อ่านบทความนี้แล้วไม่สบายใจเลย! ประชาชนจะมั่นใจความปลอดภัยจากหน่วยงานที่กำกับด้านนิวเคลียร์ได้หรือเปล่า?

อ่านรายงานนี้แล้วไม่สบายใจเลย! ประชาชนจะมั่นใจความปลอดภัยจากหน่วยงานนิวเคลียร์ได้หรือเปล่า?
อันนี้เป็นเป็นรายงานต้นเรื่อง Study on Developing Safety Infrastructure for
Mineral Processing Waste (NORM Waste) and
Contamination Monitoring at the TINT Rare Earth
Research & Development Center, Khlong 5,
Pathumthani, Thailand
To cite this article: N Yaanant et al 2017 J. Phys.: Conf. Ser. 860 012044

ลิงค์ https://iopscience.iop.org/article/10.1088/1742-6596/860/1/012044/pdf?fbclid=IwAR3m2qcpMV4wZ_2HYQ_TLLneNLFO-SyK4iRmBn2lfb4yk30iz9G7aoKizb8
ผมตั้งประเด็นสั้นๆเลย
-หน่วยงาน ตั้งอยู่คลอง 5 โดยสถานที่ดังกล่าวรายล้อมรอบด้วยบึงพระราม 9 ที่จุน้ำมหาศาล และบึงพระราม 9 ก็มีหน้าที่จ่ายน้ำออกสู่คูคลองภายนอก
-ปี 2011 เกิดน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งอาคารในหน่วยงานดังกล่าว อาคาร 18 จัดเก็บแร่โมนาไซด์จำนวนมาก หากดูจาก google earth ก็จะเห็นว่าท่วมแน่ๆ แล้วมีการรั่วไหลลงบึงพระราม 9 หรือไม่ อันนี้น่าคิด!
-ประมาณปี 2016 มีการทำรายงานวิจัยออกบทความนี้ออกมา หน้าที่ 4 ระบุ"  in 2011, the heavy flood occurred in Thailand, the pilot plants
and area around were unfortunately flooded. It was possible for the contamination with naturally occurring radioactive materials (NORM).
There were about 18 buildings for several activities. The building No. 8 consisted of the monazite processing and uranium and thorium processing plants which were the main building for radiological activities. The building No. 9 was the rare earth processing plant for extraction of rare earth elements.
หน้าที่ 7 ระบุ Dose rate and contamination map at the building No. 18. The maximum dose rate of the wall of building 18 was found to be very high dose rate, 62.2 μSv/hr. The average of dose rate around the wall was about 30-60 μSv/hr. It is about 30-60 times of background level (1 μSv/hr) at the RE R&D Center. Figure 3 shows that the building no.18 is full with monazite sand, and our radiation safety
officer did not allow us to get inside due to the hazard of radon gas because the room was closed for a long time
 ข้อสงสัยคือ น้ำท่วมตั้งแต่ปี 2011 แต่เพิ่งมาตรวจสอบการปนเปื้อนกัมมันตรังสี ในปี 2016 ช้าไปหรือเปล่า? แลัวระหว่างนี้มีการรั่วไหลไปขนาดไหน? ถ้ารู้ว่าน้ำท่วม มีการเก็บตรวจการปนเปื้อนในสัตว์น้ำที่อาศัยในบึงพระราม 9 หรือไม่? มีการตรวจการปนเปื้อนของน้ำในบึงพระราม 9 หรือไม่? เมื่อคาดว่าเกิดการรั่วไหลของรังสีในปี 2011 มีการแจ้งเตือนประชาชน/ชุมชนที่รายรอบหรือไม่?
- ใน Figure 2. Map of Rare Earth Research Development Center หน้า 4 จะเห็นอาคาร 18(monazite storage) ซึ่งอาคารดังกล่าวถูกระบุว่า "very high dose rate, 62.2 uSv/hr. " อาคาร 18 ถูกล้อมรอบด้วยบ่อน้ำ 7 บ่อคือ p1 p2 p3 p4 p5 p6 p7 (หน้า 6 บ่อ p1 เหมือนจะเป็นบ่อซีเมนต์)ปัจจุบันถ้าดูจาก google earth บ่อโดนกลบหมดแล้ว ก็ สงสัยว่า บางบ่อเป็นบ่อซีเมนต์ โดนกลบเพราะอะไร? ฝังกลบอย่างถูกวิธีหรือไม่?

