JJNY : 'พท.'อัดตู่ ทำความสามารถแข่งขันไทยร่วง│ขึ้นต่อไม่รอแล้ว!ราคาผักพุ่งอีก│'ชัชชาติ' เร่งแก้PM2.5│บรัสเซลส์เป็นอัมพาต

'พท.' อัด บิ๊กตู่ ทำความสามารถแข่งขันไทยร่วง 5 อันดับ แนะ 6 ทางฟื้นศก. เปรียบเป็นผู้นำคอมพ์ฯตกรุ่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_3411569
 
 
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ที่พรรคเพื่อไทย(พท.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ แถลงเรื่อง “ฟื้นความสามารถแข่งขันไทยที่ทรุดหนัก” นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ และรองเลขาธิการพรรคพท. แถลงเรื่อง “ฟื้นเศรษฐกิจไทยด้วยการท่องเที่ยว” และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด กรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง แถลงเรื่อง “เศรษฐกิจยุคพลเอกประยุทธ์ ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”

โดยนายพิชัย กล่าวว่า หนี้สาธารณะของไทยพุ่งทะลุ 10 ล้านล้านบาทแล้ว และ ราคาก๊าซหุงต้มจะขึ้นเป็น 408 บาทสำหรับถัง 15 กก. ในเดือนกันยายนนี้ ขึ้นจากราคาเดิมต้นปีที่ 318 บาทถึง 28% ทั้งที่ประเทศไทยสามารถขุดก๊าซได้เอง และในเดือนกันยายนนี้ ค่าไฟฟ้าก็จะขึ้นอีกอย่างน้อย หน่วยละ 40 สตางค์ หลังจากที่เพิ่งขึ้นราคาเป็นหน่วยละ 4 บาท เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สูงที่สุดในรอบ 28 ปี และน่าจะขึ้นอีก 0.75% ในเดือนหน้า เป็นไปตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเตือนถึงปัญหาดอกเบี้ยขาขึ้นไว้นานแล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่ และ อยากให้พลเอกประยุทธ์และธนาคารแห่งประเทศไทยได้จับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินมาตรการที่เหมาะสมที่จะประคองเศรษฐกิจไทยในภาวะผันผวนนี้ โดยคาดกันว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกถึง 1.75% เลยภายในปีนี้ ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของไทยที่กำลังย่ำแย่ การขึ้นดอกเบี้ยก็หนัก และการไม่ขึ้นดอกเบี้ยก็จะยิ่งหนัก ทั้งนี้เป็นผลมาจากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของพลเอกประยุทธ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
 
โดยล่าสุด International Institute for Management Development (IMD) สวิตเซอร์แลนด์ ได้จัดอันดับความสามารถแข่งขันของไทยลดลงถึง 5 อันดับ จากอันดับที่ 28 ลงไป อันดับที่ 33 จากการสำรวจ 63 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าทรุดลงหนักมาก โดยอันดับผลประกอบการทางเศรษฐกิจลดลงถึง 13 อันดับ อันดับประสิทธิภาพทางธุรกิจลดลงถึง 9 อันดับ และ อันดับประสิทธิภาพของรัฐบาลลดลงถึง 11 อันดับ แม้กระทั่งอันดับ โครงสร้างพื้นฐานของไทยที่แต่เดิมก็อยู่ในระดับที่ต่ำอยู่แล้วก็ยังลดลง แสดงถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจที่วัดโดย IMD ที่เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่พลเอกประยุทธ์เคยชื่นชมตอน IMD ปรับขึ้นแต่ตอนนี้ IMD ปรับลดลงหนักเลย ดังนั้นพลเอกประยุทธ์จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาความสามารถแข่งขันที่ลดลงนี้ ที่ทำให้ตรงข้ามกับที่พลเอกประยุทธ์แถลงนโยบายไว้เองในสภา
 
ทั้งนี้จากการสำรวจของ World Economic Forum (WEF) ที่ประเมินปัญหาความสามารถแข่งขันของประเทศไทยพบว่า ปัญหาหลักที่ความสามารถแข่งขันของประเทศไทยลดลงมากจาก 6 เรื่องสำคัญ และทางแก้ไขดังนี้
 
