.
…สวัสดีครับผมชื่อพัฒน์พงษ์ เป็นคนจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ปัจจุบันตัวผมอาศัยและทำงานที่กรุงเทพครับ วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวที่ผมได้ประสบพบเจอมาเมื่อหลายปีก่อนให้ทุกคนได้ฟังครับ เรื่องนี้ผมขอตั้งชื่อว่า เรื่องเล่าตาพรครับ…
พัฒน์พงษ์กำลังเขียนถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ ที่ตนเองได้เจอมาอย่างตั้งใจ เพื่อส่งไปให้รายการหลอนช่องหนึ่งเล่าเรื่องและทำเป็นอนิเมชั่น ซึ่งตนเองนั้นชอบฟังมากเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว จึงอยากแชร์ประสบการณ์ของตนเองบ้าง
เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพียงแค่ครั้งเดียว จากนั้นมาก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย ไม่เคยพบเจอสิ่งเหนือธรรมชาติอีกเลย
เรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ราว ๆ ปี 2550 ผมทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง จึงนำเงินไปดาวน์รถยนต์ครับ ป้ายแดงนะบอกเลย ผมนำรถไปเจิมที่วัดในกรุงเทพที่ผมนับถือเรียบร้อยแล้วล่ะ ทว่าแม่ผมบอกว่า ให้นำรถกลับมาเจิมที่ดอนปู่ตาของหมู่บ้านเราด้วย ถึงจะสบายใจในการขับขี่ ผมก็ไม่ขัดตอบตกลงในทันที
คนในหมู่บ้านผมเมื่อซื้อรถใหม่มา ไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็ตาม จำต้องหาเวลานำรถมาเจิมที่ดอนปู่ตาของหมู่บ้านให้ได้ครับ ชาวบ้านนับถือกันมาก ผมก็รับปากแม่ไว้ ประจวบเหมาะกับเดือนนั้นมีวันหยุดหลายวันติดต่อกันพอดี ผมจึงลากลับบ้านเพื่อนำรถมาเจิม
ช่วงก่อนที่ผมจะกลับบ้าน ผมก็ได้ข่าวว่าตาพรคนบ้านติดกันกับผมป่วย ล้มหมอนนอนเสื่อกันเลยทีเดียว แม่บอกว่าไม่รู้จะพ้นปีนี้ไหม อาการของตาพรทรุดหนักมาก ผมก็อยากไปเยี่ยมแกด้วย ตอนเด็ก ๆ ผมก็ได้ตาพรกับภรรยานั่นล่ะครับ ช่วยดูแลยามพ่อแม่ไปทำงาน จึงอยากไปเยี่ยมยามถามข่าว เพราะไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายจะมาเมื่อไหร่
