JJNY : วิ่งราวข้าวแกง│ขโมยรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยว│งัดเบาะรถขโมยดูดน้ำมัน│บาทอ่อนนำเข้า“น้ำมัน”แพงลิบ│นิด้าโพล “ชัชชาติ”ยังนำ

ผัวเมียแสบ วิ่งราวข้าวแกง ตระเวนชักดาบค่าอาหาร สั่งเยอะๆพอคิดเงินแล้วรีบหนี โดนกันหลายร้าน
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7047582
 
 
ผัวเมียแสบ วิ่งราวข้าวแกง ตระเวนชักดาบค่าอาหาร สั่งเยอะๆพอคิดเงินแล้วรีบหนี โดนกันหลายร้าน พลเมืองดีไล่ตาม ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน คนร้ายโยนถุงแกงทิ้งกลางทาง
  
วันที่ 13 พ.ค.2565 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางธัญญารัตน์ วิชัด อายุ 53 ปี เจ้าของร้านเจ๊สาวข้าวแกง ริมถนนอู่ทอง ใกล้กับวิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา ว่าเมื่อวานนี้ มีสามีภรรยาคู่หนึ่งขับขี่รถจยย.มาซื้อข้าวแกงที่ร้านใส่ถุงจำนวนหลานอย่าง คิดเป็นเงินประมาณ 400 บาท ระหว่างที่ตนเองกำลังตักแกงให้ ผู้หญิงที่มาด้วยกันได้เดินมาพร้อมกับบอกว่าจะไปซื้อโจ๊กอีกร้านหนึ่ง พอตักแกงใส่ถุงเสร็จและคิดเงินคาอาหาร และส่งให้ผู้ชาย ผู้ชายบอกว่าเงินอยู่ที่ภรรยา เดี๋ยวเอาเงินมาให้
 
ขณะนั้นตนระวังตัวอยู่แล้ว เพราะมีแม่ค้าด้วยกันเตือนให้ระวังพฤติกรรมแบบนี้ จึงได้หันไปมองที่ร้านโจ๊กมองไม่เห็น จังหวะนั้นเองผู้ชายได้คว้าเอาถุงแกง แล้วขี่รถจยย.หลบหนีไป ช่วงนั้นมีลูกค้ามารอซื้อข้าวแกงอยู่พอดี จึงขอให้ช่วยขับติดตามไป พร้อมกับถ่ายคลิปไปด้วย จนไล่กวดทัน สองสามีภรรยาได้โยนถุงแกงทิ้งกลางสะพานเอกาทศรถ ข้ามแม่น้ำป่าสัก แล้วหลบหนีไป
 
เหตุการณ์ดังกล่าว ตนเองไม่คิดว่าจะมีพวกมิจฉาชีพมาก่อเหตุแบบนี้ เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี มาโดนหลอกโดนโกงแบบนี้ เสียทั้งของ กำไรก็ไม่ได้ เพราะเงินค่าข้าวแกง 400 บาทนั้น ก็ถือว่ามากสำหรับพ่อค้าแม่ค้า ที่ผ่านมาเคยพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าหลายคน ด็โดน สามีภรรยาคู่นี้ก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน จึงอยากขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามจับกุมตัว เพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุกับคนอื่น
 
ด้านนายฐิติวัสส์ กรึงไกร อายุ 19 ปี พลเมืองดี เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ตนเองมาซื้อข้าวแกงอยู่ที่ร้านพอดี เห้นเหตุการณ์และเจ้าของร้านร้อขอความช่วยเหลือ จึงขี่จยย.ไล่ตามไป จนถึงกลางสะพาน เอกาทศรถ ตนพยายามเรียกให้คนร้ายจอดรถจยย. แต่ก็ไม่ยอมยอมจอด
  
