อดีตขุนคลัง ยุคประยุทธ์ เขียนแนะรัฐบาล อย่าบริหารนํ้ามันแบบตาสีตาสา
https://www.matichon.co.th/region/news_3402772
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน นาย
สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยรัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โพสต์ข้อเขียน เรื่อง
“อย่าบริหารนํ้ามันแบบตาสีตาสา” ผ่านเฟซบุ๊กส่นตัว โดยมีรายละเอียดดังนี้
“โลกทุกวันนี้มีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวายเป็นอย่างมาก คนที่พอมีอะไรจะทํามาหากินได้ก็ปั่นป่วนด้วยราคานํ้ามันแพง นักธุรกิจน้อยใหญ่ก็ปั่นป่วนด้วยอัตราดอกเบี้ยที่กําลังปรับตัวสูงขึ้น ทําให้หาเงินกู้ไม่ค่อยจะได้อย่างแต่ก่อน ส่วนชาวบ้านตาดําๆ ที่แทบจะหาอาชีพทํามาหากินไม่ได้ก็ปั่นป่วนด้วยข้าวของที่จําเป็นขึ้นราคาเป็นรายวันแทบทุกรายการ
แล้วรัฐบาลไทยตอนนี้ปั่นป่วนหรือเปล่า ก็ตอบได้คําเดียวว่า ทั้งง่อนแง่นและปั่นป่วน อย่างที่เห็นกันมานานแล้วว่าเสถียรภาพของความเป็นรัฐบาลนั้นสั่นคลอนจนไม่ได้มีเวลาจะคิดอะไรออกมาแล้ว ยิ่งตอนนี้วงการเมืองปริแตกจนเห็นกันชัดเจน ที่นักการเมืองบางท่านกล่าวว่าหากล้วยมาแจกไม่ค่อยจะทัน อยู่แล้วมันจะไม่ง่อนแง่นได้อย่างไร
จากสงครามการค้าโลก ผ่านโควิด-19 จนถึงวิกฤตนํ้ามันโลก
ในที่นี้จะไม่พูดเรื่องการเมือง จะขอวิจารณ์ในเรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวครับ ปกติแค่เกิดความตึงเครียดหนักๆ อย่างเช่น สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐ ประเทศต่างๆก็ถูกกระทบทางด้านเศรษฐกิจอย่างหนักหนากันอยู่แล้ว มาปัจจุบันนี้เกิดสงครามจริงๆที่ยืดเยื้อ
ระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่มีกลุ่มนาโต้ที่นําโดยประเทศสหรัฐอเมริกาสนับสนุน ก็ยิ่งเพิ่มผลกระทบด้านเศรษฐกิจให้แก่ประเทศต่างๆทั่วโลกเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทําสงครามด้วยการเล่นเกมส์นํ้ามันและก๊าซซึ่งเป็นสินค้าหลักของโลก
ประเทศไทยนั้นโดนผลกระทบจากภายนอกมาตลอดถึง 4 ปีแล้ว ก่อนโควิด-19 ก็กระทบเต็มๆจากสงครามการค้าโลกระหว่างจีนกับสหรัฐที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี2562 ได้ก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนักโดยเฉพาะการส่งออก 6 เดือนแรกของปี2562 มีเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้นที่เป็นบวก ที่เหลือติดลบทุกเดือนเป็นผลให้ทั้งปี2562 มูลค่าการส่งออกของไทยหดตัวติดลบ 3.3 % และปี2563 ติดลบหนักขึ้นเป็น 6%
เคราะห์กรรมจากสงครามการค้าโลกยังไม่จางหาย ในปี2563 ไทยก็โดนถล่มด้วยการระบาดของโรคร้ายโควิด-19 ที่ได้เริ่มเกิดจากเมืองอู่ฮั่นของจีนตั้งแต่ปลายปี2562 ทําให้ธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกทุกด้านหยุดชะงัก ไทยซึ่งพึ่งการท่องเที่ยวเป็นหลักจึงกระอักกว่าชาติใดอื่นถึงสองปีเต็ม คือ ทั้งปี2563 และปี2564 ทําให้GDP ติดลบ 6.1 % ในปี2563 และบวก 1.5 % ในปี2564 รัฐบาลต้องจัดเงินงบประมาณซึ่งต้องกู้พิเศษจากการออก พ.ร.ก. ถึง 2 ครั้ง จํานวน 1.5 ล้านล้านบาทไปเยียวยา เพิ่มสวัสดิการคนจน