ผมขับรถหลายชั่วโมงก็มาถึงบ้าน แม่หาข้าวหาน้ำให้ทาน แล้วแม่บอกผมว่าจะไปดูอาการตาพรเขาสักหน่อย ผมก็พยักหน้าให้แม่ แล้วบอกแม่ว่าจะนำรถไปจอดไว้ที่บ้านของย่าด้วย แล้วจะตามไปดูตาพรด้วยคน
บ้านผมมีเนื้อที่ไม่กี่งานเองที่ย่าแบ่งให้ พ่อทำบ้านเต็มเนื้อที่เลยครับ ทำให้บ้านผมไม่มีที่จอดรถเลย ผมจึงต้องนำรถไปจอดไว้ที่บ้านของย่า ซึ่งก็อยู่ในคุ้มเดียวกันกับผมกับตาพรนี่แหละ
บ้านของย่าผมเป็นบ้านสองชั้นใต้ถุนโล่งอยู่ติดกับถนน ชั้นล่างมีสองห้อง คือ ห้องน้ำกับห้องครัวเพียงเท่านั้น นอกนั้นปล่อยโล่ง ไม่เทพื้นด้วย มีแคร่ไม้ไผ่สองตัวที่ย่านำมาวางไว้ต้อนรับแขก ผมนำรถเข้ามาจอดไว้ที่นี่แล้วก็เดินกลับไปบ้านตาพร คิดว่าพรุ่งนี้จะมานอนบ้านย่า นอนเฝ้ารถล่ะครับ บอกตรง ๆ ว่าผมเห่อรถ
วันแรกคืนแรกหลังจากที่ผมไปเยี่ยมตาพรก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันที่สองผมบอกแม่กับย่าว่าจะมานอนบ้านของย่า นอนข้างล่างนี่แหละ นอนที่แคร่! ย่าก็ไม่ขัด นำหมอนผ้าห่มที่นอนและมุ้งมาจัดเตรียมให้ผมเสร็จสรรพ ตอนเย็นหลังทานข้าวเสร็จ ผู้ใหญ่ทุกคนในคุ้ม จะไปบ้านหาตาพรเพื่อเยี่ยมอาการของแก
คืนที่สองที่ผมกลับมาบ้าน คืนนี้ผมนอนที่ใต้ถุนบ้านของย่า นอนกับรถป้ายแดงของผม ระหว่างรอย่ากลับมาจากบ้านตาพร ผมนอนคุยโทรศัพท์กับแฟนในมุ้งไปเรื่อย ประมาณสี่ทุ่มนิด ๆ ผมเห็นตาพรปั่นจักรยานครับ! จริง ๆ ตาพรตัวเป็น ๆ เลย ไม่ได้ตาปูดตาโปน คอไม่หันร้อยแปดสิบองศาใด ๆ ไม่เน่า ไม่ดำอะไรเลยครับ ตาพรคนเป็น ๆ ตัวเป็น ๆ นี่แหละที่ผมเห็นในคืนนั้น
บ้านของย่าอยู่ติดถนน หน้าบ้านจะมีไฟถนนส่องสว่างเข้ามายังใต้ถุนบ้าน หากตาพรหันมามองก็จะเห็นผมนอนในมุ้ง ส่วนผมก็เห็นตาพรจ้ะ ๆ เต็มสองตาเลยว่า ตาพรปั่นจักรยานคู่ใจของแกผ่านหน้าผมไปอย่างเชื่องช้าครับ พร้อมหมาตัวที่ตาพรเลี้ยงไว้ มันก็วิ่งตามจักรยานของตาพรไป
บอกตรง ๆ ว่าคืนนั้นผมไม่กลัวนะครับ และ ผมคิดว่าตาพรน่าจะไม่รอดคืนนี้ไปแน่ เพราะขวัญออกขนาดนั้น ‘ภาษาอีสานเรียกขวัญออก’ สำหรับคนที่ป่วยนอนติดเตียง แต่กลับมีคนเห็นออกมาข้างนอกแบบนี้ เรียกขวัญออกครับ คงไม่พ้นคืนนี้!
