อาเพศ

เรื่องนี้มาจากรุ่นพี่ที่ทำงานครับ แกเล่าให้ฟังตอนนั่งกินข้าวด้วยกัน ตอนแรกแกจะเอาไปเล่าใน the ghost แต่กลัวคนจะไม่ชอบเพราะมันไม่มีผี! ส่วนตัวผมว่ามันแปลกดีก็เลยขอแกเอามาเล่าในนี้

แกบอกผมว่ามีตั้งชื่อไว้ด้วย ชื่อเรื่องว่า ”อาเพศ“

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาตอนแกยังเป็นเด็ก ไม่มีใครรู้ว่าเกิดในช่วงปี พ.ศ.อะไร (ผมว่าน่าจะมีถึง 100 ปีได้ เพราะแกบอกว่าที่ผ่านมาทุกรุ่นจะเคยได้ยินเรื่องนี้) ส่วนสถานที่คือจังหวัดอุบลราชธานี แต่ไม่รู้ว่าตรงจุดไหนเพราะเล่าไม่ตรงกันเลยสักคน

เรื่องมีอยู่ว่า มันจะมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ไม่ถึง 20 หลังคาเรือน ตรงท้ายหมู่บ้านก็จะมีป่าเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านชอบไปหาของป่า บริเวณโดยรอบหมู่บ้านจะเป็นพื้นที่ทุ่งนากว้างหลายเอเคอร์ ถัดออกไปอีกก็จะเจอแนวชายป่าที่ล้อมเป็นลักษณะวงกลม โดยจุดศูนย์กลางของวงกลมนั้นก็คือป่าท้ายหมู่บ้าน แล้วก็จะมีคลองที่ตัดผ่านป่านั้นและทอดยาวผ่านหมู่บ้านออกไป เหมือนเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลม ส่วนหมู่บ้านอื่น ๆ จะอยู่เลยชายป่าออกไปอีก ชาวบ้านก็ใช้ชีวิตกันปกติ จนกระทั่งมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง ซึ่งมันไม่ได้เกิดปุบปับ แต่จะค่อย ๆ กินเวลาเป็นหลักเดือนจนชาวบ้านส่วนหนึ่งทนอยู่ต่อไม่ได้ ต้องย้ายออก และพากันเล่าต่อ ๆ กันมา

ลำดับเหตุการณ์จะเป็นประมาณนี้…

เริ่มจากคืนหนึ่ง ชาวบ้านตื่นมาเพราะแสงที่สว่างมาก ๆ พอออกมาดูก็เห็นว่าแสงมาจากป่าท้ายหมู่บ้าน ลักษณะเป็นแสงวาบ มาเป็นระยะ ๆ คล้ายฟ้าแลบ แต่สว่างมาก ๆ เหมือนเป็นกลางวัน บางคนมองแสงนั้นตรง ๆ แล้วสายตาคือดับไปเลยชั่วขณะ ไม่มีใครได้ยินเสียงอะไร ทุกคนออกมายืนดูแสงนั้นอยู่เกือบชั่วโมง แล้วมันก็หายไป 

พอถึงเช้าก็พากันไปดูที่ป่า นำทีมโดยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งจะไปถึงป่าต้องลัดเลาะผ่านทุ่งนา ประมาณครึ่งกิโลเมตร พอไปถึงทุกคนก็สะดุดตาเข้ากับรอยไหม้ที่พื้น เป็นรอยไหม้ที่ประหลาดมาก ๆ เพราะมันเป็นเหมือนเส้นขนาดใหญ่ หนาประมาณ 1 เมตร ขอบเขตชัดมาก พอเดินตามจะพบว่าแนวของมันเป็นวงกลมอ้อมเขตป่านั้นทั้งป่า ทุกอย่างที่อยู่ในรอยนั้นจะไหม้ทั้งหมด ทั้งต้นหญ้า กิ่งไม้ ใบไม้แห้ง ไม่เว้นแม้แต่ต้นไม้ คือไหม้ทั้งต้นเป็นตอตะโก แต่ทุกอย่างที่อยู่นอกรอยนั้นจะปกติ พอเดินลึกเข้าไปอีกก็เห็นรอยไหม้อีกรอย ลักษณะแบบเดียวกันแต่เป็นแนววงกลมที่เล็กกว่า ซ้อนอยู่ข้างในวงใหญ่ ราวกับว่ามีจุดศูนย์กลางจุดเดียวกัน

