สวัสดีครับ มันอาจจะเป็นเรื่องราวที่น่าเบื่อ แต่บางครั้งผมเองก็หาทางออกไม่ได้ ขออนุญาตพูดถึงเรื่องราวของตัวเองนะครับ ไม่ได้จะว่าใครหรือ อาชีพไหน เพราะมันคือเหตุการณ์จริงที่เจอมา จนมาถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมหาทางออกยังไม่ได้
เรื่องมีอยู่ว่า ผมคบกับภรรยา มาตอนนี้ก็ ได้ประมาณ 5 ปี แล้วครับ
ในปีแรกที่เราคบกัน ผมเป็นลูกจ้างหน่วยงานราชการ เงินเดือน 9,000 บาทเธอ เป็นครูยังไม่ได้บรรจุใน เงินเดินก็หลัดพันเหมือนกัน แต่เธอมีรายได้เพิ่มจากการสอนพิเศษ จึกทำให้เธอนั้น มีช่องทางการหารายได้เพิ่ม คนกันแรก ผมก็มีรถกระบะเก่าๆทร่ขับไปหาเธอบ่อยๆ ระยะทางก็ประมาณ 90 กิโลเมตร ไปกลับก็ ประมาณ 180 กิโลเมตร หลังเลิกงานผมไปหาเธอ เช้ามาผมก็กลับมาทำงานเนื่องจากอยู่คนละอำเภอ ช่วงนั้นนองจากงานประจำ ผมก็ทำธุรกิจร้านอาหานกับเพื่อน ร่วมหุ้นกัน พอทำทั้ง สองอย่างแล้วเวลาต่างๆก็น้อยลง งานต่างๆก็รัดตัวมากขึ้น ผ่านมาได้ 3 เดือน เธอก็บอกว่ารถผมเก่าเวลาสตาร์ท จะต้องเผาหัวเทียน ซึ่งมัยเสียงดังเวลาสตาร์ท กลัวว่าห้องพักอื่นๆดขาจะรำคาญ จึกได้ชวนผมไป ซื้อรถใหม่ ในช่วงแรกผมก็มาดูว่า ค่าใช้จ่ายต่างๆผมก็เยอะขึ้น รายได้ก็ยังไม่ได้ตอนโจทย์ เท่าไหร่นัก อีกทั้งงานประจำ ก็ทำงานไม่เป็นเวลาบางครั้ง หลังเลิกงานก็มีการสั่งงานเพิ่มเติม
เธอจึงลองให้ผมมาสอนพิเศษช่วย แล้ว เลิกทำร้านอาหารกับเพื่อน ผมก็มาลองสอนพิเศษช่วยก็พอไปได้เพราะผมไม่ได้เรียนทางด้ายครูมา เพียงแต่ถ่ายทอดประสบการณ์ที่เคยเรียนรู้ในเรื่องต่างไปที่เกี่ยวกับ เนื้อหาการเรียน พอสอนช่วยกันได้ เดือนกว่าๆ เธอก็รับคนมาเรียนเพิ่มได้ เพราะช่วงแรกเธอสอนคนเดียว เธอบอกเหนื่อยไม่ไหว หลังจากที่สอนได้ซักพักเธอก็คุยกับผมว่ามาช่วยกันสอนดีกว่า ผมเองก็คิดอยู่เป็นสัปดาห์และก็ปรึกษา พ่อกับแม่ พ่อกับแม่ก็มองเหผ้นว่ามันก็เป็นช่องทางที่ดีนะเงินก็ได้มากกว่างานประจำ ระหว่างที่ช่วยกันสอน เงินจากการสอนก็ใช้จ่ายปกติ เงินเดือนผมเวลาเงิดออกเธอก็มักงจะถาม ตอนนั้นผมก็คิดว่าเอาหละมาป่านนี้แล้ว ผมจึงคิดว่าคยกันต่อไป คนหนึ่งเข้าทางานราชการ อีกคนทำทางธุรกิจ น่าจะไปได้สวย ซื้อราชการตือถ้าเธอได้บรรจุ ธุรกิจคือการสอนพิเศษ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เอาดงินเดือนตัวเองมารวมกับสอนพิเศษ และเงินเดือนของเธอ แล้วใช้ด้วยกันแต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นคือ เธอส่งเงินให้แม่เธอใช้ทุกเดือน เดือนละ 3000-5000 บาท เธอมีหนี้ตอนเรียน ที่เอารถของญาติ ไปเข้าไฟแนนซ์ เดือนละ 12,000 บาท นอกนั้นคือใช้จ่ายอยากกินอะไรซื้อ อยากจะไปเที่ยวไหนก็ไปไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะใช้เหตุผลที่ว่าทำงานหาเงินมาเหนื่อย