ตนจึงรีบขี่แซงไปขวางจนยอมจอด ขณะนั้นทั้งคู่ได้โยนถุงแกงทิ้งกลางถนนแล้วขับรถหลบหนีไป แต่ตนได้ถ่ายคลิปเอาไว้ เห็นสองสามีภรรยาอย่างชัดเจน พร้อมกับแผ่นป้ายทะเบียนแล้วนำแกงมาให้แม่ค้า และทางเจ้าของร้านข้าวแกง ได้มอบข้าวแกงจำนวน 1 ชุดให้เพื่อตอบแทนน้ำใจที่วยเหลือ
 
ขณะที่นางพิสมัย สายสุด อายุ 76 ปี เจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ มีสองสามีภรรยา มาทำทีสั่งก๋วยเตี๋ยว เมนูต่างๆในร้าน สั่งแบบ พิเศษทุกเมนู จำนวน 10 ถุง คิดเป็นเงินประมาณ 500 กว่าบาท ระหว่างนั้นเข้ามาเปิดน้ำอัดลมดื่มแบบคนกระหายมาก ระหว่างที่ทำก๋วยเตี๋ยวอยู่ ผู้หญิงเดินข้ามถนนไปภายในวัด พอทำเสร็จคิดเงินส่งก๋วยเตี๋ยวให้ ผู้ชายบอกว่าเงินอยู่กับ ผู้หญิง จะไปเอเงินมาให้ รับก๋วยเตี๋ยวแล้วหายไปเลยไม่กลับมาจึงรู้ว่าถูกหลอกแล้ว



แม่ค้าเซ็งโจรแสบ ขโมยรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยว | HOTSHOT เดลินิวส์ 13/05/65
https://www.youtube.com/watch?v=oSd3Ev2bHgI

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
วงจรปิดเผยภาพโจรสุดแสบขโมยรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยว เข็นไปไกลหลายกิโลก่อนนำรถเข็นไปซุกไว้ในซอย ชาวบ้านเห็นคนร้ายชาย 2 หญิง 1 ช่วยกันนำรถเข็นขึ้นรถกระบะก่อนขับหนี ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.สำโรงเหนือ ลงพื้นที่ไล่กล้องวงจรปิดตามถนนเทพารักษ์และถนนพื้นที่ใกล้เคียงที่คาดว่าคนร้ายจะใช้เป็นเส้นทางหลบหนีแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย



ยุคน้ำมันแพง 3 เด็กแสบ งัดเบาะรถขโมยดูดน้ำมัน | HOTSHOTเดลินิวส์ 13/05/65
https://www.youtube.com/watch?v=o9ZDb3IEjUA