แถมด้วยการจัดเงินอัดใส่โครงการเราเที่ยวด้วยกันถึง 4 ครั้ง จนกําลังจะเกิดวิกฤตการคลังของประเทศ
ตามมาอีกเรื่อง
ในปี2565 นี้ไตรมาสแรกทําท่าว่า การระบาดของโรคร้ายจะหมดไปจริง มีการเตรียมเปิดประเทศอย่างคึกคัก แต่หลังขึ้นปีใหม่ไม่ถึง 2 เดือน ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์สงครามยูเครนกับรัสเซียก็ปะทุขึ้น
แล้วก็ตามมาด้วยนํ้ามันราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเท่าตัว จนกลายเป็นวิกฤตนํ้ามันทําให้รัฐบาลตั้งตัวไม่ติดอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ตัวที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆหนักก็คือการที่ราคานํ้ามันและก๊าซในขณะนี้สูงขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับระยะไม่ถึงปีที่ผ่านมา จนทําให้เกิดภาวะเงินเฟ้อออย่างหนักทั่วโลก ส่วนตัวที่ส่งผลกระทบรองลงมา คือ การปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดหรือธนาคารกลางของสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้
ประเทศต่างๆทั่วโลกต้องปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นตาม จริงๆแล้วแม้แบงค์ชาติของเรายังไม่ปรับดอกเบี้ยทางการของไทย แต่ในตลาดการเงินขณะนี้อัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเงินระดับเงินก้อนใหญ่ๆก็ได้ถูกปรับสูง ตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ของเงินดอลลาร์สหรัฐกันแล้ว แม้ว่าท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาพูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า ของไทยจะไม่มีการปรับมากเหมือนการเหยียบเบรกโดยทันทีแต่จะค่อยๆทําไปเหมือนค่อยๆผ่อนคันเร่ง
จะอย่างไรก็ตาม ก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายเข้าใจเถอะว่า ดอกเบี้ยทางการของไทยเราจะอยู่แบบนี้ไปไม่กี่วันหรอก ในที่สุดก็ต้องสะดุดเหมือนการเหยียบเบรคนั่นแหละ ขืนปล่อยให้ช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐถ่างออกมาก เงินทุนสํารองของไทยที่สูงอันดับ 14 ของโลกก็ต้องแฟบลงแน่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้ราคาสินค้าต้องแพงขึ้นเช่นกัน
ใครก็รู้ดีว่า ปัจจัยการผลิตที่จะก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจครบเครื่องทุกด้านนั้น ไม่มีอะไรจะรุนแรงกว่านํ้ามัน ซึ่งตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่ารัฐบาลจะใช้นโยบายค่อยๆปรับราคานํ้ามัน โดยจะไม่ทําแบบฮวบฮาบ โดยอ้างเหตุผลว่ากองทุนนํ้ามันหมดจนติดลบแล้ว และไม่ใช่หมดอย่างเดียวแต่ ณ วันที่ 12 มิถุนายนนี้ได้ติดลบไปถึง 91,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการแถลงข่าวออกมา โดยนายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง
ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่าแล้วกองทุนนํ้ามันเอาเงินที่ไหนมาจ่ายอุดหนุนในเมื่อมีข่าวว่าธนาคารพาณิชย์ในประเทศของไทยปฏิเสธไม่ยอมให้เงินกู้แก่กองทุนนํ้ามัน ซึ่งตามข้อเท็จจริงกองทุนนํ้ามันตอนนี้ต้องกู้เอง แต่มีกฎหมายห้ามไม่ให้รัฐบาลคํ้าประกันเงินกู้ของกองทุนนํ้ามัน ธนาคารต่างๆจึงไม่ยอมให้กู้คําตอบที่พอหาได้ตอนนี้ก็คือมีการขอร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการค้านํ้ามันช่วยเหลือรัฐบาลหรือก็คือกองทุนนํ้ามันแบบลงบัญชีไว้หรือแปะโป้งกันไว้ก่อนนั่นเอง
ผมไม่อยากกล่าวคําใดๆ แทนผู้เป็น เจ้าหนี้ที่เป็นเอกชนว่า เขาเข็ดขยาดกับการให้เครดิตแก่รัฐบาลนี้เต็มทีแล้ว สิ่งที่รับปากเรื่องเงินๆทองๆกับภาคเอกชนในช่วง 6 – 7 ปีที่ผ่านมามันมีอาการแห้วให้เห็นหลายเรื่องแล้วครับ
เป็นที่ค่อนข้างชัดเจนว่ารัฐบาลนี้จะแก้ไขปัญหาราคานํ้ามันแพงด้วยวิธีค่อยๆปรับขึ้นราคา แล้วก็เข้าไปให้เงินอุดหนุนแก่การประกอบการภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับคนจนหรือคนชั้นกลาง เช่น จะช่วยอุดหนุนแก่วินมอเตอร์ไซค์รถประจําทาง และการขนส่งสินค้าบางประเภท เป็นต้น ซึ่งวิธีการแก้ไขแบบนี้
แท้ที่จริงแล้วเป็นการสร้างสาเหตุให้ผู้ประกอบการใช้เป็นข้ออ้างอิงในการปรับขึ้นราคาสินค้าได้มากครั้งขึ้นเช่นเดียวกับการออกข่าวของภาครัฐที่บอกว่าจะเล็งให้ปรับขึ้นราคานํ้ามันแค่นั้นแค่นี้ก็จะยิ่งเป็นข้อหนุนนําให้ผู้ประกอบการปรับราคาสินค้ากันได้บ่อยครั้งขึ้นเหมือนกัน
การแก้ปัญหาราคานํ้ามันต้องทําอย่างสุดรอบคอบ
อยากจะแนะให้รัฐบาลนี้ไปศึกษาดูการแก้ปัญหาวิกฤตนํ้ามันในสมัยรัฐบาลป๋าเปรมเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว สมัยนั้นรัฐบาลต้องเผชิญทั้งนํ้ามันขึ้นราคาและไทยไม่มีเงินตราต่างประเทศมากพอที่จะใช้ชําระค่านํ้ามันนําเข้าจากต่างประเทศ แต่ท้ายที่สุดท่านก็แก้ปัญหาได้โดยไม่ทําให้ผู้คนเดือดร้อนเหมือน
ตอนนี้การตั้งกองทุนนํ้ามันไว้เป็นตัวกันผลกระทบต่อประชาชนก็เกิดขึ้นตอนนั้น แล้วมาถึงรัฐบาลนี้จะปล่อยให้แผงกันชนนี้พังพินาศลงไปหรือไง
ถามว่าทําไมรัฐบาลไม่ลองใช้วิสัยทัศน์คิดต่างบ้างหรือ เช่นว่า ณ จุดนี้หรือจุดใดที่เหมาะสม เช่น เอาจุดที่ดีเซลปรับแค่เพดานขณะนี้ลิตรละ 35 บาท และตรึงราคานํ้ามันทุกอย่างตามราคาที่เหมาะสม แล้วประกาศว่าไว้อีก 6 เดือนข้างหน้าค่อยว่ากัน อย่างนี้การขึ้นราคาของสินค้าก็จะหยุดแน่นอน
แต่รัฐบาลที่เป็นงานไม่ควรคิดสั้นๆเพียงแค่นี้การที่สหรัฐอเมริกาออกหน้าออกตาสนับสนุนสงครามครั้งนี้เขารู้ดีว่าเขามีแต่ได้อย่างน้อย 3 ประการ คือ ได้ขายพลังงานที่เขามีอยู่มากในราคาแพง ได้ขายอาวุธสงครามที่เขาเป็นผู้ผลิตหลักมากขึ้น และได้ให้กู้เงินดอลลาร์ในราคา (ดอกเบี้ย) ที่สูงขึ้น