หลังจากที่ผมออกจากงานมาสอนกับเธอเต็มตัว การสอนพิเศษก็เริ่มไปได้สวย มีคนสนใจมากขึ้น จากที่เราเช่าหอพัก สอน ดราก็เปลี่ยนมาเป็นเช่าอาคารพานิชย์ เพิ่มที่จะ จัดห้องเรียนและทำสื่อการสอนต่างๆให้ได้ดีที่สุด ตอนที่บ้านมาเช่าอาคารพาณิชย์ ดงินแทบจะไม่มีเลย ผมจึงชวนเธอมาปรึกษาพ่อกับแม่ผม ว่าจะทำการสอนพิเศษ ท่านก็ให้เงินมาเป็นทุนในการลงทุน แต่ท่านบอกว่าทุนนี้คือการยืม จะต้องเอาเงินมาใช้คืนนะ เพราะมันเปผ้นเงินเก็บของท่าน ผมก็ตกลงลพสบายใจมากขึ้น หลังจากนั้นเราก็เราซื้อโต๊ะ เก้าอี้ ทีวี ต่างไป จนครบพร้อมสอน เราเริ่มจากเล็กๆและทำแบบนี้มาเรื่อยไป ในช่วยแรกปทนจะไม่มีเงินเหลือ เคยเหลือเงินติดตัว20 บาท ซท้อมาม่ามาต้มกันแทนข้าวเพราะ บริหารเงินไม่ได้จนมีคนให้ความสนใจ ในอำเภอนั้น ใครก็อยากจะเอาลูกมาเรียน เริ่มสินแบบนี้ ได้ 1 ปี เริ่มมีการคุยกันเรื่องแต่งาน เพราะผมไปสอนพิเศษและเช่าอยู่ที่นั่นเลย ก็เริ่มจะมีคำพูดแล้วตามปกติ คนแถวบ้าน ก็จะว่าเมื่อไหร่จะแต่ง จากเงินลงทุน 200,000 บาทที่พ่อกับแม่ให้มา ก็ทำให้มีรายได้เริ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หนี้ก็ใช้ไปเรื่อยไป ในช่วงแรกก็แทบไม่ได้ให้พ่อกับแม่ผมเลย มีแต่บางเดือนหมุมไม่ทันก็ ขอยืมท่านเพิ่ม ท่านก็ให้ตลอด จบเธอเอ่ยปากบอกว่าถ้าแต่งงาน พ่อกับแม่ให้มาเยอะแล้ว สินสอด ไม่ต้องหรอกก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจว่าเราไม่ต้องไปหาเงินมาจากที่อื่น เพราะตลอดเวลา เราหาเงินช่วยกัน ปละใช้ด้วยกัน
แต่แล้วทุกอย่างไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ปัญหาของครอบครัวก็ต้แงเกิดขึ้น ดมื่อเพื่อนๆของเธอมองว่า ผมทำงานอะไร อยู่เฉยๆแล้วก็สอนพิเศษ มาเกาะเธอกิน ช่วงแรกๆก็ไม่รุนแรง เพราะผมถามเธอตั้งแต่แรกแล้วว่าแนใจนะว่าจะให้ออกจากงานมันจะมีปํญหา เรื่องคนหนึ่งมางานทำอีกคนไม่มีงานไหม
เธอก็บอกไม่เป็นไรก็ช่วยกันทำช่วยกันสอนนี่ไง
พอหลายๆครั้งเข้า ผมก็พยายามคุยกับเธอและเข้าใจเธอ ว่าเธอไปทำงานอาจจะมีแรงกดดันเรื่องงานทำให้เครื่อง ก็ประคับประคองมาเรื่อยไป เวลามีงานเอกสาร งานใช้คอม เธอจะให้ผมทำให้ตาลอด ไม่ว่าจะงาน สอนพิเศษ ผมก็เป็นคนทำเนื้อหาทั้งหมด จะมีบ้างบางครั้งที่เราได้มาคุยกันว่าเนื้อหานี้ โอเค ไหม ใช้ได้หรือไม่ งานของโรงเรียนผมก็ทำให้เธอทุกอย่าง บาผงครั้งผมก็คิดในใจว่าที่ผมทำ มันยังไม่ดีพอไข่ไหม กลายเป็นว่าผมมาช่วยซัพพอร์ตเธอทุกอย่าง (อันนี้คือในความรู้สึกของผม) คนอื่นที่มองจากภายนอกอาจจะมองว่าผมอยู่เฉยๆผมไม่ได้ทำอะไรเลย รอสอน อย่างเดียว
บางครั้งผมก็คิดว่าการที่ผมสอนพิเศษ มันไม่ไช่ผมทำงานหรอ เงินผมก็เอามาลงทุน นี่มันไม่ไช่งานของผมไข่ไหม หรือผมต้องไปประกาศให้คนอื่นรู้หรอว่านี่คือเงินของผม
หลังจากที่เราสอนมาได้ 1 ปี เธอก็อยากแต่งงาน แม่เธอเป็นคนเข้าวัดบ่อย สวดมนต์ประจำ ตอนแรกผมก็สอบถามไป แม่เธอก็บอก สินสอด สามแสน ผมก็มาคุยกับพ่อกับแม่ผม ท่านก็ถามว่าจะเอายังไง เงินที่ลงทุนไปก็เงียบ แน่ใจไหม คุยกันได้อีกหรือไงไม่