เนื่องจากก่อนหน้ามีนักวิชาการ ตั้งข้อสงสัยลงในบทความหนังสือพิมพ์ แล้วทางหน่วยงานต้นเรื่อง ได้ออกมาชี้แจง พาสื่อมวลชนไปดูสถานที่   อันนี้การชี้แจงจากหน่วยงานผ่านสื่อมวลชน https://www.khaosod.co.th/pr-news/news_6074881
"น้ำท่วมอาคารเก็บแร่โมนาไซด์ แต่เนื่องจากแร่โมนาไซด์ก็คือ ทราย ที่ยังไม่ถูกสกัดนำธาตุหายากออกมา จึงมีน้ำหนักประกอบกับอยู่ในอาคารที่ปิดมิดชิด แร่โมนาไซด์ที่อยู่ในรูปของทรายจึงตกตะกอนอยู่ภายในอาคารไม่ได้ถูกพัดพา และธาตุหายากที่อยู่ในแร่โมนาไซด์ไม่สามารถปนเปื้อนกับน้ำได้ เพราะการสกัดแร่ธาตุหายากออกจากโมนาไซด์ ต้องผ่านกระบวนการเคมีหลายขั้นตอน จึงเป็นไปไม่ได้ที่แร่กัมมันตรังสีจะแยกตัวออกมาได้" ในเนื้อข่าวดังกล่าวระบุว่าเก็บแร่โมนาไซต์ไว้ 600 ตัน!
" ในกรณีที่การตั้งข้อสงสัยว่ากิจกรรมการดำเนินการของศูนย์ธาตุหายากอาจะทำให้เกิดการปนเปื้อนของธาตุกัมมันตรังสีประเภทเรเดียม-226 ในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือแหล่งน้ำใต้ดินโดยรอบพื้นที่ตั้งโครงการ และอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนที่บริโภคน้ำจากแหล่งน้ำ ประเด็น สทน. ของชี้แจงว่า โครงการธาตุหายากได้ยุติการดำเนินกิจกรรมไปเมื่อราวปี 2548 และเมื่อยุติการดำเนินโครงการ นักวิจัยของ พปส. ในคณะนั้นได้ ได้ขอทุนวิจัย เพื่อดำเนินโครงการประเมินรังสีเรเดียม-226 จากน้ำบริโภคของบุคคลต่างวัย (ปี 2546-2547) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์ปริมาณเรเดียมในแหล่งน้ำใต้ดิน และในตัวอย่างน้ำจากคลองชลประทานซอยห้า และประเมินปริมาณรังสีต่อปี ของเรเดียม-226 จากการบริโภคน้ำใต้ดินและน้ำจากคลองชลประทานซอยห้า นักวิจัยที่ดำเนินโครงการนี้ระบุประโยชน์ของการศึกษาโครงการนี้ ก็เพื่อทราบค่าปริมาณต่อปีของประชาชน ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ๆศูนย์ธาตุหายากได้รับจากการปริโภคน้ำ และเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงต่อสาธารณะเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของศูนย์ธาตุหายาก ที่ไม่ก่อผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชนที่อาศัยโดยรอบ ผลการศึกษาสรุปว่า ค่าเฉลี่ย 2 ปีของปริมาณเรเดียม-226 ในน้ำใต้ดิน และน้ำจากคลองชลประทานซอยห้า อยู่ระหว่าง 3.639 ถึง 8.069 และ 2.956 ถึง 3.781 มิลลิเบ็กเคอเรลต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานปริมาณเรเดียม-226 ในน้ำดื่มที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 1,000 มิลลิเบ็กเคอเรลต่อลิตร ซึ่งสรุปว่าตัวน้ำอย่างในพื้นที่โดยรอบศูนย์ธาตุหายากปลอดภัยต่อการบริโภคในแง่คุณลักษณะทางรังสี (คิดเฉพาะไอโซโทปรังสีเรเดียม-226) การประเมินค่ารังสียังผล (effective dose) ของเรเดียม-226 พบว่า ปริมาณรังสีเรเดียม-226 สูงสุดต่อปี ที่คำนวนจากน้ำใต้ดินและน้ำในคลองเท่ากับ 13.846 และ 6.486 ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ที่ 100 ไมโครซีเวิร์ตต่อปี แสดงน้ำจากทั้งสองแหล่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ"

คือนักวิชาการเขาสงสัย ตั้งคำถามผ่านสื่อ คือเหตุน้ำท่วมปี 2011 ซึ่งอาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ นักวิชาการเขาตั้งคำถามปี 2021 แต่หน่วยงานชี้แจงว่า "ตรวจประเมินรังสีเรเดียม-226 จากน้ำบริโภคของบุคคลต่างวัยแล้วในปี 2003-2004"  ก็เลยสงสัยว่า ตอบตรงคำถามหรือเปล่า?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่