JJNY : 5in1 ข่าวร้าย เบนซิน-โซฮอล์ขึ้น1บ.│ปุ๋ยราคาพุ่ง│เชื่อมั่นส.อ.ท.ต่ำสุดรอบ5ด.│แฉเปลี่ยนTOR│“FI-SE”สมัครเข้า“นาโต”

ข่าวร้าย เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ทุกชนิด ขึ้น1 บาท มีผลเช้าพรุ่งนี้
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3350818
 
 
ข่าวร้าย เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ทุกชนิด ขึ้น 1 บาท มีผลเช้าพรุ่งนี้
 
PTT Station และบางจาก ประกาศ ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด ขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร เว้นE85 ปรับขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลทุกชนิดคงเดิม มีผล 19 พ.ค.65 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้
 
ULG = 50.36(เฉพาะ PTT Station) , GSH95 = 42.95, E20 = 41.84, GSH91 = 42.68, E85 = 35.84, HSD- B7= 31.94, HSD-B10 = 31.94, HSD-B20=31.94, ดีเซลพรีเมี่ยม B7 = 40.36 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร


 
ทุกข์ชาวนา! 'ปุ๋ย' ราคาพุ่ง 1,500 บาท/กระสอบ
https://www.nationtv.tv/news/378873396

ชาวนา จังหวัดนครราชสีมาทุกข์หนัก ราคาปุ๋ยพุ่งกระสอบละ1,500บาท สูงขึ้นกว่าเท่าตัว วอนภาครัฐเร่งแก้ปัญหา ขณะนี้กำลังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวนาในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา กำลังเตรียมไถนาหว่านข้าวนาปีในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกข้าว ซึ่งบางรายจะทำนาปีละ 2 ครั้ง โดยทำนาปรังก่อนจะทำนาปี แต่ทุกรายกำลังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิต เพราะราคาปุ๋ยพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยนายเสน่ห์ น้อยโคตรหา อายุ52ปี ชาวนารายหนึ่งในตำบลท่าหลวง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ปุ๋ยราคาแพงมาก ทำให้ชาวนาต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยตนลงทุนปลูกข้าวนาปรัง จำนวน17ไร่ ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ทั้งปุ๋ยสูตรและปุ๋ยยูเรีย ไม่ต่ำกว่า34กระสอบต่อการปลูกข้าวแต่ละครั้งไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แต่ต้องจำใจยอมซื้อปุ๋ยในราคาที่แพงมาก กระสอบละ1,300-1,500บาท เป็นเงินลงทุนกว่า44,000บาท เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น เพราะจำเป็นต้องใช้
      
       เมื่อก่อนราคาปุ๋ยจะอยู่ที่กระสอบละ600-700บาทเท่านั้น แต่มาในปีนี้ ราคาปุ๋ยพุ่งสูงขึ้นกว่าเท่าตัว และที่สำคัญไปกว่านั้น ราคาน้ำมันเบนซินที่ต้องนำมาใช้กับเครื่องสูบน้ำ ก็ปรับตัวสูงขึ้นทุกวัน เป็นปัญหาหลักที่ชาวนาต้องแบกรับภาระต้นทุนทำนาที่สูงขึ้น จึงอยากวอนให้หน่วยงานภาครัฐเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาราคาปุ๋ยแพงเป็นการด่วน



ความเชื่อมั่นส.อ.ท.ต่ำสุดรอบ 5 เดือน เซ่นพิษน้ำมัน-เงินเฟ้อพุ่ง เอสเอ็มอีน่าเป็นห่วงล้มหายตายจากจำนวนมาก
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7056339
 
ความเชื่อมั่นส.อ.ท.ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน เซ่นพิษน้ำมัน-เงินเฟ้อพุ่ง เอสเอ็มอีอาการน่าเป็นห่วงล้มหายตายจากจำนวนมาก – ดันคนละครึ่งเฟส 5
   
 ความเชื่อมั่นส.อ.ท.ต่ำสุด – นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย. 2565 อยู่ที่ 86.2 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 89.2 ต่ำสุดรอบ 5 เดือน รวมทั้งดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 95.9 ลดลงจาก 99.6
 