1. ความไม่มั่นคงของรัฐบาลและการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเป็นปัญหามาตลอด โดยการปฏิวัติครั้งหลังสุดคือเมื่อ 8 ปีที่แล้ว และ ผู้ทำการปฏิรูปยังคงปกครองประเทศอยู่เลย ทำให้ความมั่นใจและความเชื่อถือไม่มีเหลือ นอกจากนี้ความรู้ความสามารถของผู้ทำการปฏิวัติแล้วมาบริหารเองมีน้อยมาก ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วในปัจจุบัน แม้บริหารติดต่อกันมา 8 ปีแต่ประเทศกลับทรุดลง ไม่ได้ดีขึ้น ดังนั้นในอนาคตจะต้องไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารกันอึกต่อไปแล้ว
 
2.ระบบราชการที่ขาดประสิทธิภาพ ซึ่งปัญหานี้มีมาตลอด การแก้ไขคือต้องแก้ไขระบบราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการเปลี่ยนระบบรายกชการเป็นระบบดิจิตอล (Digital Transformation)
 
3.นโยบายไม่มั่นคง ทั้งนี้อาจจะเกิดมาจากการเปลี่ยนรัฐบาลและการปฏิวัติ ทั้งนี้ยังมีนโยบายที่ถูกยกเลิกหรือทำให้ช้าไปและเปลี่ยนไปเช่น การทำรถไฟความเร็วสูง การทำระบบจัดการน้ำ การแจกแทบเล็ตให้นักเรียน อีกทั้งยังมีการยกเลิกเหมืองทอง และ ยังมีการให้ที่ดินสำรวจเพื่อทำเหมืองทองเป็นหลายแสนไร่เพื่อหวังกลบคดีใช่หรือไม่ เป็นต้น
 
4.ขาดความสามารถเพียงพอในการคิดค้นพัฒนา ซึ่งเป็นปัญหาของประเทศไทยมาตลอด การปิดกั้นการแสดงออกทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ถูกปิดกั้นไปด้วย อีกทั้งประเทศไทยมีงบประมาณการวิจัยและคนคว้าต่ำ นอกจากนี้นักศึกษาของไทยจบทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมในสัดส่วนที่น้อยมาก ดังนั้นจึงต้องแก้ไขในเรื่องเหล่านี้
 
5.การทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเหมือนโรคร้ายกัดกินประเทศไทยมาโดยตลอด การจัดลำดับความโปร่งใส หรือ การทุจริตของไทย โดยองค์กรความโปร่งใสสากล (Transparency International) ที่เป็นองค์กรระหว่างประเทศ จัดลำดับการทุจริตของประเทศไทยต่ำลงมาตลอด 5 ปีติดต่อกัน จากอันดับที่ 96 ในปี 2560 มาเป็นอันดับที่ 110 ในปี 2564
 
6.แรงงานที่มีการศึกษาไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ระบบการศึกษาไทยไม่ตรงกับความต้องการของงานในโลกปัจจุบัน ซึ่งจะต้องปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ
 
นี่เป็น 6 ปัญหาที่วนเวียนในประเทศไทยมาตลอด 8 ปีแล้วแต่ไม่เคยได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง และปัญหาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่พลเอกประยุทธ์เปรียบเทียบตัวเองเป็นคอมพิวเตอร์ที่แฮงค์เพราะปัญหามาก ทั้งที่ความจริงพลเอกประยุทธ์เปรียบเหมือนเป็นคอมพิวเตอร์ที่ตกรุ่นแล้ว ไม่สามารถที่จะทำการคำนวณและแก้ไขปัญหาสมัยใหม่ได้แล้ว ปัจจุบันเข้าสู่ยุคควอนตัมแล้ว คอมพิวเตอร์ตกรุ่นก็คล้ายกับเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ขนาดจะทิ้งยังมีคนรังเกียจเลย จึงอยากบอกพลเอกประยุทธ์ได้เปรียบเทียบคอมพิวเตอร์ชื่อประยุทธ์กับคอมพิวเตอร์ที่ชื่อชัชชาติ หรือ คอมพิวเตอร์เพื่อไทยที่มองเห็นปัญหาล่วงหน้าและหาทางรับมือและแก้ไข ซึ่งคนไทยจะเห็นประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นคำตอบว่าทำไมคอมพิวเตอร์ประยุทธ์ถึงแฮงค์และตกรุ่นแล้วต้องรู้ตัวเองและต้องออกไปเพื่อเปลี่ยนเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ได้แล้ว
 