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ชาวบ้านสุดงงนึกว่าถังน้ำมันรั่วเติมน้ำมันเต็มถังเช้ามาน้ำมันหมด เปิดกล้องวงจรปิดดูพบ 3 เยาวชนขโมยดูดน้ำมันรถ ชาวบ้านเผยน้ำมันหายบ่อย ข้องใจจนต้องเปิดกล้องดู วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 คลิปจากกล้องวงจรปิดที่ลานจอดรถจักรยานยนต์ของอาคารการเคหะสมุทรปราการ ภายในซอย เทศบาลตำบลบางปู 49 ตำบลท้ายบ้านใหม่ อำเภอเมือง สมุทรปราการ เผยให้เห็นถึงพฤติกรรมของชาย 3 คน อายุประมาณ 16-17 ปี เดินถือขวดพลาสติกพร้อมสายยางเดินเข้ามาที่ลานจอดรถจักรยานยนต์ก่อนที่ชายเสื้อแดงจะงัดเบาะรถให้เพื่อนเพื่อเปิดฝาน้ำมันแล้วนำสายยางดูดน้ำมันใส่ขวดก่อนวิ่งขึ้นรถจักยานยนต์หลบหนีไป โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 11 พ.ค 65 น.ส. กุลธิณี คำสมหมาย อายุ 54 ปี ผู้เสียหาย เล่าว่า คืนวันเกิดเหตุลูกชายตนเติมน้ำมันรถมอเตอร์ไซร์มาเต็มถังพอตื่นเช้ามาจะนำรถออกไปทำงานพบว่าเกน้ำมันตก รถไม่มีน้ำมันเลย ตอนแรกคิดว่ารถตนเก่าอาจจะกินน้ำมันหรือถังน้ำมันอาจจะรั่วหรือปล่าว แต่ช่วงหลังๆตนสังเกตุพบน้ำมันหายบ่อยครั้ง ถังน้ำมันก็ไม่ได้รั่วและคนแถวนี้ก็เป็นเหมือนกับตนจึงเอะใจไปแจ้งนิติบุคคลเพื่อขอดูกล้องจึงพบว่าถูกขโมยน้ำมัน ตนจึงอยากฝากบอกผู้ก่อเหตุอย่ามาทำแบบนี้เลยมันเดือดร้อน น้ำมันก็แพง บางคนขี่รถไปน้ำมันก็หมดกลางทางต้องเข็นไปเติมน้ำมัน น.ส. ภัคธดา รัตนวิชัย อายุ 52 ปี เจ้าหน้าที่นิติบุคคลฯ เล่าว่า ลูกบ้านมาแจ้งตนว่าลูกชายตนเติมน้ำมันมาเต็มถังเช้ามาน้ำมันแห้งถังเลย ตอนแรกตนก็ไม่คิดว่าจะมีใครมาขโมยน้ำมัน คิดว่าถังน้ำมันลูกบ้านอาจจะรั่วหรือปล่าว แต่พอดูที่พื้นตรงที่จอดรถก็ไม่มีร่องรอยของน้ำมันรั่ว จนมีลูกบ้านมาแจ้งอีกว่าน้ำมันรถหายจึงเปิดกล้องดู ก็พบว่ามีชาย 3 คนอายุประมาณ 16 ปี ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์กันมา มาพร้อมขวดและสายยางดูดน้ำมัน คืนวันเกิดเหตุมีรถของลูกบ้านโดนดูดน้ำมันไป 3 คัน ตนเชื่อว่าผู้ก่อเหตุน่าจะหย่ามใจก่อเหตุมาหลายครั้ง โดยจะเลือกงัดเบาะรถเฉพาะรถจักยานยนต์รุ่นฮอนด้าเวฟเท่านั้น เบื้องต้นตนแนะนำให้ลูกบ้านเดินทางไปแจ้งความแล้ว 


 
บาทอ่อนนำเข้า “น้ำมัน” แพงลิบ หวั่นชาวบ้านอ่วมค่าครองชีพเงินเฟ้อพุ่ง
https://www.prachachat.net/economy/news-927825
 
บาทอ่อน-นำเข้ายุทธปัจจัยพุ่ง ต้นเหตุไทยขาดดุลการค้าไตรมาสแรกเฉียด 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ “เอกชน” คาดแนวโน้มไตรมาส 2 บาทอ่อนค่าทะลุ 35-36 บาท หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย นำเข้า พลังงาน-วัตถุดิบแพงทะลุโลกขาดดุลการค้าต่อเนื่อง-ทุบซ้ำค่าครองชีพ เงินเฟ้อ ล่าสุด ธปท.ออกแบบสอบถามเอกชนประเมินผลกระทบค่าบาท ขีดเส้น 26 พ.ค.ได้ข้อสรุป เตรียมกำหนดมาตรการดูแล
 
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า สถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนของไทยในช่วงไตรมาส 1 ปรับตัวอ่อนค่าลง ส่งผลต่อการนำเข้าและส่งออกของไทยอย่างมาก โดยเฉพาะภาพรวมการนำเข้า ในช่วงไตรมาสแรกที่เพิ่มขึ้นสูงมากจนทำให้ไทยประสบภาวะขาดดุลการค้า มูลค่า 944 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการนำเข้า สินค้าหมวดยุทธปัจจัย ที่มีมูลค่า 1,042 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1,965.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่สินค้าหมวดเชื้อเพลิง มีมูลค่า 14,267 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 86.3% โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบ 8,768 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 86.2%

ขณะที่การนำเข้าสินค้ากลุ่มทุน 17,315 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% และกลุ่มสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 30,353.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.3% ซึ่งในกลุ่มนี้มีสินค้าแร่และผลิตภัณฑ์จากแร่ซึ่งมีมูลค่า 129 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.6% สินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก มูลค่า 3,914 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.1%