เนื่องจากผู้ประกอบการกังวลต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น จากราคาวัดถุดิบ ราคาพลังงาน ค่าขนส่ง ขณะที่กำลังซื้อในประเทศชะลอตัวจากปัญหาเงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย และอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลง วันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้การผลิตลดลง
สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อยู่ระดับเพียง 60.6 และผู้ประกอบการขนาดใหญ่ มีความเชื่อมั่นรายใหญ่สูงถึง 110.5 เป็นตัวสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำของเอสเอ็มอี และขนาดใหญ่ ยังห่างกันมาก เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ทำธุรกิจส่งออก ไม่ค่อยได้รับผลกระทบ แต่เอสเอ็มอี ที่ผ่านมาประสบปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องสภาพคล่อง รวมทั้งการเข้าถึงตลาด กำลังซื้อประชาชน ส่งผลให้ล้มหายตายจากเป็นจำนวนมาก ส่วนที่ทำธุรกิจอยู่ก็ยังประสบปัญหาอย่างมาก
 
จึงต้องการให้รัฐเข้ามาเร่งแก้ปัญหาช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะการออกแพ็กเกจสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ที่ออกแบบให้เข้าถึงผู้ประกอบการอย่างแท้จริง รวมถึงการขยายตลาดเพิ่มเติมให้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
 
“ดัชนีความเชื่อมั่นยังไม่ปรับขึ้น เพราะยังมีหลายปัจจัยส่งผลกระทบ เช่น สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเชีย-ยูเครน ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าโลก รวมทั้งกระทบต่อราคาสินค้านำเข้าประเภทวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี สินค้ากลุ่มโลหะ ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไม่คลี่คลาย และพื้นที่บนเรือไม่เพียงพอต่อความต้องการส่งออกสินค้า รวมทั้งความล่าช้าของเรือขนส่งยังเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคการส่งออก อีกทั้งปัจจัยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าสุด ในรอบ 5 ปี แม้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ส่งออกก็ตาม แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ เงินบาทที่อ่อนค่าจะส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจนอาจยิ่งเร่งให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอีกได้”
 
นอกจากนี้ นโยบายปิดเมืองของจีนเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การขนส่งสินค้ามีความล่าช้า รวมถึงเกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และส่งผลกระทบต่อซัพพายเชน ในตลาดโลก แต่การยกเลิกระบบเทสต์ แอนด์ โก เพื่อเปิดประเทศเต็มรูปแบบในวันที่ 1 พ.ค. 2565 จะสนับสนุนให้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในระยะต่อไป
 
นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคเอกชนมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชน เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 5 และขยายจำนวนสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทาน ที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ, ดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนจนเกินไป และให้สอดคล้องกับประเทศอื่นในภูมิภาค เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ และออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังการเปิดประเทศ
 


'ยุทธพงศ์' จ่อยื่นหนังสือ'บิ๊กตู่' แฉหลักฐานพิรุธเปลี่ยนทีโออาร์ประมูลท่อส่งน้ำอีอีซี
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7056024
 
‘ยุทธพงศ์’ จ่อยื่นหนังสือ ‘บิ๊กตู่’ แฉหลักฐานพิรุธเปลี่ยนทีโออาร์ประมูลท่อส่งน้ำอีอีซี ปูดเสี่ยคนสนิท “สันติ” ขู่คกก.ต้องให้บริษัทแห่งหนึ่งชนะประมูลเท่านั้น
  
เมื่อเวลา 10.50 น. วันที่ 18 พ.ค.65 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสสเถียร ส.ส.มหาสารคาม ฐานะรองหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี และ น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคพท.ร่วมแถลงข่าวกรณีความไม่โปร่งใสการประมูลโครงการท่อส่งน้ำสายหลักใน EEC มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาทว่า
 