ลักษณะที่ผมเห็นก็เป็นตัวของตาพรเลย เหมือนตอนที่แกยังแข็งแรงดี ตาพรสวมกางเกงสแล็ก เสื้อยืดสีขาว ผ้าขาวม้ามัดเอว ผมเห็นใบหน้า เห็นมือเห็นเท้า เห็นร่างกายชัดเจนทุกส่วนของตาพร ตาพรมักเดินทางโดยจักรยานคู่ใจของแกประจำครับ
ตาพรปั่นจักรยานโดยไม่หันมามองผมที่นอนอยู่ใต้ถุนบ้านย่าเลย ปั่นจักรยานผ่านหน้าผมไปอย่างแช่มช้า ตามด้วยหมาที่แกเลี้ยงไว้หนึ่งตัว มันวิ่งตามจักรยานไป
พอตาพรปั่นไปจนสุดสายตาของผมแล้ว หมาก็หอนรับกันเป็นทอด ๆ ผ่านไปเพียงสามสิบนาทีเห็นจะได้ ผมก็ได้ยินเสียงคนที่บ้านของตาพร ร้องไห้โหเสียงดังระงมครับ นั่นไง! ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิด
น้องสาวลูกพี่ลูกน้องของผมสองคน รีบวิ่งลงมาจากบนบ้านกันเลย เพราะได้ยินเสียงคนร้องไห้ จึงพากันวิ่งลงมาหาผมที่อยู่ข้างล่าง พวกเราคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น และ นั่นแหละครับ พวกเราเห็นตรงกันว่า ‘ตาพรคงเสียแล้ว’ ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตาพรเสียในเวลาสี่ทุ่มสามสิบนาที ส่วนผมเห็นตาพรปั่นจักรยานสี่ทุ่มสองสามนาทีเอง ตามด้วยเสียงประทัดดังขึ้นที่บ้านของตาพรรัว ๆ เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่ามีคนเสียชีวิตครับ
เรื่องนี้ผมไม่ได้เล่าให้ใครฟังทันทีนะ ผ่านไปเดือนกว่า ๆ ผมจึงนำมาเล่าให้แม่ฟัง และ กำชับกับแม่ว่า ไม่ต้องเล่าให้ใครฟังหรอก สงสารครอบครัวของตาพร กลัวโดนหาว่าผมกล่าวหาตาพร พูดมั่วซั่วอะไรทำนองนี้ครับ แม่ผมก็รับปาก
พอเวลาผ่านไปได้ประมาณสามเดือน แม่ก็โทรมาเล่าเรื่องตาพรให้ผมฟังอีกว่า มีคนเห็นตาพรอีกคน คือ พี่ใสลูกของยายสุขคนคุ้มใต้
พี่ใสแกเป็นรุ่นพี่ผมสี่ปี บ้านอยู่คนละคุ้มกับบ้านผมและบ้านตาพรเลย พี่ใสจบ ม.3 แล้วก็เข้าไปทำงานในกรุงเทพ มีสามีเป็นคนชุมพร พอแต่งงานพี่ใสก็ลาออกจากงานไปอยู่ใต้กับสามี นาน ๆ พี่ใสจะกลับมาอีสานมาบ้านที พี่ใสไม่รู้เลยว่าตาพรเสียไปแล้ว ด้วยความที่ไม่ใช่ญาติ ๆ กัน ครอบครัวของพี่ใสจึงไม่ได้สนใจบอก
พอพี่ใสมาถึงก็อยากกินของป่า คือ เห็ดป่า จึงชวนพี่ไก่ผู้เป็นพี่สาวเข้าป่าหาเห็ดกัน พี่ไก่ก็ตกลงพาไป แม่ของพี่ไก่แนะนำว่า ให้ไปหาแถวป่าหัวนาตาพรนั่นแหละ เห็ดเยอะสุด ผู้คนมักเข้าไปเก็บกัน รถก็นำไปจอดไว้ที่บริเวณเถียงนาของตาพรนั่นแหละ เอ่ยขอลอย ๆ เอาก็พอ ไม่มีใครกลัวตาพร เพราะตาพรไม่เคยปรากฏตัวหลอกใคร
สองคนพี่น้อง พี่ไก่กับพี่ใสขับรถมอเตอร์ไซค์มายังดอนหัวหน้าตาพร ตามคำแนะนำของผู้เป็นแม่ โดยพี่ใสเป็นคนขับ พี่ใสกำลังจะเลี้ยวรถเข้าจอดที่เถียงนาตาพร แต่พี่ใสเห็นตาพรนั่งอยู่บนเตียงนา จึงเปลี่ยนใจไปจอดที่อื่นแทน