ซึ่งการขายเงินนี้แปลกกว่าสินค้าอื่น คือ เงินที่ได้ให้กู้ไปแล้วยังสามารถปรับดอกเบี้ยให้สูงตามอัตราใหม่ได้ด้วย สงครามคราวนี้สหรัฐจึงสามารถดูดทรัพยากรจากทั่วโลกเข้าประเทศได้บานเบอะทีเดียว
ดังนั้น การแก้วิกฤตนํ้ามันครั้งนี้คนที่เป็นรัฐบาลจําต้องคิดให้รอบคอบ ประการแรกต้อง ประเมินให้ได้ว่า ในระยะปานกลาง คือ 5 – 6 ปีต่อจากนี้ราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยควรอยู่ระดับใด ควรเป็น 70 – 80 เหรียญต่อบาร์เรลได้ไหม หากมั่นใจในราคาที่จะเป็นในระยะกลางแล้ว ก็ควรรักษา
ให้ราคาขายของนํ้ามันในประเทศได้รับการประคับประคองด้วยกองทุนนํ้ามันให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกันตั้งแต่ตอนนี้อย่าไปเอาสภาพคล่องของกองทุนนํ้ามันมาเป็นตัวตั้ง
ทีนี้ก็ต้องมีคําตอบว่า จะหาเงินจากไหนมาใส่ในกองทุนนํ้ามัน
คําตอบมีทางเดียวก็คือ กองทุนต้องกู้เงินจากธนาคารในวงเงินที่น่าจะพอ เช่น 120,000 ล้านบาท ก็ไม่มากแค่ประมาณ 3.8 % ของงบประมาณรายจ่ายปีนี้เท่านั้นเอง บริษัท Top 10 ของไทยเขากู้ในวงเงินแค่นี้กันได้สบาย แล้วรัฐบาลจะกู้ไม่ได้หรือ ถ้าแบงค์เอกชนไม่ให้ก็กู้จากแบงค์รัฐทั้งหมดมากบ้างน้อยบ้าง เพราะเป็นการกู้มาเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั้งประเทศในยามวิกฤต อีกไม่นานเมื่อพ้นวิกฤตก็เริ่มทยอยใช้หนี้คืนได้
ถ้าแบงค์รัฐไม่ยอมเชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ควรเปลี่ยนคณะกรรมการธนาคารทั้งชุดเสียเลย แค่นี้พอจะทําได้ไหมครับ”
https://www.facebook.com/SommaiPhasee/posts/pfbid02vtfZuyWm3C3SPd9oPcYDPrxarqaHQNSQsUQoUXnFwLkQjq7RxrEG43sFjxLPEUrzl
อุ๊งอิ๊ง นำทัพบุกศรีสะเกษ ไล่หนู ตีงูเห่า ลั่นไม่มีซูเอี๋ยรัฐบาล พร้อมตีตายกลางสภา
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7113386
เพื่อไทยประกาศ ไล่หนู ตีงูเห่า ศรีสะเกษ 18 มิ.ย. ลั่นซักฟอกไม่มีซูเอี๋ยรัฐบาล โวพร้อมตีให้ตายกลางสภา จัดส.ส.ฝีปากกล้า 20คน รอถลกรมต.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 มิ.ย.2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นาย
ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรค แถลงถึงการลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ของพรรคในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ภายใต้ยุทธการ
“ไล่หนู ตีงูเห่า” ว่า น.ส.
แพทองธาน ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และนาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย จะไปร่วมกิจกรรม พร้อมกับพวกตน นาย
ประเสริฐ นาย
สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค รวมถีงคณะกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง ก็จะไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย
นพ.