สินค้าปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช 698 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 47% และสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค มีมูลค่า 8,561 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.8% อย่างไรก็ตาม สินค้ากลุ่มยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ลดลง 20.2% มีมูลค่า 3,005 ล้านเหรียญสหรัฐ
 
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปีนี้ ไทยขาดดุลการค้า 944 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการนำเข้าสินค้าทุนและปัจจัยการผลิตอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าในช่วงนี้ ทำให้การนำเข้า 3 เดือนแรก มีมูลค่า 74,545 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 18.4% และส่งออก 73,601 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 14.9%
 
“ภาคการผลิตยังไม่น่ากังวล แต่ที่กระทบคือ ส่วนของสินค้าทุน ที่บางส่วนจะขาดแคลน เนื่องจากภาวะสงคราม โดยไทยต้องเร่งหาแหล่งผลิต ทดแทนส่วนที่ขาดไป และส่งเสริมสนับสนุนการหา แหล่งวัตถุดิบ เพิ่มเติมให้สินค้าที่มีศักยภาพในการนำมาผลิตเพื่อส่งออก อย่างไรก็ตาม การที่ค่าบาทอ่อน ทำให้เรามีโอกาสแข่งขันในการส่งออกได้
 
แต่ก็มีผลกระทบด้านนำเข้า โดยเฉพาะด้านพลังงาน ซึ่งภาครัฐควรดูแลต้นทุนหลักของทั้งประเทศ ในด้านพลังงานและไฟฟ้าที่เป็นพื้นฐานการใช้ชีวิต แล้วต้นทุนการผลิต ซึ่งก็ควรให้มีการทยอยปรับ โดยไม่ฝืนกลไกตลาดโลกมากเกินไป”

อย่างไรก็ตามภาคเอกชนก็ต้องพยายามเต็มที่ในการควบคุมต้นทุน ภาคประชาชนต้องหาวิธีประหยัดพลังงาน ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย
 
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง เพราะขณะนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย มีผลทำให้ดอลลาร์แข็งค่า และเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งหากสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องตามแผนจนทำให้ดอกเบี้ยสหรัฐทะลุ 3.25-3.50% จะยิ่งมีผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นไปอีก และค่าบาทไทยมีโอกาสอ่อนค่าถึง 35-36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
 
“แม้ว่าค่าบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว แต่ที่น่าห่วง คือ เรื่องเงินเฟ้อ เพราะไทยนำเข้าสินค้ากลุ่มพลังงานของไทยคิดเป็นสัดส่วน 90% ทั้งยังมีการนำเข้าสินค้ากลุ่มวัตถุดิบและทุนอีก หากค่าบาทอ่อน ผู้นำเข้าสินค้าจะมีต้นทุนสูงขึ้นส่งผลต่อระดับราคาสินค้า โดยเฉพาะราคาสินค้าที่จำหน่ายในประเทศอาจต้องปรับขึ้นไปอีก กระทบค่าครองชีพ และดุลการค้าของไทย ซึ่งตอนนี้ไทยขาดดุลการค้าครั้งแรกในไตรมาส 1 ไม่ได้ขาดดุลมานานแล้วนี่เป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง”
 
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ ส.อ.ท.สำรวจข้อมูลสมาชิกเพื่อประเมินสถานการณ์ผลกระทบจากค่าบาทที่แข็งค่าให้ได้ข้อสรุปภายในวันที่ 26 พ.ค.นี้ เพื่อนำไปกำหนดมาตรการดูแลต่อไป ซึ่งสิ่งที่ภาคเอกชนเสนอให้รัฐเข้ามาดูแล คือ เสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน จากก่อนหน้านี้ ขอให้ดูแลให้อยู่ในกรอบ 32.50-33.50 บาท ผู้ส่งออกรับได้แต่ต้องมีเสถียรภาพ ส่วนเอกชนเองก็ต้องประกันความเสี่ยงค่าเงินด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่