พี่ใสเห็นตาพรนั่งชันเข่าอยู่ตรงหัวบันได ไม่ใส่เสื้อ สวมกางเกงขาสั้น พร้อมผ้าขาวม้ามัดเอว กำลังดูดบุหรี่อยู่คนเดียว สายตามองไปยังท้องทุ่งนานู่น พี่ใสจึงขับรถเลยไปจอดยังเถียงนาของคนอื่น เพราะเกรงใจตาพร พี่ไก่ก็ไม่ได้ถามอะไร จากนั้นก็พากันเข้าป่าหาเห็ด
กลับมาถึงบ้านพี่ใสได้เล่าให้ยายสุขแม่ของตนฟังว่า “ตาพรแกดูแข็งแรงดีเนอะ ยังมานาเหมือนเดิมอยู่เลย เห็นแกมาตั้งแต่เด็ก ๆ เวลามาหาเห็ดทีไร ก็มักจะเจอแกประจำ แกอายุเท่าไหร่แล้วแม่” พี่ใสถามผู้เป็นแม่
ยายสุขเมื่อได้ฟังก็ตาเหลือกตาค้าง รวมทั้งพี่ไก่ด้วยที่สำลักน้ำออกมา ยายสุขบอกกับพี่ใสว่าจะเห็นตาพรได้ไง เพราะตาพรตายไปตั้งแต่สามเดือนที่แล้วนู่น ที่ไม่ได้เล่าให้ฟังเพราะไม่เห็นสำคัญ และ คิดว่าพี่ไก่ลูกสาวคนโตคงบอกน้องไปแล้วนั่นเอง
พี่ใสยืนยันว่าเห็นตาพรจริง ๆ เป็นรูปเป็นร่าง เป็นคนนี่แหละ เป็นตาพรเลย ไม่อย่างนั้นตนคงนำรถเข้ามาจอดที่เถียงนาของแกแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ ยายสุขไม่เถียงลูกสาว เชื่อในสิ่งที่พี่ใสพูด จึงนำด้ายสีขาวมาผูกเรียกขวัญให้ตามความเชื่อ
ตกกลางคืนพี่ใสก็ไม่ได้ฝันอะไรถึงตาพร ไม่มีเหตุการณ์อะไรหลอน ๆ เกิดขึ้น ทว่าตอนเช้ามาพี่ใสกลับเป็นไข้ พาไปหาหมอกินยาก็ไม่หาย นอนซมเป็นสัปดาห์ก็ยังไม่หาย ยายสุขเห็นท่าไม่ดี จึงแอบนำธูปไปปักที่ธาตุอัฐิของตาพรที่อยู่ในวัด และ นำเรื่องราวที่พี่ใสเจอ มาเล่าให้ภรรยาของตาพรฟัง
พอยายสุขทำแบบนั้นแล้ว อาการของพี่ใสก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ พอหายดีแล้วพี่ใสจึงขอตัวกลับชุมพรเลย เรื่องของพี่ใสเจอตาพรเป็นที่เล่าลือกันในหมู่บ้าน ส่วนเรื่องของผม ผมกำชับแม่ว่าไม่ต้องไปเล่าต่อใครฟังหรอก ตาพรแกตายไปแล้วให้แก่ไปดีเถอะ แกคงปั่นจักรยานไปในที่ ๆ แกอยากจะไป เรื่องของผมก็ไม่มีใครรู้เลยครับ เพราะแม่ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย
…เรื่องราวของผมก็มีเท่านี้ครับ ไม่ได้หลอนจนชวนขนหัวลุก ทว่าผมก็อยากแชร์ประสบการณ์ที่ผมได้เจอมาให้ทุกคนฟัง และ ผมก็รอฟังประสบการณ์จากเพื่อน ๆ คนอื่นครับ ขอบคุณครับ….
พัฒน์พงษ์นั่งพิมพ์เรื่องเล่าในคอมพ์ส่วนตัวของเขา เพื่อจะนำส่งเพจเรื่องราวหลอน ๆ ที่ชอบฟังในยามว่าง พอพิมพ์จบเขาก็ส่งไฟล์ไปให้เพจนั้น แล้วเตรียมรอฟังเรื่องเล่าของตนเองในรอบถัดไป นึกถึงใบหน้าของตาพร ป่านนี้คงไปเกิดไปใครสักคนในบรรดาหลาน ๆ เหลน ๆ แล้วล่ะ…
จบ…
เรื่องเล่าตาพร
.