ไม่มีใครเคยเจอแบบนี้มาก่อน เลยไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าคืออะไร มีแต่คาดคะเนว่าอาจจะเป็นฟ้าผ่า หลังจากคืนนั้นมาก็ไม่มีแสงประหลาดอีกเลย แต่ชาวบ้านเริ่มสังเกตว่า เปลวไฟในตะเกียงที่จุดมันเอียงแล้วชี้ไปที่ป่าหลังหมู่บ้าน เป็นแบบนี้ทุกบ้าน ทั้งที่ไม่มีลมพัดเลย และไม่ใช่แค่ในตะเกียง คือทุกครั้งที่จุดไฟ เช่น จะปรุงอาหาร เปลวไฟจะชี้ไปทางนั้นตลอดเวลา เหมือนมีอะไรมาดึงดูดมันไป

เหตุการณ์ต่อ ๆ มาคือสิ่งที่ทำให้ชาวบ้านทุกคนหวาดกลัว ตื่นตระหนก แม้กระทั่งผมเองที่นั่งฟังยังอดขนลุกไม่ได้ 

ยายจัน(ชื่อสมมติ) แกเป็นคนร่าเริงชอบพูดคุย แกอยู่กับลูกหลาน 3-4 คน สามีเสียนานแล้ว ที่บ้านแกจะเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไว้ อยู่มาวันหนึ่งแกก็เงียบไป คือไม่ยอมพูดคุยกับใคร เป็นแบบนี้อยู่ 2-3 วัน แล้วจากนั้นสิ่งที่แกทำคือแกจะเอาเป็ดไก่ที่เลี้ยงไว้มาเชือดแล้วควักไส้ควักพุง เอาลำไส้มาเรียงเป็นวงกลมรอบซากไก่ แต่แกไม่กินนะ เหมือนทำเป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง ยิ่งกว่านั้นแกจะเอามีดมากรีดหน้าผากตัวเองเป็นวงกลม เลือดไหลซิบ ๆ ลูกหลานมาห้ามแกก็ไม่ฟัง วันหนึ่งแกเอาข้าวของในบ้านออกมาโยนทิ้งนอกบ้าน เหมือนพยายามเคลียร์บ้านให้โล่ง ๆ จนลูกสาวได้ไปตามหมอยา ไปนิมนต์พระมา ปรากฏว่ามืดแปดด้าน ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะแกไม่ยอมพูด จนครอบครัวแกต้องขอร้องให้ใครทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็ได้ทำพิธีเหมือนเรียกขวัญให้แก เช้าวันถัดมาลูกสาวมาเจอแกนอนบนเตียง สภาพคือตัวเย็นซีด ตาเบิกโพลง ไม่หายใจ เลยคิดว่าแกไหลตาย 

พอถึงวันเผาศพ สมัยนั้นคือจะเอาผ้าห่อไว้แล้วเอากิ่งไม้มาสุมไฟเผาเลย ญาติพี่น้องชาวบ้านก็จะมายืนดู พอไฟลุกพรึ่บ เปลวไฟก็ชี้ไปที่ป่าหลังหมู่บ้านแบบเดิม ชาวบ้านไม่ได้เอะใจอะไรเพราะชินแล้ว สักพักปรากฏว่ามีคนสังเกตุเห็นการเคลื่อนไหว มีเสียงซุบซิบบอกกัน แล้วจู่ ๆ ร่างยายจันที่ห่อผ้าไว้แกก็เริ่มขยับ เริ่มดิ้นไปมาเหมือนกลับมามีชีวิต แล้วก็มีเสียงกรีดร้องมาจากในผ้านั้น เป็นเสียงยายจันกรีดร้องด้วยความทรมาน แกร้องไปด้วยดิ้นไปด้วยแล้วกลิ้งตัวออกมาจากกองไฟ ชาวบ้านรีบเอาน้ำมาสาดดับไฟ เอาร่างแกออกมาจากผ้า สภาพแกคือหายใจหอบเร็วมาก เนื้อตัวมีแต่รอยไฟลวก กว่าแกจะหยุดดิ้นต้องให้ลูกหลานมาจับไว้ 

