จากที่สังเกตุในโลกออนไลน์
ชาวพุทธส่วนมากชอบจับผิดพระสงฆ์
พอเห็นข่าวพระในทางที่ไม่ดีก็ไปรุมด่าว่าพระต่างๆ นาๆ
แทนที่จะย้อนกลับมาดูกิเลสในใจตน ว่าตนเองมีส่วนไหนที่ต้องแก้ไขต้องปรับปรุงบ้าง
กลับไปจ้องจับผิดผู้อื่นโดยถ่ายเดียว
นี่ไม่ใช่หนทางที่ถูก เป็นทางสร้างกรรมแก่ตนเองเปล่าๆ
ดังตัวอย่าง
๑๐. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กลูกของชาวประมงในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้วเกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะคือปวดศีรษะได้มีแล้วแก่เรา ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน ถูกพระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว พระเจ้าวิฏฏุภะนี้คือพระเจ้าวิฑูฑภะที่ฆ่าเจ้าศากยะนั่นเอง
https://84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=7
คนที่ได้บวชเป็นชีถือศีลบริสุทธิ์แต่ดูถูกและกล่าวร้ายผู้อื่น ติเตียนครูบาอาจารย์และพระสงฆ์ผู้มีศีล ตายไปจะกลายเป็นเปรตที่มีกายดังท้าวมหาพรหม งามดั่งทอง แต่มีปากเหมือนปากหมู อดอยากหนักหนาเพราะหาอะไรกินไม่ได้เลยสักสิ่งเดียว หรือเป็ฯเปรตที่มีกายงามดั่งทองแต่ปากเหม็นหนักหนา มีหนอนเต็มปาก ถูกหนอนเจาะกินปากอยู่ตลอด
ไตรภูมิพระร่วง
* การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย
ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง
https://84000.org/supatipanno/katitam.html
#อย่าไปดูหมิ่นเหยียดหยามกัน
"เนื่องด้วย กรรม เป็นสมบัติของกลางๆ ใครทำใครได้
ดังนั้น ท่านจึงสอนมิให้ดูหมิ่นเหยียดหยามซึ่งกันและกัน เมื่อพบเห้นผู้ใดกำลังอยู่ในสภาวะยากไร้ ทุกข์ทรมานจนยากอย่างน่าเวทนา แม้เราเองก็อาจจะต้องประสบเหตุการณ์เข้าเช่นผู้อื่นที่เป็นเช่นนั้นด้วยก็ได้ หรืออาจจะยิ่งกว่านั้นก็ได้
เมื่อถึงเวลานั้นเข้าจริงๆ ไม่มีใครสามารถหลีกได้ เนื่องด้วยเมื่อถึงเวลานั้นยามนั้นเจ้าจริงๆ แล้ว ไม่มีใครผู้ใดจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องด้วยกรรมดี กรรมชั่ว เราเป็นผู้ทำขึ้นเองเช่นเดียวกับผู้อื่นเหมือนกัน
พุทธศาสนาที่แท้แล้วเป็นวิชามีประโยชน์สำหรับตรวจดูตนเองและผู้อื่นใดใครทั้งปวงได้อย่างแน่นอน"
....... หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
"กรรมให้ผล"
....จงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนาลงไป ในจิตใจของตนให้ได้
ใจคนอื่นผู้อื่น เขาจะดีก็เรื่องของเขา เขาจะชั่วก็เรื่องของเขา เราจะไปแก้ไขบางอย่างมันแก้ไม่ได้
เพราะกรรมที่เขาทำมันให้ผล เขาทำบุญ บุญก็ให้เขา เขาทำบาป บาปก็ให้เขา เราทำบุญ บุญก็ให้เรา เราทำบาป บาปก็ให้เรา.