…สวัสดีครับผมชื่อพัฒน์พงษ์ เป็นคนจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ปัจจุบันตัวผมอาศัยและทำงานที่กรุงเทพครับ วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวที่ผมได้ประสบพบเจอมาเมื่อหลายปีก่อนให้ทุกคนได้ฟังครับ เรื่องนี้ผมขอตั้งชื่อว่า เรื่องเล่าตาพรครับ…
พัฒน์พงษ์กำลังเขียนถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ ที่ตนเองได้เจอมาอย่างตั้งใจ เพื่อส่งไปให้รายการหลอนช่องหนึ่งเล่าเรื่องและทำเป็นอนิเมชั่น ซึ่งตนเองนั้นชอบฟังมากเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว จึงอยากแชร์ประสบการณ์ของตนเองบ้าง
เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพียงแค่ครั้งเดียว จากนั้นมาก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย ไม่เคยพบเจอสิ่งเหนือธรรมชาติอีกเลย
เรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ราว ๆ ปี 2550 ผมทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง จึงนำเงินไปดาวน์รถยนต์ครับ ป้ายแดงนะบอกเลย ผมนำรถไปเจิมที่วัดในกรุงเทพที่ผมนับถือเรียบร้อยแล้วล่ะ ทว่าแม่ผมบอกว่า ให้นำรถกลับมาเจิมที่ดอนปู่ตาของหมู่บ้านเราด้วย ถึงจะสบายใจในการขับขี่ ผมก็ไม่ขัดตอบตกลงในทันที
คนในหมู่บ้านผมเมื่อซื้อรถใหม่มา ไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็ตาม จำต้องหาเวลานำรถมาเจิมที่ดอนปู่ตาของหมู่บ้านให้ได้ครับ ชาวบ้านนับถือกันมาก ผมก็รับปากแม่ไว้ ประจวบเหมาะกับเดือนนั้นมีวันหยุดหลายวันติดต่อกันพอดี ผมจึงลากลับบ้านเพื่อนำรถมาเจิม
ช่วงก่อนที่ผมจะกลับบ้าน ผมก็ได้ข่าวว่าตาพรคนบ้านติดกันกับผมป่วย ล้มหมอนนอนเสื่อกันเลยทีเดียว แม่บอกว่าไม่รู้จะพ้นปีนี้ไหม อาการของตาพรทรุดหนักมาก ผมก็อยากไปเยี่ยมแกด้วย ตอนเด็ก ๆ ผมก็ได้ตาพรกับภรรยานั่นล่ะครับ ช่วยดูแลยามพ่อแม่ไปทำงาน จึงอยากไปเยี่ยมยามถามข่าว เพราะไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายจะมาเมื่อไหร่
