เปิด 5 ปมปัญหา หลัง'ศาลปค.'รื้อคดี'โฮปเวลล์'ใหม่-'ศ.ดร.สุรพล'ฟันธงคำพิพากษาไม่เปลี่ยน

เมื่อวานผมอ่านข่าวผลวิจัยของ 2 อาจารย์มหาวิทยาลัยคราวนี้ด้วยความสนใจ โดยงานวิจัยชิ้นนี้ยกเคสของโครงการโฮปเวลล์ ที่มีคำวินิจฉัยของศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยทั้งระบบ และยังมีมุมมองความเห็นทางกฎหมายที่เป็นกลางของท่านอาจารย์สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้จินตนาการไปข้างหน้าว่า จะเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกมากมายเพียงใด ถ้ายังมีบรรทัดฐานเช่นนี้ ต้องขอบคุณ สำนักข่าวอิศรา ที่เป็นเพียงสำนักข่าวเดียวที่นำเสนอเรื่องดังกล่าวนี้มาให้อ่านกันครับ....

2 อาจารย์ ‘นิติศาสตร์’ ธรรมศาสตร์ เปิดผลวิจัยพบ 5 ปมปัญหา หลัง 'ศาลปกครองสูงสุด' สั่งรื้อคดี ‘โฮปเวลล์’ พิจารณาใหม่ ขณะที่ ‘ศ.ดร.สุรพล’ฟันธงคำพิพากษาไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม ระบุการนับอายุความต้องนับตั้งแต่วันเปิดศาลฯ

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่องานวิจัย เรื่อง “การตรวจสอบการกระทำของฝ่ายตุลาการโดยศาลรัฐธรรมนูญและผลที่ตามมา : ศึกษากรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564 และคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 81-84/2565 (ประชุมใหญ่)” โดยมี รศ.อานนท์ มาเม้า และนายสุรศักดิ์ บุญญานุกูลกิจ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้นำเสนองานวิจัยฯ

ทั้งนี้ หลังจากผู้วิจัยได้นำเสนอผลสรุปงานวิจัยฯแล้ว ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าววิพากษ์งานวิจัยฯดังกล่าว โดยระบุตอนหนึ่งว่า คดีโฮปเวลล์ไม่มีอะไรมากเลย โดยเมื่อปี 2541 กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไปบอกเลิกสัญญาโฮปเวลล์ ทางบริษัท โฮปเวลล์ฯ จึงไปยื่นคำร้องให้ตั้งคณะอนุญาโตตุลาการว่า การบอกเลิกสัญญาไม่ชอบ
ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการตัดสินว่า การบอกเลิกสัญญาของกระทรวงคมนาคม และรฟท. ไม่ชอบ และให้คืนเงินที่บริษัท โฮปเวลล์ฯ ลงทุนไปแล้วพร้อมดอกเบี้ย สัญญาจะได้เลิกกัน ไม่ใช่เรื่องเสียค่าปรับ แต่กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ไม่ทำตาม บริษัท โฮปเวลล์ฯ จึงยื่นฟ้องศาลปกครอง เพื่อขอให้บังคับตามคำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งหากคณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้ทำผิดวิธีการ ไม่ได้รับสินบน ไม่ตีความกฎหมายผิด ศาลฯจะไม่เข้าไปแทรกแซงดุลพินิจ

หลังจากกระทรวงคมนาคม และรฟท. แพ้คดีแล้ว กระทรวงคมนาคม และรฟท. สู้คดีต่อ โดยคราวนี้ได้หยิบยกประเด็นเรื่องอายุความขึ้นมาต่อสู้ว่า บริษัท โฮปเวลล์ไปฟ้องคดีในปี 2547 แต่การบอกเลิกสัญญาเกิดขึ้นในปี 2541 เกินระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่รู้เหตุแห่งคดี แต่ศาลปกครองบอกว่า การเริ่มนับอายุการฟ้องคดีให้เริ่มนับตั้งแต่วันเปิดศาลปกครอง ซึ่งก็ตรงไปมา เพราะเมื่อศาลปกครองยังไม่เปิดทำการ ก็ฟ้องคดีไม่ได้ จึงนับอายุความไม่ได้

แต่ต่อมาเกิดกรณีว่ากระทรวงคมนาคม และรฟท. ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยสงสัยว่าฐานที่ศาลปกครองใช้เป็นหลักในการวินิจฉัยคดีว่า อายุความที่ให้เริ่มนับตั้งแต่วันเปิดศาลฯน่าจะผิด และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มติที่ประชุมใหญ่ของตุลาการในศาลปกครองสูงสุด เรื่อง การนับระยะเวลาการนับคดี ซึ่งให้นับตั้งแต่วันเปิดศาล ขัดต่อกฎหมาย กระทรวงคมนาคม และ รฟท. จึงไปขอให้ศาลปกครองรับคดีไว้พิจารณาโดยอ้างเหตุดังกล่าว