ตนจะล้มรัฐบาลด้วยเรื่องนี้ ทั้งนี้ ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ สั่งให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ตั้งกรรมการสอบ โดยนายอาคมตั้งนายวิจักษณ์ อภิรักษ์นันท์ชัย ผู้ตรวจราชการฯ มาสอบ โดยจะสรุปผลสอบวันที่ 20 พ.ค.นี้ ดังนั้นในวันที่ 19 พ.ค. เวลา 13.00 น. ตนจะไปยื่นหนังสือให้ พล.อ.ประยุทธ์ ฐานะประธานอีอีซี และนายอาคม ฐานะประธานที่ราชพัสดุ โดยจะเอาหลักฐานที่นายยุทธนา หยิมการุณ อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์  เปลี่ยนคณะกรรมการประมูล และเปลี่ยนทีโออาร์ ไปให้ดู
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ที่กรมธนารักษ์ระบุว่า ไม่ต้องเปิดประมูลทั่วไป เพราะไปจ้างที่ปรึกษา คือ ม.เกษตรศาสตร์ ค่าจ้างประมาณ 6.5 ล้านบาท เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวทางและกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนในการจัดให้เอกชนเช่าบริหารโครงการระบบท่อส่งน้ำภาคตะวันออก แต่เมื่อไปเปิดสัญญาจ้าง 30 ต.ค.63 ข้อ 12 ซึ่งระบุว่า จ้างช่วงไม่ได้ ม.เกษตรศาสตร์ต้องไม่เอางานทั้งหมดหรือบางส่วนไปจ้างช่วงอีกทอด แต่กลับมีการไปจ้างมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) แทน โดยมีอาจารย์ ม.เกษตรฯเพียง 4 คน ที่เหลือเป็นคนนอกหมด เหมือนแค่ไปจ้างเอาหัว ม.เกษตรฯ มาอ้างเท่านั้น และเมื่อไปดูระเบียบกระทรวงการคลังฯ ว่าด้วยการคัดเลือกเอกชนเพื่อจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุที่มูลค่าเกิน 500 ล้านบาท พ.ศ.2564 ต้องใช้วิธีประมูลก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยใช้วิธีเฉพะเจาะจง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานอีอีซีภาษาอะไร ระเบียบดังกล่าวก็ออกในสมัยคุณ ทำไมไม่ใช้วิธีประมูล เท่ากับคุณละเว้น ไม่เคยทำอะไรเลย พวกคุณโกง ดังนั้นอย่าหนีไปไหน เราอภิปรายคุณแน่ และในวันที่ 20 พ.ค.นี้ขอท้านายวิจักษณ์ให้คุณสรุปฟอกขาวออกมาเลย
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ประมูลเที่ยวนี้มีพิรุธ ประมูลครั้งแรกเมื่อ 26 ส.ค.64 บ.อีสท์วอเตอร์ชนะการประมูลไปแล้ว จากนั้นมีการทำหนังสือขอยกเลิกการประกวดราคาครั้งที่ 1 บ.อีสท์วอเตอร์ฯ จึงฟ้องศาลปกครองซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี นายยุทธนาฐานะประธานคัดเลือกต้องรับผิดชอบที่ไปยกเลิกการประมูล เพราะคณะกรรมการคัดเลือกมีเพียงนายยุทธนาคนเดียวที่ไม่เห็นด้วย และสั่งคว่ำการประมูล เมื่อไปแจงกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายยุทธนาระบุว่า คณะกรรมการไม่เห็นด้วยและลาออกซึ่งไม่จริง ขอท้าให้เอาหลักฐานมาโชว์ และในการประมูลครั้งที่ 2 ยื่นซองวันที่ 29 ก.ย.64 ก่อนที่นายยุทธนาจะเกษียณราชการวันที่ 30 ก.ย.64 มีการเปลี่ยนกรรมการใหม่ยกชุด มีเพียงนายยุทธนาซึ่งเป็นประธานที่ยังอยู่ และให้บริษัทแห่งหนึ่งชนะ นี่เป็นข้อพิรุธ
  
“นอกจากนี้มีตัวละครเป็นเสี่ยคนหนึ่ง ซึ่งนายสันติรู้จักดี มาขู่คณะกรรมการว่า บริษัทแห่งหนึ่งเท่านั้นที่ต้องชนะ ดังนั้นผมเตรียมจะแฉในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่าเสี่ยคนนี้เป็นใคร งานนี้ต้องเอาติดคุกติดตะรางแน่ พรรคพท.ประกาศพร้อมล้มรัฐบาล เอกสารหลักฐานมีหมด เรื่องนี้ได้เสียแน่ ไล่ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ นายอาคม และนายสันติ อภิปรายไม่วางใจเที่ยวนี้คุณโดนแน่ มั่นใจว่าข้อมูลที่มีล้มพวกคุณได้แน่นอน” นายยุทธพงศ์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่