ผมขับรถหลายชั่วโมงก็มาถึงบ้าน แม่หาข้าวหาน้ำให้ทาน แล้วแม่บอกผมว่าจะไปดูอาการตาพรเขาสักหน่อย ผมก็พยักหน้าให้แม่ แล้วบอกแม่ว่าจะนำรถไปจอดไว้ที่บ้านของย่าด้วย แล้วจะตามไปดูตาพรด้วยคน
บ้านผมมีเนื้อที่ไม่กี่งานเองที่ย่าแบ่งให้ พ่อทำบ้านเต็มเนื้อที่เลยครับ ทำให้บ้านผมไม่มีที่จอดรถเลย ผมจึงต้องนำรถไปจอดไว้ที่บ้านของย่า ซึ่งก็อยู่ในคุ้มเดียวกันกับผมกับตาพรนี่แหละ
บ้านของย่าผมเป็นบ้านสองชั้นใต้ถุนโล่งอยู่ติดกับถนน ชั้นล่างมีสองห้อง คือ ห้องน้ำกับห้องครัวเพียงเท่านั้น นอกนั้นปล่อยโล่ง ไม่เทพื้นด้วย มีแคร่ไม้ไผ่สองตัวที่ย่านำมาวางไว้ต้อนรับแขก ผมนำรถเข้ามาจอดไว้ที่นี่แล้วก็เดินกลับไปบ้านตาพร คิดว่าพรุ่งนี้จะมานอนบ้านย่า นอนเฝ้ารถล่ะครับ บอกตรง ๆ ว่าผมเห่อรถ
วันแรกคืนแรกหลังจากที่ผมไปเยี่ยมตาพรก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันที่สองผมบอกแม่กับย่าว่าจะมานอนบ้านของย่า นอนข้างล่างนี่แหละ นอนที่แคร่! ย่าก็ไม่ขัด นำหมอนผ้าห่มที่นอนและมุ้งมาจัดเตรียมให้ผมเสร็จสรรพ ตอนเย็นหลังทานข้าวเสร็จ ผู้ใหญ่ทุกคนในคุ้ม จะไปบ้านหาตาพรเพื่อเยี่ยมอาการของแก
คืนที่สองที่ผมกลับมาบ้าน คืนนี้ผมนอนที่ใต้ถุนบ้านของย่า นอนกับรถป้ายแดงของผม ระหว่างรอย่ากลับมาจากบ้านตาพร ผมนอนคุยโทรศัพท์กับแฟนในมุ้งไปเรื่อย ประมาณสี่ทุ่มนิด ๆ ผมเห็นตาพรปั่นจักรยานครับ! จริง ๆ ตาพรตัวเป็น ๆ เลย ไม่ได้ตาปูดตาโปน คอไม่หันร้อยแปดสิบองศาใด ๆ ไม่เน่า ไม่ดำอะไรเลยครับ ตาพรคนเป็น ๆ ตัวเป็น ๆ นี่แหละที่ผมเห็นในคืนนั้น
บ้านของย่าอยู่ติดถนน หน้าบ้านจะมีไฟถนนส่องสว่างเข้ามายังใต้ถุนบ้าน หากตาพรหันมามองก็จะเห็นผมนอนในมุ้ง ส่วนผมก็เห็นตาพรจ้ะ ๆ เต็มสองตาเลยว่า ตาพรปั่นจักรยานคู่ใจของแกผ่านหน้าผมไปอย่างเชื่องช้าครับ พร้อมหมาตัวที่ตาพรเลี้ยงไว้ มันก็วิ่งตามจักรยานของตาพรไป
บอกตรง ๆ ว่าคืนนั้นผมไม่กลัวนะครับ และ ผมคิดว่าตาพรน่าจะไม่รอดคืนนี้ไปแน่ เพราะขวัญออกขนาดนั้น ‘ภาษาอีสานเรียกขวัญออก’ สำหรับคนที่ป่วยนอนติดเตียง แต่กลับมีคนเห็นออกมาข้างนอกแบบนี้ เรียกขวัญออกครับ คงไม่พ้นคืนนี้!