เชื่อการตัดสินคดี ‘โฮปเวลล์’ ไม่แตกต่างจากเดิม
ศ.ดร.สุรพล กล่าวต่อว่า แม้ว่าศาลปกครองสูงสุดจะสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคดีโฮปเวลล์ไว้พิจารณาใหม่ แต่ตนเชื่อว่าผลแห่งคดีจะไม่แตกต่างไปจากเดิม เนื่องจากคดีนี้เป็นเรื่องการขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้บังคับตามคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งสืบคดีมาหมดแล้ว และหากกระบวนการวินิจฉัยชอบแล้ว องค์คณะตุลาการศาลปกครองคงวินิจฉัยอะไรได้ไม่มาก มีเพียงเรื่องเดียวที่ต้องถกเถียงกัน คือ เรื่องการนับระยะเวลาการเริ่มอายุความ 5 ปี

“ในความเห็นของผม หลักการนับอายุความในคดีต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ฟ้องได้ มีโอกาสฟ้อง และมีเงื่อนไขการฟ้องครบ และเวลาพูดถึงเรื่องอายุความ เราก็พูดถึงวันที่เปิดศาลกันทั้งนั้น ไม่ได้ใช้อายุความ 2 ปี ตั้งแต่เกิดเหตุ หรือ 1 ปีนับตั้งแต่รู้เรื่องนั้นตามหลักทั่วไป แต่การนับอายุความที่บอกว่า 1 ปี หรือ 2 ปี นั้น จะเริ่มเมื่อศาลเปิดทำการ และพร้อมให้ฟ้องคดี ซึ่งผมคิดว่าเรื่องการนับอายุความการฟ้องคดี เป็นการตีความข้อกฎหมาย
แต่เมื่อมติที่ประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุด เรื่อง การนับระยะเวลาการฟ้องคดีในคดีนี้ ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ใช้ไม่ได้ ต้องทำลายมติอันนั้น เพราะเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นั่นไม่ได้ทำให้หลักการนับอายุความที่บอกว่า ให้นับอายุความตั้งแต่วันที่เปิดศาลทำการนั้น หายไป มีเพียงมติของที่ประชุมใหญ่ของตุลาการฯเท่านั้นที่หายไป

เพราะฉะนั้น เมื่อคดี (โฮปเวลล์) เข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองอีกครึ่ง ก็จะเหลือประเด็นข้อกฎหมายข้อเดียวที่ต้องพิจารณา และอาจจะไม่ต้องสืบอะไรใหม่ด้วยซ้ำ คือ ต้องนับอายุความเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีมติที่ประชุมใหญ่ของตุลาการในศาลปกครองสูงสุดกำหนดไว้ และเมื่อเนื้อหาอื่นๆไม่ได้เปลี่ยนไป ผลของคดีจึงไม่แตกต่างออกไป อีกทั้งที่ผ่านมาศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาไปแล้ว 18 คดีซึ่งทั้ง 18 คดี มีมติว่าอายุความต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่เริ่มเปิดศาล ไม่ได้เริ่มนับตั้งแต่วันที่รู้ก่อนศาลเปิด หรือวันที่เกิดเหตุก่อนศาลเปิด ดังนั้น ถ้าคดีนี้ (โฮปเวลล์) ศาลปกครองสูงสุดตัดสินต่างออกไป โดยบอกว่าให้ระยะเวลานับใหม่ ซึ่งผมไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะมติที่ประชุมใหญ่ของตุลาการฯ ที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าไม่ชอบนั้น เป็นเพราะไม่ได้ถูกนำไปส่งสภาผู้แทนราษฎร และประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ไม่ใช่ไม่ชอบ เพราะเนื้อหาไม่ชอบ

ผมจึงคิดว่าผลแห่งคดีไม่น่าจะมีความแตกต่างไปจากเดิม เพราะถ้าต่างไป คดีศาลปกครองสูงสุดตัดสินไปแล้ว 18 คดี คู่ความสามารถร้องขอให้ศาลฯพิจารณาใหม่ทั้งหมด และศาลต้องรับด้วย รวมทั้งต้องเปลี่ยนแปลงผลคำตัดสินของทั้ง 18 คดีด้วย ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญมาก เพราะมันกระทบต่อหลักความมั่นคง แน่นอนของนิติฐานะที่มาจากคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว” ศ.ดร.สุรพล กล่าว