ขณะที่นายจักรพล กล่าวว่า สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นเรียกได้ว่า “รอดตายอย่างหวุดหวิด” เพราะการท่องเที่ยวไทยที่กำลังฟื้นตัว อีกทั้งข่าวลือของการมาเยือนของนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้การท่องเที่ยวไทยกลับมามีโอกาสและเหมือนมีแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามผลงานของรัฐบาลในอดีต เกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยกลับไม่ได้ช่วยภาคการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง เป็นเพียงละครที่เล่นเพื่อตบตาประชาชน และการผลาญงบประมาณอย่างสิ้นเปลือง เป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ไร้ประสิทธิภาพ เน้นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่าการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน
 
ในช่วงวิกฤตไวรัสโควิด – 19 ที่ผ่านมามาตรการของภาครัฐทำให้ผู้ประกอบกิจการทัวร์ต่างๆ ในประเทศไทย ต้องปิดตัวเป็นจำนวนมาก จากเดิมที่มีมากกว่า 10,000 บริษัท ปัจจุบันน่าจะเหลือไม่ถึง 7,000 บริษัท ตัวอย่างเช่น “โครงการไทยเที่ยวไทย” หรือ “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” ที่มองภายนอกอาจจะดูดีแต่กลายเป็นว่าเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวนั้นแทบจะไม่ตกถึงผู้ประกอบการรายย่อย และ SME ต่างๆ เลย เป็นลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา เพราะโครงการดังกล่าวนักท่องเที่ยวสามารถติดต่อกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้โดยตรง และถึงแม้จะมีคูปองเพื่อใช้เป็นส่วนลดในการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ แต่ระบบที่เข้าถึงยากทำให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะใช้บริการผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้าถึงได้มากกว่า
 
อีกทั้งกำแพงเงินกู้ที่สูงเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนดังกล่าวได้ โดยเฉพาะการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) แต่จากคำสัมภาษณ์ของผู้ช่วยประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและผู้เกี่ยวข้องท่านอื่น พบว่า “ไม่มีบริษัททัวร์ใดสามารถเข้าถึง เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ แม้แต่บริษัทเดียว” นั่นเป็นเพราะภายใต้ “มาตรการอันเข้มงวด” ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ต้องมีการยื่นหลักฐานมากมาย ในที่สุดผู้ประกอบการหลายรายก็หมดลมหายใจจากการท่องเที่ยวไทยและสร้างความสิ้นหวังให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก  ดังนั้น เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยเดินต่อไปได้ รัฐบาลควรฟังคำแนะนำของภาคเอกชน เช่น ขยายเวลาการเปิดให้การบริการของเศรษฐกิจภาคกลางคืน ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าทุกชนิดในช่วง 6 เดือนหลังทั้ง Tourist Visa และ Visa on Arrival เป็นต้น
 
ทั้งนี้ทางพรรคเพื่อไทยขอเสนอ “4 เส้นทาง…สู่ความยั่งยืนของการท่องเที่ยวไทย” ดังนี้
 
เส้นทางที่ 1 ถนนแห่งโอกาส เนื่องจากประเทศไทยเพิ่งมีการเปิดประเทศ เพื่อรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นคือ “สถานะทางการเงินของผู้ประกอบการ” รัฐควรออกมาตรการหรือนโยบายเพื่อลดต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งต้นทุนการผลิต ต้นทุนการบริการ รวมถึงภาษีต่างๆ ที่จะสร้างผลกระทบต่อผลประกอบการที่จะเกิดขึ้น เน้นการสร้างจุดขายแบบ A-Z และการท่องเที่ยวเทรนด์ใหม่นี้ต้องสู้ด้วย “สงครามคุณภาพ” หลีกเลี่ยง “สงครามราคา” ดังนั้นการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการพัฒนาคุณภาพการบริการและผลผลิตอื่นๆเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง รัฐฯห้ามมองข้ามสิ่งนี้อย่างเด็ดขาด!
 