ผมจึงกลับมาคุยกับแฟน แต่คำตอบที่ได้รับคือ แม่ของเธอได้ไปพูดกับหลวงนี้ที่เป็นญาติของเธอปล้วว่าเท่านี้ ปม่เธอไม่อยากที่จะผิดคำพูดกับพระ ตอนนั้นผมก็สตั้นไป เอ่อคือผมยังไงงงไปด้วยเหตุนี้ สรุปว่าก็เลยสินสอดตามนั้น พอได้สินสอนตามนั้น ผมเลยถือโอกาสนี้ถามแฟนว่า ทำไมแม่ใช้เงินเยอะจัง ให้ ระหว่างเดือนก็ให้เพิ่ม เทศกาลก็ให้เพิ่มอีก ตอนแรกผมคิดว่าถ้าเธอหมดหนี้ต่างเธอจะได้มีเงินมาให้พ่อกับแม่ผมที่ยืมมา ผมจึงทำทุกอย่างแบบไม่คิดอะไร
พอได้ถามเธอแล้วจึงได้รู้ว่าแม่เธอเป็นหนี้อีกก้อนหนึ่ง ผมจึงบอกว่าเงินสิสอดนี้ขอแย่างได้ไหม ไปใช้หนี้แม่ให้หมด เพื่อต่อไปจะได้ไม่ต้องมาคิดว่าค่าตัดดอกคนนั้นคนนี้ ผมก็คิดว่าเธอกตัญญู จึงไม่อยากพูดเรื่องส่งเงินให้แม่ใช้ในแต่ละเดือน
เวลาเธออยากจะได้อะไรผมก็ให้เธอก่อนเสมอ นาฬิกา โทรศัพท์ เครื่องสำอาง ใช้เงินสอนพิเศษทั้งนั้น
มันก็ไปได้เรื่อยๆ แต่ไม่มีเงินเก็บซักที จนผ่านไปสามปี โอกาสก็มาถึงเมื่อเธอ ตั้งครรภ์ ลูกของเรา ซื้อผมเองก็ ทั้งดีใจทัเง งง เพราะว่าตลอดเวลานั้น ผมคิดว่าคนปกติเค้าตั้งแต่คบกันจนแต่งงานกัน เรื่องบนเตียงเค้าคงไม่ขาด แต่ผมนี้ บ่อยสุดเดือนละครั้ง บางที สองสามเดือนที สะกิดไม่ได้บอกเหนื่อย (ผมเองก็เป็นคนที่มีความต้องการ อยู่แล้ว ผมก็ว่าผมก็พยายามเข้าใจเธอ
จนมาวันหนึ่ง ผมจึงคิดว่าถ้าเธอเปลี่ยน จากมาอยู่ตัวอำเภอ เข้าไปอยู่ในจังหวัด วิธีคิดวิธีการใช้เงินอาจจะเปลี้ยยแปลง เพราตลอดระยะเวลา สามปี ผมแทบจะไม่ขออะไรเลย นอกจากเธอหมดหนี้ หลังจากเธอตั้งครรภ์ได้5 เดือน
ผมก็เลยพูดว่า พ่อมีที่อยู่แปลงหนึ่ง พวกเธอควรจะมีบ้านอยู่ในตัวจังหวัดได้แล้ว เวลาลูกโต จะได้มีบ้านไม่ต้องไปหาซื้อ พ่อก็เอาเงินบำนาญ มาสร้างบ้านให้ ปต่ก็แบบเดิมคือ ยืม ต้องคืนนะ เพราะถ้าวันหนึ่งพ่อเป็นอะไรไป ลูกจะได้มีทุน เราจึงได้สร้างบ้าน ตามแบบที่แฟนผมต้องการ เธอชอบแบบไหนยังไง หลังจากนั้นเราก็ยังกลับไปสอนพิเศษที่ต่างอะเภอเหมือนเดิม เพราะรายได้หลักคือสอนพิเศษ
แล้วโอกาสก็มาถึงเมื่อเธอเข้ามาสอนเข้าทำงานที่โรงเรียนในจังหวัด แต่ก็เป็นตำแหน่งทั่วไปที่ยังไม่ได้บรรจุ จังหวะพอดี เธอคลอดลูก ไม่มีเงินเก็บเลย จึงยืมแม่อีก 40,000 เพราะผ่าคลอด หลังเธอคลอดลูกแล้วก็ได้งานใหม่เลย เราจึงย้ายเข้ามาในตัวจังหวัด ที่สอนพิเศษเดิมเราก็ ปล่อยเซ็งอุปกรณ์ต่างๆให้คนอื่น เพราะจะได้นำเงินมาคืนแม่ ที่ยืมไปในก้อนแรก และกะว่าจะให้หนี้ ที่เธอไปยืมรถญาติไปเข้าไฟแนนซ์ แล้วเราก็ได้คืนดงินปม่ไป และ ปิดหนี้รถที่ยืมญาติเธอมา สำเร็จ
พอเธอเข้ามาอยู่ตัวจังหวัด ผมก็ว่างงาน ที่บ้านทำธุรกิจน้ำดื่ม จึงคุยกันอีกว่าจะสอนพิเศษในตัวจังหวัด ก็ยืมเงินแม่มาสร้างห้องสอนพิเศษ เพิ่มอีก
เราก็เริ่มสอนพิเศษกันใหม่ แรกๆก็มีปัญญา เนื่องจากเราไปใหม่ เขาก็จะมีเจ้าถิ่วนอยู่เลยอะ ในจังหวัด
พ่อและผมก็ให้คำปรึกษา และแนวทางการแก้ไข พาแก้ปัญหา จนปัญหานั้นได้ผ่านไปและทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น แต่เวลาที่เธอไปพูดถึงเรื่องนี้นั้น มีแต่เธอทำเองหมด คิดเองหมด เวลาที่เธอพูดกับคนอื่น เราก็ยังสอนพิเศษเป็นหลัก