"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"
"กรรมดีกรรมชั่ว ผู้นี้เป็นผู้กำเอา เป็นผู้ทำเอา ไม่เห็นมีกรรมมาจากต้นไม้ภูเขาเลากา ไม่เห็นมีกรรมมาจากฟ้าอากาศ มาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเท่านี้แหละ"
..... หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ถ้าคนเคยบวชมาก็คงจะพอรู้ว่า หน้าที่ของเราคือมองใจตนเอง
ไม่ใช่ไปมองพระองค์อื่นว่าท่านปฏิบัติตัวอย่างไร
นั่นเป็นเรื่องของท่าน พระหลายๆ องค์ท่านก็เตือนมาแบบนี้เหมือนกัน
ถ้ารับไม่ได้อยู่ไม่ได้ก็ย้ายสำนัก หรือวางใจให้เป็น จบ
เราในฐานะ ที่เป็นชาวพุทธควรที่จะพยายามเข้าให้ถึงแก่น
ให้ถึงหัวใจศาสนาพุทธคือการปฏิบัติธรรม
คือการแก้ไขปรับปรุงข้อวัตรปฏิปทาของตนเอง
มากกว่าที่จะไปแก้ไขผู้อื่นแก้ไขพระสงฆ์องค์เจ้า
ซึ่งเป็นเรื่องภายนอก เกินกายเกินใจเรา
ถึงแม้เราอาจจะปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้
แต่ก็เป็นปัจจัยในชาติต่อๆ ไป
แต่ที่แน่ๆ ความทุกข์ของเราจะลดลงอย่างแน่นอนอย่างเห็นได้ชัด
ท่านพุทธทาสท่านจึงกล่าวไว้ว่า
"คนดี สำคัญกว่าทุกสิ่ง"
ในโลกนี้จะให้ลัทธิไหนครองโลกไม่สำคัญ ขอแต่ให้คนดีก็พอแล้ว คนดีเผด็จการก็เผด็จไปในทางดี นำไปสู่ความดีและความเจริญอันแท้จริง คนดีเป็นประชาธิปไตยก็พร้อมเพรียงกันทำดี ได้จริงโดยไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าคนชั่วแล้วแม้จะเป็นประชาธิปไตยก็มีแต่จะ "นอนหาความสำราญ"
กันทั่วไปหมดในที่สุดก็ล่มจม ฉะนั้น ขอแต่ให้คนดีอย่างเดียวก็แล้วกัน จะซ้ายจัดหรือขวาจัดย่อมใช้ได้ทั้งนั้น ธรรมะในศาสนาเท่านั้นที่จะทำให้คนดีหาใช่ลัทธิการเมือง แต่ลัทธิใดไม่เลย
คำสอนของท่านพุทธทาส เขียนไว้เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2495
ชาวพุทธส่วนมากชอบจ้องจับผิดพระสงฆ์
ชาวพุทธส่วนมากชอบจับผิดพระสงฆ์
พอเห็นข่าวพระในทางที่ไม่ดีก็ไปรุมด่าว่าพระต่างๆ นาๆ
แทนที่จะย้อนกลับมาดูกิเลสในใจตน ว่าตนเองมีส่วนไหนที่ต้องแก้ไขต้องปรับปรุงบ้าง
กลับไปจ้องจับผิดผู้อื่นโดยถ่ายเดียว
นี่ไม่ใช่หนทางที่ถูก เป็นทางสร้างกรรมแก่ตนเองเปล่าๆ
ดังตัวอย่าง
๑๐. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กลูกของชาวประมงในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้วเกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะคือปวดศีรษะได้มีแล้วแก่เรา ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน ถูกพระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว พระเจ้าวิฏฏุภะนี้คือพระเจ้าวิฑูฑภะที่ฆ่าเจ้าศากยะนั่นเอง
https://84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=7
คนที่ได้บวชเป็นชีถือศีลบริสุทธิ์แต่ดูถูกและกล่าวร้ายผู้อื่น ติเตียนครูบาอาจารย์และพระสงฆ์ผู้มีศีล ตายไปจะกลายเป็นเปรตที่มีกายดังท้าวมหาพรหม งามดั่งทอง แต่มีปากเหมือนปากหมู อดอยากหนักหนาเพราะหาอะไรกินไม่ได้เลยสักสิ่งเดียว หรือเป็ฯเปรตที่มีกายงามดั่งทองแต่ปากเหม็นหนักหนา มีหนอนเต็มปาก ถูกหนอนเจาะกินปากอยู่ตลอด
ไตรภูมิพระร่วง
* การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย
ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง
https://84000.org/supatipanno/katitam.html
#อย่าไปดูหมิ่นเหยียดหยามกัน
"เนื่องด้วย กรรม เป็นสมบัติของกลางๆ ใครทำใครได้
ดังนั้น ท่านจึงสอนมิให้ดูหมิ่นเหยียดหยามซึ่งกันและกัน เมื่อพบเห้นผู้ใดกำลังอยู่ในสภาวะยากไร้ ทุกข์ทรมานจนยากอย่างน่าเวทนา แม้เราเองก็อาจจะต้องประสบเหตุการณ์เข้าเช่นผู้อื่นที่เป็นเช่นนั้นด้วยก็ได้ หรืออาจจะยิ่งกว่านั้นก็ได้
เมื่อถึงเวลานั้นเข้าจริงๆ ไม่มีใครสามารถหลีกได้ เนื่องด้วยเมื่อถึงเวลานั้นยามนั้นเจ้าจริงๆ แล้ว ไม่มีใครผู้ใดจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องด้วยกรรมดี กรรมชั่ว เราเป็นผู้ทำขึ้นเองเช่นเดียวกับผู้อื่นเหมือนกัน
พุทธศาสนาที่แท้แล้วเป็นวิชามีประโยชน์สำหรับตรวจดูตนเองและผู้อื่นใดใครทั้งปวงได้อย่างแน่นอน"
....... หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
"กรรมให้ผล"
....จงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนาลงไป ในจิตใจของตนให้ได้
ใจคนอื่นผู้อื่น เขาจะดีก็เรื่องของเขา เขาจะชั่วก็เรื่องของเขา เราจะไปแก้ไขบางอย่างมันแก้ไม่ได้
เพราะกรรมที่เขาทำมันให้ผล เขาทำบุญ บุญก็ให้เขา เขาทำบาป บาปก็ให้เขา เราทำบุญ บุญก็ให้เรา เราทำบาป บาปก็ให้เรา.
"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"
"กรรมดีกรรมชั่ว ผู้นี้เป็นผู้กำเอา เป็นผู้ทำเอา ไม่เห็นมีกรรมมาจากต้นไม้ภูเขาเลากา ไม่เห็นมีกรรมมาจากฟ้าอากาศ มาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเท่านี้แหละ"
..... หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ถ้าคนเคยบวชมาก็คงจะพอรู้ว่า หน้าที่ของเราคือมองใจตนเอง
ไม่ใช่ไปมองพระองค์อื่นว่าท่านปฏิบัติตัวอย่างไร
นั่นเป็นเรื่องของท่าน พระหลายๆ องค์ท่านก็เตือนมาแบบนี้เหมือนกัน
ถ้ารับไม่ได้อยู่ไม่ได้ก็ย้ายสำนัก หรือวางใจให้เป็น จบ
เราในฐานะ ที่เป็นชาวพุทธควรที่จะพยายามเข้าให้ถึงแก่น
ให้ถึงหัวใจศาสนาพุทธคือการปฏิบัติธรรม
คือการแก้ไขปรับปรุงข้อวัตรปฏิปทาของตนเอง
มากกว่าที่จะไปแก้ไขผู้อื่นแก้ไขพระสงฆ์องค์เจ้า
ซึ่งเป็นเรื่องภายนอก เกินกายเกินใจเรา
ถึงแม้เราอาจจะปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้
แต่ก็เป็นปัจจัยในชาติต่อๆ ไป
แต่ที่แน่ๆ ความทุกข์ของเราจะลดลงอย่างแน่นอนอย่างเห็นได้ชัด
ท่านพุทธทาสท่านจึงกล่าวไว้ว่า
"คนดี สำคัญกว่าทุกสิ่ง"
ในโลกนี้จะให้ลัทธิไหนครองโลกไม่สำคัญ ขอแต่ให้คนดีก็พอแล้ว คนดีเผด็จการก็เผด็จไปในทางดี นำไปสู่ความดีและความเจริญอันแท้จริง คนดีเป็นประชาธิปไตยก็พร้อมเพรียงกันทำดี ได้จริงโดยไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าคนชั่วแล้วแม้จะเป็นประชาธิปไตยก็มีแต่จะ "นอนหาความสำราญ"
กันทั่วไปหมดในที่สุดก็ล่มจม ฉะนั้น ขอแต่ให้คนดีอย่างเดียวก็แล้วกัน จะซ้ายจัดหรือขวาจัดย่อมใช้ได้ทั้งนั้น ธรรมะในศาสนาเท่านั้นที่จะทำให้คนดีหาใช่ลัทธิการเมือง แต่ลัทธิใดไม่เลย
คำสอนของท่านพุทธทาส เขียนไว้เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2495