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการต้องเจอกับคลื่นน้ำลูกใหญ่คือ “เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1%” และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะสินค้าจำพวกไฟฟ้า เชื้อเพลิงและน้ำประปาที่ปรับตัวสูงถึง 32.56% รองลงมาคือ ยานพาหนะน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.43% ซึ่งจากการศึกษาและวิเคราะห์ความสามารถของรัฐบาลแล้วพบว่า รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมอย่างแน่นอน
 
เส้นทางที่ 2 ถนนแห่งส่งออก Soft power เพื่อไทยเน้นมาตลอดในเรื่องของ Soft power ผ่านการดึงศักยภาพคนไทยสร้าง Soft power 1 คน ต่อ 1 ครอบครัว เพื่อนำมาพัฒนาศักยภาพทั้งระดับท้องถิ่น เพราะเทรนด์โลกสมัยใหม่คือการต่อสู้ด้วยอำนาจวัฒนธรรม Soft power นอกจากนี้พลังดังกล่าวต้องนำมาปรับใช้ในระดับประเทศเพื่อส่งออก Soft power ไทยสู่สายตาคนทั่วโลก สร้างการตลาดใหม่โดยเน้นขายความจริงและคุณภาพของการท่องเที่ยวไทย ทั้งอาการการกิน ธรรมชาติ ผลงานของศิลปิน วัฒนธรรมและอื่นๆอีกมากมาย เน้นใช้ของที่มีอยู่ให้ยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุด
 
เส้นทางที่ 3 ถนนแห่งทรัพยากร ประเทศไทยมีทรัพยากรหลากหลายให้เลือกใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและคน ไม่ว่าจะเป็น 

(1) ทรัพยากรธรรมชาติ โดยมุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ลดการใช้พลังงาน กิจกรรมทดแทนการปล่อยมลพิษ เป็นต้น 

(2) ทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการศึกษาที่จะปูทางไปสู่การสร้างอาชีพในอนาคต ซึ่งการบริการการท่องเที่ยวก็เป็น 1 ในสนามรบทางเศรษฐกิจที่เป็นที่นิยมอย่างแน่นอน 

(3) ทรัพยากรวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม นอกจากเรื่องการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์แล้วยังจำเป็นต้องมีเรื่องของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และเตรียมพร้อมให้คนไทยเข้าสู่ยุค Metaverse โลกเสมือนจริง จะนำโลกที่เป็นจริงหรือสกุลเงินดิจิทัล รวมถึง Games และ E-Sports พัฒนาทักษะเยาวชน และพร้อมใช้ Soft power เพื่อสร้างมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งทรัพยากรทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่ต้องคอยสนับสนุนและผลักดันเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนในอนาคตและคนรุ่นหลัง โดยเน้นหลักความยั่งยืนในการบริหารจัดการ
 
เส้นทางที่ 4 New Hope’s road นอกจากประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมสำหรับเทรนด์การท่องเที่ยวแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Medical & Beauty tourism , Medical & Wellness tourism , Green tourism แล้ว จำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวแบบแปลกใหม่ที่สร้างประสบการณ์ที่ดีต่อนักท่องเที่ยว รวมถึงการท่องเที่ยวตามแนวระเบียงเศรษฐกิจต่างๆ ผ่านยกระดับระเบียงเศรษฐกิจของไทยทั้ง 5 แห่ง, พัฒนาเส้นทางการคมนาคมใน GMS Economic Corridors และแนวเศรษฐกิจอื่นๆ ผ่านการใช้งบประมาณที่คุ้มค้า ซึ่งนำไปสู่รายได้ในพื้นที่ขั้นต่ำ 23 ล้านล้านบาท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่