เธอเแงก็ได้พบปะผู้คนมากขึ้น เนื้องจากเป็นโรงเรียนที่มีชื่อ จึงทำให้เธอได้พบปะกับผู้ปกครอง นักเรียน ที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าของธุรกิจ จึงทำให้เธอ
เริ่มาพูดกับผม บ่นกับผม ทำไมสามีคนอื่น เขาช่วยกันหาเงิน แล้วทำไมผมไม่คิดที่จะหาอะไรทำ คนอื่นอฟนเค้าดิ้นรน เช่น เปิดร้านป้าย เสาร์อาทิตย์ เขาไป เปิดร้านกาแฟข้างถนนขาย สอนพิเศษก็ไม่รู้ว่าจะสอนได้ถึงเมื่อไหร่
ได้ยืนแบบนี้แรกๆก็อดทด หลังๆเริ่มบ่อยขึ้น ผมก็เริ่มทนหังไม่ไหว ก็มีการทะเลาะกันเกิดขึ้น ผมก็บอกเอ้าตอนแรกก็ถามอยู่ไงแน่ใจไหมจะให้ออกมา เธอก็บอกไม่เป็นไรช่วยกันทำ แต่ตอนนี้เธอบ่น และ พูดว่าเธอหาเงินคนเดียว ทำไมไม่คิดจะช่วยกันหาเงินบ้าง บ้านหลังนี้เธอไม่ได้ต้องการ มันก็ไม่ไช่ชื่อเธอ ตอนนี้เธอก็ช่วยใช้หนี้ ทำไมไม่ไปหาเงินมาช่วยกัน แล้วก็บอกกับผมว่า ถ้าเป็นแบบนี้มันจะมีจุดอิ่มตัว ถ้าเธอหาเงินคนเดียว สามีที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ก็ยกตัวอย่างคนอื่นที่ เค้าทำงานแล้วอีกคนไม่ได้ทำงาน ว่าเค้าเลิกกันเพราะเหตุนี้
ตอนนี้ผมอายุ 37 ปีแล้ว ผมเข้าใจว่ามันก็ยังมีโอกาสหางาน พอผมพูดเรื่องหางานทำ เธอก็จะพูดว่างั้นก็เลิกสอนพิเศษ แล้วก็ไปทำงาน แต่รายจ่ายแต่ละเดือน หารสองจ่ายคนละครึ่ง ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงถ้าสอนพิเศษด้วยกัน ก็บอกหาเงินคนเดียว ถ้าจะไปหางาน ค่าใช้จ่ายการครึ่ง
แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอส่งเงินให้แม่เธอกินแม่เธอใช้ ตลอด หนี้เธอหมด เหลือแต่รถที่ออกมาใหม่เป็นชื่อของเธอ อีกปีกว่าๆก็จะหมดงวดแล้ว
นี่ขนาดเธอยังไม่ได้บรรจุ เป็นข้าราชการ ถ้าผมไปทำงาน คือใช้จ่ายแต่ละเดือนก็ตกไป 3-4 หมื่น หารสองผมก็ต้แงจ่าย 15,000-20,000 บาท
ผมจะไปหางานที่ไหนอายุเท่านี้ ยังไม่รวมค่าใช้จ่าย ในแต่ละวัน สี่มีค่าน่ำ ค่า ไฟ ค่างวดรถ ค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ตบ้าน ตอนนี้ผมคิดไม่ออกเลย ผมจะไปหางานที่ไหนทำได้เงิน 3-4 หมื่น ช่วงอายุที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าทุ่มให้กับการสอนพิเศษหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ผมยังคิดว่าอย่างน้อยๆก็สงสารลูกให้ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ปตามาวันนี้ เธอพูดถึงจุดอิ่มตัว ทำให้ผมคิดไม่ออกเลยว่าต่อไปผมจะเดินทางไหน
ธุรกิจที่บ้านก็กำลังมีปัญญา พอคุยกับแฟนก็ว่า ดูแล้วผมไม่มีปัญญาทำได้ เพราะต้องรอให้เค้าสั่งอยู่ตลอดเวลา ปล่อยให้มันเจ้งไปเหอะ
ผผมจะตัดสินใจอะไรได้ถ้าผมทำอะไรไม่ถูกใจเธอ เธอก็ไม่เอา แล้วก็บอกว่าทำไมผมไม่มีความเป็นผู้นำเลย ผมจะนำได้ยังไงในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตามเลย มีแต่จะขัด สุดท้ายพอขัดผมก็ต้องยอม ตอนนี้ผมก็เริ่มคิดวิตกมากว่า จริงๆแล้วผมอาจจะถึงจุดแิ่มตัวนานแล้วแต่พอเห็นหน้าลูกผมก็ไม่อยากอยู่ห่างลูก ในส่วนที่ดีของเค้าก็มีไม่ไช่ไม่มี แต่เวลาที่คุยกันเรื่องนี้ มันเหมือนจะมีทางออกทางเดียวคือแยกทางซึ้งผมเองก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ขนาดเธอพูดแบบนี้ เป็นแบบนี้