ห่วงรื้อคดีใหม่แบบ ‘แปลกประหลาด’ กระทบเชื่อมั่นต่างชาติ
ศ.ดร.สุรพล ระบุด้วยว่า เมื่อศาลปกครองสุงสุดมีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคดีโฮปเวลล์ไว้พิจารณาใหม่ แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วผลแห่งคดีจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่การที่คดีที่ถึงที่สุดแล้ว ต้องกลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีใหม่ โดยเฉพาะการรื้อฟื้นคดีมาพิจารณาใหม่เป็นการรื้อคดีบนความแปลกประหลาด ย่อมจะส่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนและทำการค้าในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คนเขาชนะคดี คดีที่ถึงที่สุดแล้ว เข้าสู่กระบวนการบังคับแล้ว แต่อยู่ๆคดีที่ถึงที่สุดแล้วนั้น ถูกรื้อฟื้นมาพิจารณาใหม่ได้ มันจะกระทบต่อหลักความมั่นคงของสิทธิทางกฎหมายเยอะมาก และถ้าเกิดได้เรื่องหนึ่ง เรื่องอื่นๆก็เกิดขึ้นตามมาได้อีก ซึ่งก็หมายความว่า ต่อไปอำนาจศาลไทย ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม ถ้าจบในชั้นฎีกาแล้ว แล้วมีกระบวนการใหม่ ที่ทำให้สิ่งที่จบไปแล้ว กลับมาทำได้อีกนั้น

มีข้อที่ต้องพิจารณาให้ดี คือ ประเทศไทย ได้รับความนิยมจากต่างประเทศในการมาลงทุนทำธุรกิจ มาติดต่อค้าขายมากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เพราะศาลในประเทศไทยได้รับการยอมรับมาตลอด เนื่องจาเมื่อตัดสินคดีแล้ว มันจบจริงๆ จบแล้วคือจบ จบแล้วบังคับได้จริง แตกต่างจากหลายประเทศที่ไม่เป็นอย่างนั้น คือ ฟ้องศาลไม่ได้ ศาลไม่บังคับคดีให้ หรือเมื่อศาลตัดสินแล้วไม่มีกระบวนการบังคับ แต่ในประเทศไทยทำเรื่องนี้ดีมาโดยตลอด

จึงทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุน ความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจกับบริษัทไทยกับคนไทย ความเชื่อมั่นในการเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนของภูมิภาคเกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว ผมคิดว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องดูกัน เพราะเมื่อไหร่ที่สถานะของความมั่นคงแห่งคำพิพากษา หรือเรื่องที่ถึงที่สุดแล้วในการบวนการตุลาการ มันกลับมารื้อฟื้นใหม่ได้ บนความแปลกประหลาดใจของคนต่างชาติ รวมทั้งพวกเราคนได้ด้วย จะมีผลกระทบอย่างยิ่ง” ศ.ดร.สุรพล กล่าว

ด้าน นายธวัช ดำสอาด ทนายความและหุ้นส่วน บริษัท Tilleke & Gibbins Ltd. กล่าวว่า การที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคดีโฮปเวลล์ไว้พิจารณาใหม่ ตนเห็นว่าผลแห่งคดีจะไม่เปลี่ยนไป เพราะในคดีที่เป็นการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการนั้น ศาลผู้พิจารณาคดีมีข้อจำกัดอย่างมาก เนื่องจากไม่สามารถลงไปวินิจฉัยเนื้อหาของคดีไม่ได้ หากกระบวนการชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี

ส่วนเรื่องประเด็นอายุความการฟ้องคดี 5 ปี นั้น ตนมองไม่เห็นว่า ศาลปกครองกลางองค์คณะใหม่จะมองเรื่องนี้ต่างไปจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้อย่างไร
"เคยมีการพิจารณาคดีใหม่ กรณีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านมาแล้ว โดยยกข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยเคยมีคำตัดสินในคดีอาญามาใช้พิจารณาคดี ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ จะไปกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยในทางนิติศาสตร์เป็นเรื่องความมั่นคงของนิติฐานะของคำพิพากษา แต่ในทางธุรกิจ เศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างประเทศ มันกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมากว่า 

คำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว โดยศาลปกครองสูงสุดหรือศาลฎีกา ถ้าถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปได้ นักลงทุนคิดหนักที่จะมาลงทุนตรงนี้ และการทำทุกอย่างมีต้นทุน ผมเข้าใจว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา แล้วศาลปกครองปกครองสูงสุดสั่งรับคดีไว้พิจารณาคดีใหม่ ผู้ที่มีส่วนในการดำเนินการในส่วนนี้ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐก็ดีใจว่าได้ช่วยปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ เงินของแผ่นดิน ตกน้ำไม้ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เราพูดกันอย่างนี้ 
แต่อยากให้ลองคิดว่า ถ้าต่อไป ศาลปกครองกลางหรือศาลปกครองสูงสุดตัดสินตามเดิม ต้นทุนไม่เท่าเดิม ต้นเงินที่เป็นหมื่นล้าน บวกกับดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี หรือปีละ 750 ล้าน เป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การรื้อคดีใหม่ แต่เป็นการเพิ่มทุนทรัพย์พิพาทหรือเงินตามคำพิพากษาที่ต้องจ่ายให้กับผู้ฟ้องคดีที่เพิ่มขึ้น" นายธวัช กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่