช้มาตรการการเงินที่ตึงตัวมาใช้เร็วและแรงมากขึ้น
 
ตลาดจีนยังมีความเสี่ยงจากการนำมาตรการควบคุมโรคที่เข้มข้นมาใช้ใหม่และจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ ความผันผวนของตลาดการเงินศรีลังกาและปากีสถานที่อาจกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนาอื่น รวมถึงปัญหาการชะงักของอุปทานที่จะยังมีและอาจส่งผลไปถึงปี 2566 กระต่อไปยังสินค้าขั้นปลายต่างๆ โดยเฉพาะรถยนต์ แม้แรงกดดันด้านราคาเซมิคอนดักเตอร์และราคาวัตถุดิบต่างๆ เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นก็ตาม 
ส่งออกรายตลาดกระจุกตัวในอาเซียนและอินเดีย ขณะที่หลายตลาดสำคัญเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว 
 
ในส่วนของตลาดสำคัญของการส่งออกอาเซียนและอินเดีย โดยขยายตัวได้สูงที่สุดในรอบ 6 และ 12 เดือน
แต่ตลาดที่ฉุดการส่งออกที่สำคัญในระยะต่อไปของไทยได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง
 
จีนเดือนนี้สะท้อนถึงความกังวลของเศรษฐกิจที่ยังซบเซา โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์และความเสี่ยงในการปิดเมืองอีกครั้ง รวมภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจทำให้การนำเข้าวัตถุดิบการผลิตของจีนชะลอตัวลง
 
ระยะถัดไปหากพิจารณาถึงระดับราคาสินค้าที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปริมาณนำเข้าโดยรวมของจีนและปริมาณการส่งออกของไทยไปอาจลดลง
สอดคล้องกับการส่งออกไปสหรัฐที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 14 เดือน จากความกังวลของความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น และการส่งออกไปยุโรป ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรงจากอุปทานด้านพลังงานและเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยในเดือนขยายตัวได้ 5.8%  ชะลอตัวจาก 7.7% ในเดือนก่อนหน้า การส่งออกไปรัสเซียและยูเครนยังคงหดตัวเนื่องระดับสูงที่ 52.7% และ 86.3% แต่ยังถือว่าเป็นตลาดขนาดเล็กของไทย แต่ไม่ได้มีนัยต่อเศรษฐกิจไทยมากเนื่องจากเป็นตลาดส่งออกขนาดเล็กของไทย
 
โดยสรุปแล้ว  Economic Intelligence Center (EIC) คาดว่าส่งออกไทยครึ่งแรกของปีเติบโตแข็งแกร่ง แต่ระยะถัดไปมีความเสี่ยงมากขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่