คำพูดที่ว่า (ฉันเหนื่อยฉันทำงานคนเดียว) คนหนึ่งทำงาน อีกคนไม่ได้ทำงาน
เรื่องมีอยู่ว่า ผมคบกับภรรยา มาตอนนี้ก็ ได้ประมาณ 5 ปี แล้วครับ
ในปีแรกที่เราคบกัน ผมเป็นลูกจ้างหน่วยงานราชการ เงินเดือน 9,000 บาทเธอ เป็นครูยังไม่ได้บรรจุใน เงินเดินก็หลัดพันเหมือนกัน แต่เธอมีรายได้เพิ่มจากการสอนพิเศษ จึกทำให้เธอนั้น มีช่องทางการหารายได้เพิ่ม คนกันแรก ผมก็มีรถกระบะเก่าๆทร่ขับไปหาเธอบ่อยๆ ระยะทางก็ประมาณ 90 กิโลเมตร ไปกลับก็ ประมาณ 180 กิโลเมตร หลังเลิกงานผมไปหาเธอ เช้ามาผมก็กลับมาทำงานเนื่องจากอยู่คนละอำเภอ ช่วงนั้นนองจากงานประจำ ผมก็ทำธุรกิจร้านอาหานกับเพื่อน ร่วมหุ้นกัน พอทำทั้ง สองอย่างแล้วเวลาต่างๆก็น้อยลง งานต่างๆก็รัดตัวมากขึ้น ผ่านมาได้ 3 เดือน เธอก็บอกว่ารถผมเก่าเวลาสตาร์ท จะต้องเผาหัวเทียน ซึ่งมัยเสียงดังเวลาสตาร์ท กลัวว่าห้องพักอื่นๆดขาจะรำคาญ จึกได้ชวนผมไป ซื้อรถใหม่ ในช่วงแรกผมก็มาดูว่า ค่าใช้จ่ายต่างๆผมก็เยอะขึ้น รายได้ก็ยังไม่ได้ตอนโจทย์ เท่าไหร่นัก อีกทั้งงานประจำ ก็ทำงานไม่เป็นเวลาบางครั้ง หลังเลิกงานก็มีการสั่งงานเพิ่มเติม
เธอจึงลองให้ผมมาสอนพิเศษช่วย แล้ว เลิกทำร้านอาหารกับเพื่อน ผมก็มาลองสอนพิเศษช่วยก็พอไปได้เพราะผมไม่ได้เรียนทางด้ายครูมา เพียงแต่ถ่ายทอดประสบการณ์ที่เคยเรียนรู้ในเรื่องต่างไปที่เกี่ยวกับ เนื้อหาการเรียน พอสอนช่วยกันได้ เดือนกว่าๆ เธอก็รับคนมาเรียนเพิ่มได้ เพราะช่วงแรกเธอสอนคนเดียว เธอบอกเหนื่อยไม่ไหว หลังจากที่สอนได้ซักพักเธอก็คุยกับผมว่ามาช่วยกันสอนดีกว่า ผมเองก็คิดอยู่เป็นสัปดาห์และก็ปรึกษา พ่อกับแม่ พ่อกับแม่ก็มองเหผ้นว่ามันก็เป็นช่องทางที่ดีนะเงินก็ได้มากกว่างานประจำ ระหว่างที่ช่วยกันสอน เงินจากการสอนก็ใช้จ่ายปกติ เงินเดือนผมเวลาเงิดออกเธอก็มักงจะถาม ตอนนั้นผมก็คิดว่าเอาหละมาป่านนี้แล้ว ผมจึงคิดว่าคยกันต่อไป คนหนึ่งเข้าทางานราชการ อีกคนทำทางธุรกิจ น่าจะไปได้สวย ซื้อราชการตือถ้าเธอได้บรรจุ ธุรกิจคือการสอนพิเศษ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เอาดงินเดือนตัวเองมารวมกับสอนพิเศษ และเงินเดือนของเธอ แล้วใช้ด้วยกันแต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นคือ เธอส่งเงินให้แม่เธอใช้ทุกเดือน เดือนละ 3000-5000 บาท เธอมีหนี้ตอนเรียน ที่เอารถของญาติ ไปเข้าไฟแนนซ์ เดือนละ 12,000 บาท นอกนั้นคือใช้จ่ายอยากกินอะไรซื้อ อยากจะไปเที่ยวไหนก็ไปไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะใช้เหตุผลที่ว่าทำงานหาเงินมาเหนื่อย