หลายคนบอกว่ายายจันตายแล้วฟื้น บ้างก็ว่าแกไม่ได้ตายตั้งแต่แรก ไม่มีใครฟันธงได้ชัดเจน แต่ที่แน่ ๆ คือหลังจากนั้นแกก็ไม่ขยับอีกเลย ลูกหลานเอาแกกลับบ้านหายามาทำแผลให้ สภาพแกคือนอนนิ่ง ๆ ไม่พูด ไม่ส่งเสียง ไม่ตอบสนอง ดวงตาเหลือกโปนแทบไม่กะพริบเลย แต่แกยังหายใจ ลูกสาวแกบอกว่าวันไหนเดินผ่านหรือเอาข้าวเอาน้ำไปให้แก จะรู้สึกเหมือนแกมองตาม แต่พอดูดี ๆ แกจะจ้องที่เพดานตลอด บางวันก็สังเกตว่าแกน้ำตาไหลออกมาเปียกพื้นไปหมด ส่วนปัสสาวะอุจจาระไม่ต้องพูดถึง 

ยายจันอยู่ในสภาพนี้เป็นเดือน คนในหมู่บ้านก็แวะเวียนมาเยี่ยมเป็นระยะ ๆ เอาข้าวมาให้ แกก็กินบ้างไม่กินบ้าง จนวันหนึ่งลูกสาวแกเห็นว่าหยุดหายใจแล้ว แต่ก็กลัวว่าแกอาจจะยังไม่ไป สุดท้ายเลยได้รอจนเริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่า ค่อยเอาไปทำพิธีเผา ครั้งนี้การเผาศพดำเนินไปด้วยความปกติดี ถ้าไม่นับเปลวไฟที่ยังคงชี้ไปทิศเดิม

หลังยายจันเสีย ก็มีการทำพิธีเหมือนปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกจากหมู่บ้าน มีการเดินพรมน้ำมนต์ไปทั่ว ๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันคืออะไร

ในช่วงเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ยายจัน ก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นในหมู่บ้านพร้อม ๆ กัน เช่น บางบ้านรู้สึกว่าน้ำคลอง น้ำฝน มีกลิ่นฉุนแปลก ๆ อธิบายไม่ถูก แต่พอเอามาต้มแล้วกลิ่นหายไป ก็เลยได้ต้มน้ำไว้กินไว้ใช้ แต่เป็นเฉพาะบางบ้าน พอเข้าสู่ฤดูเกี่ยวข้าว ชาวบ้านสังเกตว่ามีข้าวแห้งตายเป็นหย่อม ๆ พอดูดี ๆ ก็พบว่าบริเวณพื้นที่ที่มีข้าวตายจะมีลักษณะเหมือนวงกลม ซึ่งไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

บ้านไหนที่เลี้ยงสัตว์ เป็ด ไก่ หมา แมว จะพบว่าสัตว์ที่เกิดมาใหม่มีลักษณะพิการ อวัยวะขาดหรือเกิน เช่น ลูกหมาเกิดมามี 2 หัว ลูกเจี๊ยบฟักออกมามี 3 ปีก ลูกแมวบางครอกเกิดมาไม่มีขาเลย และเกือบ 100% จะไม่รอด ที่แปลกคือสัตว์ทุกตัวที่เกิดมาในช่วงนั้น จะมีปานรูปวงกลมอยู่ตามตัว ซึ่งเป็นวงกลมที่ ”กลม“ มาก คือไม่เบี้ยวเลย เหมือนมีใครทำตราประทับไว้

สิ่งที่แปลกที่สุดเกิดขึ้นกับสัตว์ที่เลี้ยงไว้ทำนา วัว ควาย ลูกที่คลอดออกมา ลักษณะเหมือนมนุษย์ทุกประการ คือมีใบหน้า แขนขา นิ้วมือ ผิวหนังเหมือนมนุษย์ คลอดออกมาขนาดเท่าเด็กอายุ 10 ขวบ ไม่มีลักษณะที่เหมือนวัวควายเลย แถมร้องเสียงเหมือนทารก เด็กเหล่านี้เกิดมาพร้อมปานรูปวงกลมบนหน้าผาก เกิดมาร้องอุแว้ ๆ ได้ไม่ถึงชั่วโมงก็จากไป ชาวบ้านต้องเอาไปเผาที่วัด ทำเหมือนเป็นคน ๆ หนึ่ง

---
เดี๋ยวมาต่อนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่