ลักษณะที่ผมเห็นก็เป็นตัวของตาพรเลย เหมือนตอนที่แกยังแข็งแรงดี ตาพรสวมกางเกงสแล็ก เสื้อยืดสีขาว ผ้าขาวม้ามัดเอว ผมเห็นใบหน้า เห็นมือเห็นเท้า เห็นร่างกายชัดเจนทุกส่วนของตาพร ตาพรมักเดินทางโดยจักรยานคู่ใจของแกประจำครับ
ตาพรปั่นจักรยานโดยไม่หันมามองผมที่นอนอยู่ใต้ถุนบ้านย่าเลย ปั่นจักรยานผ่านหน้าผมไปอย่างแช่มช้า ตามด้วยหมาที่แกเลี้ยงไว้หนึ่งตัว มันวิ่งตามจักรยานไป
พอตาพรปั่นไปจนสุดสายตาของผมแล้ว หมาก็หอนรับกันเป็นทอด ๆ ผ่านไปเพียงสามสิบนาทีเห็นจะได้ ผมก็ได้ยินเสียงคนที่บ้านของตาพร ร้องไห้โหเสียงดังระงมครับ นั่นไง! ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิด
น้องสาวลูกพี่ลูกน้องของผมสองคน รีบวิ่งลงมาจากบนบ้านกันเลย เพราะได้ยินเสียงคนร้องไห้ จึงพากันวิ่งลงมาหาผมที่อยู่ข้างล่าง พวกเราคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น และ นั่นแหละครับ พวกเราเห็นตรงกันว่า ‘ตาพรคงเสียแล้ว’ ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตาพรเสียในเวลาสี่ทุ่มสามสิบนาที ส่วนผมเห็นตาพรปั่นจักรยานสี่ทุ่มสองสามนาทีเอง ตามด้วยเสียงประทัดดังขึ้นที่บ้านของตาพรรัว ๆ เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่ามีคนเสียชีวิตครับ
เรื่องนี้ผมไม่ได้เล่าให้ใครฟังทันทีนะ ผ่านไปเดือนกว่า ๆ ผมจึงนำมาเล่าให้แม่ฟัง และ กำชับกับแม่ว่า ไม่ต้องเล่าให้ใครฟังหรอก สงสารครอบครัวของตาพร กลัวโดนหาว่าผมกล่าวหาตาพร พูดมั่วซั่วอะไรทำนองนี้ครับ แม่ผมก็รับปาก
พอเวลาผ่านไปได้ประมาณสามเดือน แม่ก็โทรมาเล่าเรื่องตาพรให้ผมฟังอีกว่า มีคนเห็นตาพรอีกคน คือ พี่ใสลูกของยายสุขคนคุ้มใต้
พี่ใสแกเป็นรุ่นพี่ผมสี่ปี บ้านอยู่คนละคุ้มกับบ้านผมและบ้านตาพรเลย พี่ใสจบ ม.3 แล้วก็เข้าไปทำงานในกรุงเทพ มีสามีเป็นคนชุมพร พอแต่งงานพี่ใสก็ลาออกจากงานไปอยู่ใต้กับสามี นาน ๆ พี่ใสจะกลับมาอีสานมาบ้านที พี่ใสไม่รู้เลยว่าตาพรเสียไปแล้ว ด้วยความที่ไม่ใช่ญาติ ๆ กัน ครอบครัวของพี่ใสจึงไม่ได้สนใจบอก
พอพี่ใสมาถึงก็อยากกินของป่า คือ เห็ดป่า จึงชวนพี่ไก่ผู้เป็นพี่สาวเข้าป่าหาเห็ดกัน พี่ไก่ก็ตกลงพาไป แม่ของพี่ไก่แนะนำว่า ให้ไปหาแถวป่าหัวนาตาพรนั่นแหละ เห็ดเยอะสุด ผู้คนมักเข้าไปเก็บกัน รถก็นำไปจอดไว้ที่บริเวณเถียงนาของตาพรนั่นแหละ เอ่ยขอลอย ๆ เอาก็พอ ไม่มีใครกลัวตาพร เพราะตาพรไม่เคยปรากฏตัวหลอกใคร
สองคนพี่น้อง พี่ไก่กับพี่ใสขับรถมอเตอร์ไซค์มายังดอนหัวหน้าตาพร ตามคำแนะนำของผู้เป็นแม่ โดยพี่ใสเป็นคนขับ พี่ใสกำลังจะเลี้ยวรถเข้าจอดที่เถียงนาตาพร แต่พี่ใสเห็นตาพรนั่งอยู่บนเตียงนา จึงเปลี่ยนใจไปจอดที่อื่นแทน