หลังจากที่ผมออกจากงานมาสอนกับเธอเต็มตัว การสอนพิเศษก็เริ่มไปได้สวย มีคนสนใจมากขึ้น จากที่เราเช่าหอพัก สอน ดราก็เปลี่ยนมาเป็นเช่าอาคารพานิชย์ เพิ่มที่จะ จัดห้องเรียนและทำสื่อการสอนต่างๆให้ได้ดีที่สุด ตอนที่บ้านมาเช่าอาคารพาณิชย์ ดงินแทบจะไม่มีเลย ผมจึงชวนเธอมาปรึกษาพ่อกับแม่ผม ว่าจะทำการสอนพิเศษ ท่านก็ให้เงินมาเป็นทุนในการลงทุน แต่ท่านบอกว่าทุนนี้คือการยืม จะต้องเอาเงินมาใช้คืนนะ เพราะมันเปผ้นเงินเก็บของท่าน ผมก็ตกลงลพสบายใจมากขึ้น หลังจากนั้นเราก็เราซื้อโต๊ะ เก้าอี้ ทีวี ต่างไป จนครบพร้อมสอน เราเริ่มจากเล็กๆและทำแบบนี้มาเรื่อยไป ในช่วยแรกปทนจะไม่มีเงินเหลือ เคยเหลือเงินติดตัว20 บาท ซท้อมาม่ามาต้มกันแทนข้าวเพราะ บริหารเงินไม่ได้จนมีคนให้ความสนใจ ในอำเภอนั้น ใครก็อยากจะเอาลูกมาเรียน เริ่มสินแบบนี้ ได้ 1 ปี เริ่มมีการคุยกันเรื่องแต่งาน เพราะผมไปสอนพิเศษและเช่าอยู่ที่นั่นเลย ก็เริ่มจะมีคำพูดแล้วตามปกติ คนแถวบ้าน ก็จะว่าเมื่อไหร่จะแต่ง จากเงินลงทุน 200,000 บาทที่พ่อกับแม่ให้มา ก็ทำให้มีรายได้เริ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หนี้ก็ใช้ไปเรื่อยไป ในช่วงแรกก็แทบไม่ได้ให้พ่อกับแม่ผมเลย มีแต่บางเดือนหมุมไม่ทันก็ ขอยืมท่านเพิ่ม ท่านก็ให้ตลอด จบเธอเอ่ยปากบอกว่าถ้าแต่งงาน พ่อกับแม่ให้มาเยอะแล้ว สินสอด ไม่ต้องหรอกก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจว่าเราไม่ต้องไปหาเงินมาจากที่อื่น เพราะตลอดเวลา เราหาเงินช่วยกัน ปละใช้ด้วยกัน
แต่แล้วทุกอย่างไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ปัญหาของครอบครัวก็ต้แงเกิดขึ้น ดมื่อเพื่อนๆของเธอมองว่า ผมทำงานอะไร อยู่เฉยๆแล้วก็สอนพิเศษ มาเกาะเธอกิน ช่วงแรกๆก็ไม่รุนแรง เพราะผมถามเธอตั้งแต่แรกแล้วว่าแนใจนะว่าจะให้ออกจากงานมันจะมีปํญหา เรื่องคนหนึ่งมางานทำอีกคนไม่มีงานไหม
เธอก็บอกไม่เป็นไรก็ช่วยกันทำช่วยกันสอนนี่ไง
พอหลายๆครั้งเข้า ผมก็พยายามคุยกับเธอและเข้าใจเธอ ว่าเธอไปทำงานอาจจะมีแรงกดดันเรื่องงานทำให้เครื่อง ก็ประคับประคองมาเรื่อยไป เวลามีงานเอกสาร งานใช้คอม เธอจะให้ผมทำให้ตาลอด ไม่ว่าจะงาน สอนพิเศษ ผมก็เป็นคนทำเนื้อหาทั้งหมด จะมีบ้างบางครั้งที่เราได้มาคุยกันว่าเนื้อหานี้ โอเค ไหม ใช้ได้หรือไม่ งานของโรงเรียนผมก็ทำให้เธอทุกอย่าง บาผงครั้งผมก็คิดในใจว่าที่ผมทำ มันยังไม่ดีพอไข่ไหม กลายเป็นว่าผมมาช่วยซัพพอร์ตเธอทุกอย่าง (อันนี้คือในความรู้สึกของผม) คนอื่นที่มองจากภายนอกอาจจะมองว่าผมอยู่เฉยๆผมไม่ได้ทำอะไรเลย รอสอน อย่างเดียว
บางครั้งผมก็คิดว่าการที่ผมสอนพิเศษ มันไม่ไช่ผมทำงานหรอ เงินผมก็เอามาลงทุน นี่มันไม่ไช่งานของผมไข่ไหม หรือผมต้องไปประกาศให้คนอื่นรู้หรอว่านี่คือเงินของผม
หลังจากที่เราสอนมาได้ 1 ปี เธอก็อยากแต่งงาน แม่เธอเป็นคนเข้าวัดบ่อย สวดมนต์ประจำ ตอนแรกผมก็สอบถามไป แม่เธอก็บอก สินสอด สามแสน ผมก็มาคุยกับพ่อกับแม่ผม ท่านก็ถามว่าจะเอายังไง เงินที่ลงทุนไปก็เงียบ แน่ใจไหม คุยกันได้อีกหรือไงไม่
ผมจึงกลับมาคุยกับแฟน แต่คำตอบที่ได้รับคือ แม่ของเธอได้ไปพูดกับหลวงนี้ที่เป็นญาติของเธอปล้วว่าเท่านี้ ปม่เธอไม่อยากที่จะผิดคำพูดกับพระ ตอนนั้นผมก็สตั้นไป เอ่อคือผมยังไงงงไปด้วยเหตุนี้ สรุปว่าก็เลยสินสอดตามนั้น พอได้สินสอนตามนั้น ผมเลยถือโอกาสนี้ถามแฟนว่า ทำไมแม่ใช้เงินเยอะจัง ให้ ระหว่างเดือนก็ให้เพิ่ม เทศกาลก็ให้เพิ่มอีก ตอนแรกผมคิดว่าถ้าเธอหมดหนี้ต่างเธอจะได้มีเงินมาให้พ่อกับแม่ผมที่ยืมมา ผมจึงทำทุกอย่างแบบไม่คิดอะไร