ชลน่าน กล่าวว่า จะเป็นการเดินหน้า 2 ขาคู่ขนานในการพูดคุยกับประชาชน 3 จุดใหญ่ คือ อ.อุทุมพรพิสัย อ.ราษีไศล อ.ขุนหาญ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง มาสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวเพื่อไทย และเพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนนำมาสู่การแก้ไข
ทั้งนี้ จ.ศรีสะเกษเป็นจังหวัดที่เรามีส.ส.จำนวนมาก โดยส.ส.ของจังหวัดมีทั้งสิ้น 7 เสียง เรามีถึง 5 เสียง ถือเป็นพื้นที่สำคัญของพรรค แต่เมื่อมีงูเห่าตามที่สื่อมวลชนเรียกกัน และมีหนูยุคใหม่มากินงูเห่าของเรา จึงจำเป็นต้องทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อสื่อสารว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ใครไปแอบอ้างเอาอำนาจอธิปไตยของประชาชนไป ถือเป็นการทำลายล้างระบบประชาธิปไตย
JJNY : อดีตขุนคลังยุคประยุทธ์แนะรบ.│อุ๊งอิ๊ง นำทัพบุกศรีสะเกษ│ออสเตรเลียเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ│ยูเครนเมินเส้นตายรัสเซีย
https://www.matichon.co.th/region/news_3402772
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน นายสมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โพสต์ข้อเขียน เรื่อง “อย่าบริหารนํ้ามันแบบตาสีตาสา” ผ่านเฟซบุ๊กส่นตัว โดยมีรายละเอียดดังนี้
“โลกทุกวันนี้มีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวายเป็นอย่างมาก คนที่พอมีอะไรจะทํามาหากินได้ก็ปั่นป่วนด้วยราคานํ้ามันแพง นักธุรกิจน้อยใหญ่ก็ปั่นป่วนด้วยอัตราดอกเบี้ยที่กําลังปรับตัวสูงขึ้น ทําให้หาเงินกู้ไม่ค่อยจะได้อย่างแต่ก่อน ส่วนชาวบ้านตาดําๆ ที่แทบจะหาอาชีพทํามาหากินไม่ได้ก็ปั่นป่วนด้วยข้าวของที่จําเป็นขึ้นราคาเป็นรายวันแทบทุกรายการ
แล้วรัฐบาลไทยตอนนี้ปั่นป่วนหรือเปล่า ก็ตอบได้คําเดียวว่า ทั้งง่อนแง่นและปั่นป่วน อย่างที่เห็นกันมานานแล้วว่าเสถียรภาพของความเป็นรัฐบาลนั้นสั่นคลอนจนไม่ได้มีเวลาจะคิดอะไรออกมาแล้ว ยิ่งตอนนี้วงการเมืองปริแตกจนเห็นกันชัดเจน ที่นักการเมืองบางท่านกล่าวว่าหากล้วยมาแจกไม่ค่อยจะทัน อยู่แล้วมันจะไม่ง่อนแง่นได้อย่างไร
จากสงครามการค้าโลก ผ่านโควิด-19 จนถึงวิกฤตนํ้ามันโลก
ในที่นี้จะไม่พูดเรื่องการเมือง จะขอวิจารณ์ในเรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวครับ ปกติแค่เกิดความตึงเครียดหนักๆ อย่างเช่น สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐ ประเทศต่างๆก็ถูกกระทบทางด้านเศรษฐกิจอย่างหนักหนากันอยู่แล้ว มาปัจจุบันนี้เกิดสงครามจริงๆที่ยืดเยื้อ
ระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่มีกลุ่มนาโต้ที่นําโดยประเทศสหรัฐอเมริกาสนับสนุน ก็ยิ่งเพิ่มผลกระทบด้านเศรษฐกิจให้แก่ประเทศต่างๆทั่วโลกเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทําสงครามด้วยการเล่นเกมส์นํ้ามันและก๊าซซึ่งเป็นสินค้าหลักของโลก
ประเทศไทยนั้นโดนผลกระทบจากภายนอกมาตลอดถึง 4 ปีแล้ว ก่อนโควิด-19 ก็กระทบเต็มๆจากสงครามการค้าโลกระหว่างจีนกับสหรัฐที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี2562 ได้ก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนักโดยเฉพาะการส่งออก 6 เดือนแรกของปี2562 มีเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้นที่เป็นบวก ที่เหลือติดลบทุกเดือนเป็นผลให้ทั้งปี2562 มูลค่าการส่งออกของไทยหดตัวติดลบ 3.3 % และปี2563 ติดลบหนักขึ้นเป็น 6%