พี่ใสเห็นตาพรนั่งชันเข่าอยู่ตรงหัวบันได ไม่ใส่เสื้อ สวมกางเกงขาสั้น พร้อมผ้าขาวม้ามัดเอว กำลังดูดบุหรี่อยู่คนเดียว สายตามองไปยังท้องทุ่งนานู่น พี่ใสจึงขับรถเลยไปจอดยังเถียงนาของคนอื่น เพราะเกรงใจตาพร พี่ไก่ก็ไม่ได้ถามอะไร จากนั้นก็พากันเข้าป่าหาเห็ด
กลับมาถึงบ้านพี่ใสได้เล่าให้ยายสุขแม่ของตนฟังว่า “ตาพรแกดูแข็งแรงดีเนอะ ยังมานาเหมือนเดิมอยู่เลย เห็นแกมาตั้งแต่เด็ก ๆ เวลามาหาเห็ดทีไร ก็มักจะเจอแกประจำ แกอายุเท่าไหร่แล้วแม่” พี่ใสถามผู้เป็นแม่
ยายสุขเมื่อได้ฟังก็ตาเหลือกตาค้าง รวมทั้งพี่ไก่ด้วยที่สำลักน้ำออกมา ยายสุขบอกกับพี่ใสว่าจะเห็นตาพรได้ไง เพราะตาพรตายไปตั้งแต่สามเดือนที่แล้วนู่น ที่ไม่ได้เล่าให้ฟังเพราะไม่เห็นสำคัญ และ คิดว่าพี่ไก่ลูกสาวคนโตคงบอกน้องไปแล้วนั่นเอง
พี่ใสยืนยันว่าเห็นตาพรจริง ๆ เป็นรูปเป็นร่าง เป็นคนนี่แหละ เป็นตาพรเลย ไม่อย่างนั้นตนคงนำรถเข้ามาจอดที่เถียงนาของแกแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ ยายสุขไม่เถียงลูกสาว เชื่อในสิ่งที่พี่ใสพูด จึงนำด้ายสีขาวมาผูกเรียกขวัญให้ตามความเชื่อ
ตกกลางคืนพี่ใสก็ไม่ได้ฝันอะไรถึงตาพร ไม่มีเหตุการณ์อะไรหลอน ๆ เกิดขึ้น ทว่าตอนเช้ามาพี่ใสกลับเป็นไข้ พาไปหาหมอกินยาก็ไม่หาย นอนซมเป็นสัปดาห์ก็ยังไม่หาย ยายสุขเห็นท่าไม่ดี จึงแอบนำธูปไปปักที่ธาตุอัฐิของตาพรที่อยู่ในวัด และ นำเรื่องราวที่พี่ใสเจอ มาเล่าให้ภรรยาของตาพรฟัง
พอยายสุขทำแบบนั้นแล้ว อาการของพี่ใสก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ พอหายดีแล้วพี่ใสจึงขอตัวกลับชุมพรเลย เรื่องของพี่ใสเจอตาพรเป็นที่เล่าลือกันในหมู่บ้าน ส่วนเรื่องของผม ผมกำชับแม่ว่าไม่ต้องไปเล่าต่อใครฟังหรอก ตาพรแกตายไปแล้วให้แก่ไปดีเถอะ แกคงปั่นจักรยานไปในที่ ๆ แกอยากจะไป เรื่องของผมก็ไม่มีใครรู้เลยครับ เพราะแม่ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย
…เรื่องราวของผมก็มีเท่านี้ครับ ไม่ได้หลอนจนชวนขนหัวลุก ทว่าผมก็อยากแชร์ประสบการณ์ที่ผมได้เจอมาให้ทุกคนฟัง และ ผมก็รอฟังประสบการณ์จากเพื่อน ๆ คนอื่นครับ ขอบคุณครับ….
พัฒน์พงษ์นั่งพิมพ์เรื่องเล่าในคอมพ์ส่วนตัวของเขา เพื่อจะนำส่งเพจเรื่องราวหลอน ๆ ที่ชอบฟังในยามว่าง พอพิมพ์จบเขาก็ส่งไฟล์ไปให้เพจนั้น แล้วเตรียมรอฟังเรื่องเล่าของตนเองในรอบถัดไป นึกถึงใบหน้าของตาพร ป่านนี้คงไปเกิดไปใครสักคนในบรรดาหลาน ๆ เหลน ๆ แล้วล่ะ…
จบ…