พอได้ถามเธอแล้วจึงได้รู้ว่าแม่เธอเป็นหนี้อีกก้อนหนึ่ง ผมจึงบอกว่าเงินสิสอดนี้ขอแย่างได้ไหม ไปใช้หนี้แม่ให้หมด เพื่อต่อไปจะได้ไม่ต้องมาคิดว่าค่าตัดดอกคนนั้นคนนี้ ผมก็คิดว่าเธอกตัญญู จึงไม่อยากพูดเรื่องส่งเงินให้แม่ใช้ในแต่ละเดือน
เวลาเธออยากจะได้อะไรผมก็ให้เธอก่อนเสมอ นาฬิกา โทรศัพท์ เครื่องสำอาง ใช้เงินสอนพิเศษทั้งนั้น
มันก็ไปได้เรื่อยๆ แต่ไม่มีเงินเก็บซักที จนผ่านไปสามปี โอกาสก็มาถึงเมื่อเธอ ตั้งครรภ์ ลูกของเรา ซื้อผมเองก็ ทั้งดีใจทัเง งง เพราะว่าตลอดเวลานั้น ผมคิดว่าคนปกติเค้าตั้งแต่คบกันจนแต่งงานกัน เรื่องบนเตียงเค้าคงไม่ขาด แต่ผมนี้ บ่อยสุดเดือนละครั้ง บางที สองสามเดือนที สะกิดไม่ได้บอกเหนื่อย (ผมเองก็เป็นคนที่มีความต้องการ อยู่แล้ว ผมก็ว่าผมก็พยายามเข้าใจเธอ
จนมาวันหนึ่ง ผมจึงคิดว่าถ้าเธอเปลี่ยน จากมาอยู่ตัวอำเภอ เข้าไปอยู่ในจังหวัด วิธีคิดวิธีการใช้เงินอาจจะเปลี้ยยแปลง เพราตลอดระยะเวลา สามปี ผมแทบจะไม่ขออะไรเลย นอกจากเธอหมดหนี้ หลังจากเธอตั้งครรภ์ได้5 เดือน
ผมก็เลยพูดว่า พ่อมีที่อยู่แปลงหนึ่ง พวกเธอควรจะมีบ้านอยู่ในตัวจังหวัดได้แล้ว เวลาลูกโต จะได้มีบ้านไม่ต้องไปหาซื้อ พ่อก็เอาเงินบำนาญ มาสร้างบ้านให้ ปต่ก็แบบเดิมคือ ยืม ต้องคืนนะ เพราะถ้าวันหนึ่งพ่อเป็นอะไรไป ลูกจะได้มีทุน เราจึงได้สร้างบ้าน ตามแบบที่แฟนผมต้องการ เธอชอบแบบไหนยังไง หลังจากนั้นเราก็ยังกลับไปสอนพิเศษที่ต่างอะเภอเหมือนเดิม เพราะรายได้หลักคือสอนพิเศษ
แล้วโอกาสก็มาถึงเมื่อเธอเข้ามาสอนเข้าทำงานที่โรงเรียนในจังหวัด แต่ก็เป็นตำแหน่งทั่วไปที่ยังไม่ได้บรรจุ จังหวะพอดี เธอคลอดลูก ไม่มีเงินเก็บเลย จึงยืมแม่อีก 40,000 เพราะผ่าคลอด หลังเธอคลอดลูกแล้วก็ได้งานใหม่เลย เราจึงย้ายเข้ามาในตัวจังหวัด ที่สอนพิเศษเดิมเราก็ ปล่อยเซ็งอุปกรณ์ต่างๆให้คนอื่น เพราะจะได้นำเงินมาคืนแม่ ที่ยืมไปในก้อนแรก และกะว่าจะให้หนี้ ที่เธอไปยืมรถญาติไปเข้าไฟแนนซ์ แล้วเราก็ได้คืนดงินปม่ไป และ ปิดหนี้รถที่ยืมญาติเธอมา สำเร็จ
พอเธอเข้ามาอยู่ตัวจังหวัด ผมก็ว่างงาน ที่บ้านทำธุรกิจน้ำดื่ม จึงคุยกันอีกว่าจะสอนพิเศษในตัวจังหวัด ก็ยืมเงินแม่มาสร้างห้องสอนพิเศษ เพิ่มอีก
เราก็เริ่มสอนพิเศษกันใหม่ แรกๆก็มีปัญญา เนื่องจากเราไปใหม่ เขาก็จะมีเจ้าถิ่วนอยู่เลยอะ ในจังหวัด
พ่อและผมก็ให้คำปรึกษา และแนวทางการแก้ไข พาแก้ปัญหา จนปัญหานั้นได้ผ่านไปและทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น แต่เวลาที่เธอไปพูดถึงเรื่องนี้นั้น มีแต่เธอทำเองหมด คิดเองหมด เวลาที่เธอพูดกับคนอื่น เราก็ยังสอนพิเศษเป็นหลัก
เธอเแงก็ได้พบปะผู้คนมากขึ้น เนื้องจากเป็นโรงเรียนที่มีชื่อ จึงทำให้เธอได้พบปะกับผู้ปกครอง นักเรียน ที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าของธุรกิจ จึงทำให้เธอ