เคราะห์กรรมจากสงครามการค้าโลกยังไม่จางหาย ในปี2563 ไทยก็โดนถล่มด้วยการระบาดของโรคร้ายโควิด-19 ที่ได้เริ่มเกิดจากเมืองอู่ฮั่นของจีนตั้งแต่ปลายปี2562 ทําให้ธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกทุกด้านหยุดชะงัก ไทยซึ่งพึ่งการท่องเที่ยวเป็นหลักจึงกระอักกว่าชาติใดอื่นถึงสองปีเต็ม คือ ทั้งปี2563 และปี2564 ทําให้GDP ติดลบ 6.1 % ในปี2563 และบวก 1.5 % ในปี2564 รัฐบาลต้องจัดเงินงบประมาณซึ่งต้องกู้พิเศษจากการออก พ.ร.ก. ถึง 2 ครั้ง จํานวน 1.5 ล้านล้านบาทไปเยียวยา เพิ่มสวัสดิการคนจน
แถมด้วยการจัดเงินอัดใส่โครงการเราเที่ยวด้วยกันถึง 4 ครั้ง จนกําลังจะเกิดวิกฤตการคลังของประเทศ
ตามมาอีกเรื่อง
ในปี2565 นี้ไตรมาสแรกทําท่าว่า การระบาดของโรคร้ายจะหมดไปจริง มีการเตรียมเปิดประเทศอย่างคึกคัก แต่หลังขึ้นปีใหม่ไม่ถึง 2 เดือน ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์สงครามยูเครนกับรัสเซียก็ปะทุขึ้น
แล้วก็ตามมาด้วยนํ้ามันราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเท่าตัว จนกลายเป็นวิกฤตนํ้ามันทําให้รัฐบาลตั้งตัวไม่ติดอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ตัวที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆหนักก็คือการที่ราคานํ้ามันและก๊าซในขณะนี้สูงขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับระยะไม่ถึงปีที่ผ่านมา จนทําให้เกิดภาวะเงินเฟ้อออย่างหนักทั่วโลก ส่วนตัวที่ส่งผลกระทบรองลงมา คือ การปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดหรือธนาคารกลางของสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้
ประเทศต่างๆทั่วโลกต้องปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นตาม จริงๆแล้วแม้แบงค์ชาติของเรายังไม่ปรับดอกเบี้ยทางการของไทย แต่ในตลาดการเงินขณะนี้อัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเงินระดับเงินก้อนใหญ่ๆก็ได้ถูกปรับสูง ตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ของเงินดอลลาร์สหรัฐกันแล้ว แม้ว่าท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาพูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า ของไทยจะไม่มีการปรับมากเหมือนการเหยียบเบรกโดยทันทีแต่จะค่อยๆทําไปเหมือนค่อยๆผ่อนคันเร่ง
จะอย่างไรก็ตาม ก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายเข้าใจเถอะว่า ดอกเบี้ยทางการของไทยเราจะอยู่แบบนี้ไปไม่กี่วันหรอก ในที่สุดก็ต้องสะดุดเหมือนการเหยียบเบรคนั่นแหละ ขืนปล่อยให้ช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐถ่างออกมาก เงินทุนสํารองของไทยที่สูงอันดับ 14 ของโลกก็ต้องแฟบลงแน่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้ราคาสินค้าต้องแพงขึ้นเช่นกัน
ใครก็รู้ดีว่า ปัจจัยการผลิตที่จะก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจครบเครื่องทุกด้านนั้น ไม่มีอะไรจะรุนแรงกว่านํ้ามัน ซึ่งตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่ารัฐบาลจะใช้นโยบายค่อยๆปรับราคานํ้ามัน โดยจะไม่ทําแบบฮวบฮาบ โดยอ้างเหตุผลว่ากองทุนนํ้ามันหมดจนติดลบแล้ว และไม่ใช่หมดอย่างเดียวแต่ ณ วันที่ 12 มิถุนายนนี้ได้ติดลบไปถึง 91,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการแถลงข่าวออกมา โดยนายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง
ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่าแล้วกองทุนนํ้ามันเอาเงินที่ไหนมาจ่ายอุดหนุนในเมื่อมีข่าวว่าธนาคารพาณิชย์ในประเทศของไทยปฏิเสธไม่ยอมให้เงินกู้แก่กองทุนนํ้ามัน ซึ่งตามข้อเท็จจริงกองทุนนํ้ามันตอนนี้ต้องกู้เอง แต่มีกฎหมายห้ามไม่ให้รัฐบาลคํ้าประกันเงินกู้ของกองทุนนํ้ามัน ธนาคารต่างๆจึงไม่ยอมให้กู้คําตอบที่พอหาได้ตอนนี้ก็คือมีการขอร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการค้านํ้ามันช่วยเหลือรัฐบาลหรือก็คือกองทุนนํ้ามันแบบลงบัญชีไว้หรือแปะโป้งกันไว้ก่อนนั่นเอง
ผมไม่อยากกล่าวคําใดๆ แทนผู้เป็น เจ้าหนี้ที่เป็นเอกชนว่า เขาเข็ดขยาดกับการให้เครดิตแก่รัฐบาลนี้เต็มทีแล้ว สิ่งที่รับปากเรื่องเงินๆทองๆกับภาคเอกชนในช่วง 6 – 7 ปีที่ผ่านมามันมีอาการแห้วให้เห็นหลายเรื่องแล้วครับ
เป็นที่ค่อนข้างชัดเจนว่ารัฐบาลนี้จะแก้ไขปัญหาราคานํ้ามันแพงด้วยวิธีค่อยๆปรับขึ้นราคา แล้วก็เข้าไปให้เงินอุดหนุนแก่การประกอบการภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับคนจนหรือคนชั้นกลาง เช่น จะช่วยอุดหนุนแก่วินมอเตอร์ไซค์รถประจําทาง และการขนส่งสินค้าบางประเภท เป็นต้น ซึ่งวิธีการแก้ไขแบบนี้
แท้ที่จริงแล้วเป็นการสร้างสาเหตุให้ผู้ประกอบการใช้เป็นข้ออ้างอิงในการปรับขึ้นราคาสินค้าได้มากครั้งขึ้นเช่นเดียวกับการออกข่าวของภาครัฐที่บอกว่าจะเล็งให้ปรับขึ้นราคานํ้ามันแค่นั้นแค่นี้ก็จะยิ่งเป็นข้อหนุนนําให้ผู้ประกอบการปรับราคาสินค้ากันได้บ่อยครั้งขึ้นเหมือนกัน
การแก้ปัญหาราคานํ้ามันต้องทําอย่างสุดรอบคอบ
อยากจะแนะให้รัฐบาลนี้ไปศึกษาดูการแก้ปัญหาวิกฤตนํ้ามันในสมัยรัฐบาลป๋าเปรมเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว สมัยนั้นรัฐบาลต้องเผชิญทั้งนํ้ามันขึ้นราคาและไทยไม่มีเงินตราต่างประเทศมากพอที่จะใช้ชําระค่านํ้ามันนําเข้าจากต่างประเทศ แต่ท้ายที่สุดท่านก็แก้ปัญหาได้โดยไม่ทําให้ผู้คนเดือดร้อนเหมือน
ตอนนี้การตั้งกองทุนนํ้ามันไว้เป็นตัวกันผลกระทบต่อประชาชนก็เกิดขึ้นตอนนั้น แล้วมาถึงรัฐบาลนี้จะปล่อยให้แผงกันชนนี้พังพินาศลงไปหรือไง
ถามว่าทําไมรัฐบาลไม่ลองใช้วิสัยทัศน์คิดต่างบ้างหรือ เช่นว่า ณ จุดนี้หรือจุดใดที่เหมาะสม เช่น เอาจุดที่ดีเซลปรับแค่เพดานขณะนี้ลิตรละ 35 บาท และตรึงราคานํ้ามันทุกอย่างตามราคาที่เหมาะสม แล้วประกาศว่าไว้อีก 6 เดือนข้างหน้าค่อยว่ากัน อย่างนี้การขึ้นราคาของสินค้าก็จะหยุดแน่นอน
แต่รัฐบาลที่เป็นงานไม่ควรคิดสั้นๆเพียงแค่นี้การที่สหรัฐอเมริกาออกหน้าออกตาสนับสนุนสงครามครั้งนี้เขารู้ดีว่าเขามีแต่ได้อย่างน้อย 3 ประการ คือ ได้ขายพลังงานที่เขามีอยู่มากในราคาแพง ได้ขายอาวุธสงครามที่เขาเป็นผู้ผลิตหลักมากขึ้น และได้ให้กู้เงินดอลลาร์ในราคา (ดอกเบี้ย) ที่สูงขึ้น
ซึ่งการขายเงินนี้แปลกกว่าสินค้าอื่น คือ เงินที่ได้ให้กู้ไปแล้วยังสามารถปรับดอกเบี้ยให้สูงตามอัตราใหม่ได้ด้วย สงครามคราวนี้สหรัฐจึงสามารถดูดทรัพยากรจากทั่วโลกเข้าประเทศได้บานเบอะทีเดียว