เริ่มาพูดกับผม บ่นกับผม ทำไมสามีคนอื่น เขาช่วยกันหาเงิน แล้วทำไมผมไม่คิดที่จะหาอะไรทำ คนอื่นอฟนเค้าดิ้นรน เช่น เปิดร้านป้าย เสาร์อาทิตย์ เขาไป เปิดร้านกาแฟข้างถนนขาย สอนพิเศษก็ไม่รู้ว่าจะสอนได้ถึงเมื่อไหร่
ได้ยืนแบบนี้แรกๆก็อดทด หลังๆเริ่มบ่อยขึ้น ผมก็เริ่มทนหังไม่ไหว ก็มีการทะเลาะกันเกิดขึ้น ผมก็บอกเอ้าตอนแรกก็ถามอยู่ไงแน่ใจไหมจะให้ออกมา เธอก็บอกไม่เป็นไรช่วยกันทำ แต่ตอนนี้เธอบ่น และ พูดว่าเธอหาเงินคนเดียว ทำไมไม่คิดจะช่วยกันหาเงินบ้าง บ้านหลังนี้เธอไม่ได้ต้องการ มันก็ไม่ไช่ชื่อเธอ ตอนนี้เธอก็ช่วยใช้หนี้ ทำไมไม่ไปหาเงินมาช่วยกัน แล้วก็บอกกับผมว่า ถ้าเป็นแบบนี้มันจะมีจุดอิ่มตัว ถ้าเธอหาเงินคนเดียว สามีที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ก็ยกตัวอย่างคนอื่นที่ เค้าทำงานแล้วอีกคนไม่ได้ทำงาน ว่าเค้าเลิกกันเพราะเหตุนี้
ตอนนี้ผมอายุ 37 ปีแล้ว ผมเข้าใจว่ามันก็ยังมีโอกาสหางาน พอผมพูดเรื่องหางานทำ เธอก็จะพูดว่างั้นก็เลิกสอนพิเศษ แล้วก็ไปทำงาน แต่รายจ่ายแต่ละเดือน หารสองจ่ายคนละครึ่ง ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงถ้าสอนพิเศษด้วยกัน ก็บอกหาเงินคนเดียว ถ้าจะไปหางาน ค่าใช้จ่ายการครึ่ง
แล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอส่งเงินให้แม่เธอกินแม่เธอใช้ ตลอด หนี้เธอหมด เหลือแต่รถที่ออกมาใหม่เป็นชื่อของเธอ อีกปีกว่าๆก็จะหมดงวดแล้ว
นี่ขนาดเธอยังไม่ได้บรรจุ เป็นข้าราชการ ถ้าผมไปทำงาน คือใช้จ่ายแต่ละเดือนก็ตกไป 3-4 หมื่น หารสองผมก็ต้แงจ่าย 15,000-20,000 บาท
ผมจะไปหางานที่ไหนอายุเท่านี้ ยังไม่รวมค่าใช้จ่าย ในแต่ละวัน สี่มีค่าน่ำ ค่า ไฟ ค่างวดรถ ค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ตบ้าน ตอนนี้ผมคิดไม่ออกเลย ผมจะไปหางานที่ไหนทำได้เงิน 3-4 หมื่น ช่วงอายุที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าทุ่มให้กับการสอนพิเศษหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ผมยังคิดว่าอย่างน้อยๆก็สงสารลูกให้ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ปตามาวันนี้ เธอพูดถึงจุดอิ่มตัว ทำให้ผมคิดไม่ออกเลยว่าต่อไปผมจะเดินทางไหน
ธุรกิจที่บ้านก็กำลังมีปัญญา พอคุยกับแฟนก็ว่า ดูแล้วผมไม่มีปัญญาทำได้ เพราะต้องรอให้เค้าสั่งอยู่ตลอดเวลา ปล่อยให้มันเจ้งไปเหอะ
ผผมจะตัดสินใจอะไรได้ถ้าผมทำอะไรไม่ถูกใจเธอ เธอก็ไม่เอา แล้วก็บอกว่าทำไมผมไม่มีความเป็นผู้นำเลย ผมจะนำได้ยังไงในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตามเลย มีแต่จะขัด สุดท้ายพอขัดผมก็ต้องยอม ตอนนี้ผมก็เริ่มคิดวิตกมากว่า จริงๆแล้วผมอาจจะถึงจุดแิ่มตัวนานแล้วแต่พอเห็นหน้าลูกผมก็ไม่อยากอยู่ห่างลูก ในส่วนที่ดีของเค้าก็มีไม่ไช่ไม่มี แต่เวลาที่คุยกันเรื่องนี้ มันเหมือนจะมีทางออกทางเดียวคือแยกทางซึ้งผมเองก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ขนาดเธอพูดแบบนี้ เป็นแบบนี้