ดังนั้น การแก้วิกฤตนํ้ามันครั้งนี้คนที่เป็นรัฐบาลจําต้องคิดให้รอบคอบ ประการแรกต้อง ประเมินให้ได้ว่า ในระยะปานกลาง คือ 5 – 6 ปีต่อจากนี้ราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยควรอยู่ระดับใด ควรเป็น 70 – 80 เหรียญต่อบาร์เรลได้ไหม หากมั่นใจในราคาที่จะเป็นในระยะกลางแล้ว ก็ควรรักษา
ให้ราคาขายของนํ้ามันในประเทศได้รับการประคับประคองด้วยกองทุนนํ้ามันให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกันตั้งแต่ตอนนี้อย่าไปเอาสภาพคล่องของกองทุนนํ้ามันมาเป็นตัวตั้ง
ทีนี้ก็ต้องมีคําตอบว่า จะหาเงินจากไหนมาใส่ในกองทุนนํ้ามัน
คําตอบมีทางเดียวก็คือ กองทุนต้องกู้เงินจากธนาคารในวงเงินที่น่าจะพอ เช่น 120,000 ล้านบาท ก็ไม่มากแค่ประมาณ 3.8 % ของงบประมาณรายจ่ายปีนี้เท่านั้นเอง บริษัท Top 10 ของไทยเขากู้ในวงเงินแค่นี้กันได้สบาย แล้วรัฐบาลจะกู้ไม่ได้หรือ ถ้าแบงค์เอกชนไม่ให้ก็กู้จากแบงค์รัฐทั้งหมดมากบ้างน้อยบ้าง เพราะเป็นการกู้มาเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั้งประเทศในยามวิกฤต อีกไม่นานเมื่อพ้นวิกฤตก็เริ่มทยอยใช้หนี้คืนได้
ถ้าแบงค์รัฐไม่ยอมเชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ควรเปลี่ยนคณะกรรมการธนาคารทั้งชุดเสียเลย แค่นี้พอจะทําได้ไหมครับ”
https://www.facebook.com/SommaiPhasee/posts/pfbid02vtfZuyWm3C3SPd9oPcYDPrxarqaHQNSQsUQoUXnFwLkQjq7RxrEG43sFjxLPEUrzl
อุ๊งอิ๊ง นำทัพบุกศรีสะเกษ ไล่หนู ตีงูเห่า ลั่นไม่มีซูเอี๋ยรัฐบาล พร้อมตีตายกลางสภา
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7113386
เพื่อไทยประกาศ ไล่หนู ตีงูเห่า ศรีสะเกษ 18 มิ.ย. ลั่นซักฟอกไม่มีซูเอี๋ยรัฐบาล โวพร้อมตีให้ตายกลางสภา จัดส.ส.ฝีปากกล้า 20คน รอถลกรมต.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 มิ.ย.2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรค แถลงถึงการลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ของพรรคในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ภายใต้ยุทธการ “ไล่หนู ตีงูเห่า” ว่า น.ส.แพทองธาน ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย จะไปร่วมกิจกรรม พร้อมกับพวกตน นายประเสริฐ นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค รวมถีงคณะกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง ก็จะไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จะเป็นการเดินหน้า 2 ขาคู่ขนานในการพูดคุยกับประชาชน 3 จุดใหญ่ คือ อ.อุทุมพรพิสัย อ.ราษีไศล อ.ขุนหาญ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง มาสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวเพื่อไทย และเพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนนำมาสู่การแก้ไข
ทั้งนี้ จ.ศรีสะเกษเป็นจังหวัดที่เรามีส.ส.จำนวนมาก โดยส.ส.ของจังหวัดมีทั้งสิ้น 7 เสียง เรามีถึง 5 เสียง ถือเป็นพื้นที่สำคัญของพรรค แต่เมื่อมีงูเห่าตามที่สื่อมวลชนเรียกกัน และมีหนูยุคใหม่มากินงูเห่าของเรา จึงจำเป็นต้องทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อสื่อสารว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ใครไปแอบอ้างเอาอำนาจอธิปไตยของประชาชนไป ถือเป็นการทำลายล้างระบบประชาธิปไตย