ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจราคาสินค้าในขณะนี้พบว่าสินค้าหลายรายการปรับขึ้นต่อเนื่อง เช่น ไข่ไก่ที่ขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ยฟอง 3.50 บาท หรือแผง (30 ฟอง) ปรับขึ้นมา 3 บาท โดยเฉพาะไข่ไก่เบอร์ 0 ที่ปรับขึ้นไปถึงฟองละ 4.00 บาท เช่นเดียวกับเนื้อหมูที่ราคาขยับเพิ่มต่อเนื่อง เฉลี่ยกิโลกรัม (กก.) ละ 5 บาท โดยราคาเนื้อสันนอกอยู่ที่ กก.ละ 190-200 บาท เนื้อแดง, สะโพก กก.ละ 180-190 บาท และสามชั้น กก.ละ 210-230 บาท ส่วนน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ทะลุขวดละ 66-68 บาท หลังราคาผลปาล์มสดแพงขึ้นต่อเนื่อง และกลับมาใกล้เคียง กก.ละ 12 บาทอีกครั้ง หลังจากอินโดนีเซียห้ามส่งออกปาล์ม รวมถึงผักชีที่ขณะนี้ราคาอยู่ที่ กก.ละ 80-90 บาท เพิ่มขึ้นมาถึง กก.ละ 10 บาท
ทั้งนี้ ส่งผลให้ราคาอาหารปรุงสำเร็จ ข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว โดยเฉพาะเมนูหมู ปรับขึ้นมาอีกจานละ 5-10 บาท เป็น 50-60 บาท หรือบางร้าน จำเป็นต้องหยุดขาย เพราะแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาบรรทัดทอง นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่มีแนวโน้มแพงขึ้น โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีที่ราคาแม่ปุ๋ยปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 100-200% ดังนั้น ในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเห็นราคาปุ๋ยเคมีทยอยปรับแบบขั้นอีกไม่ต่ำกว่า 20% รวมถึงอาหารสัตว์ที่รัฐบาลยังไม่สามารถหามาตรการแก้ปัญหาวัตถุดิบราคาแพงได้.
สวนปาล์มข้องใจ ราคาน้ำมันขวดพุ่ง จ่อถก ‘จุรินทร์’ ส่อค้ากำไรเกินควร
https://www.matichon.co.th/economy/news_3317230
สวนปาล์มข้องใจ ราคาน้ำมันขวดพุ่ง จ่อถก ‘จุรินทร์’ ส่อค้ากำไรเกินควร
เมื่อวันที่ 29 เมษายน นาย
มนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคมีราคาแพงต่อเนื่อง ว่า ต้องดูใน 2 ส่วนคือ ส่วนแรก ปริมาณปาล์มน้ำมันทั่วโลกที่ผ่านมาเจอภาวะแล้งกระทบต่อผลผลิต โดยเฉพาะประเทศส่งออกรายใหญ่ของโลกอย่างอินโดนีเซียต้องหยุดส่งออกชั่วคราวเพื่อรองรับการบริโภคในประเทศ ขณะที่ไทยเจออากาศแปรปรวนกระทบต่อผลผลิตเช่นกัน ทำให้ผลปาล์มทะลายปกติในช่วงต้นปีจะมีผลผลิตออกตลาดกว่า 2 ล้านตันต่อเดือน ตอนนี้เหลือ 1.7 ล้านตัน นำมาแปรรูปเป็นน้ำมันปาล์มดิบ(ซีพีโอ) ได้ประมาณ 3 แสนตัน แต่ยังเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศอยู่ที่ 7-8 หมื่นตัน ใช้ผสมผลิตไบโอดีเซลอีก 7-8 หมื่นตัน ส่งออกไม่เกิน 1 แสนตัน ก็ยังเหลือเป็นสต๊อก
ดังนั้นเมื่อผลผลิตลดลงบางส่วนและตลาดโลกต้องการสูง เมื่อประเทศผลิตและส่งออกหลักหยุดป้อนโลก ก็ต้องหันมาซื้อในแหล่งอื่นแทน อย่างประเทศไทยหรือมาเลเซีย ถือเป็นโอกาสที่ดีต่อการส่งออกน้ำมันปาล์มของไทย สามารถเพิ่มตลาดส่งออกแทนอินโดนีเซียได้ส่วนหนึ่ง หากในอนาคตมีปัญหาผลผลิตในประเทศล้น ก็จะมีตลาดส่งออกดูดซับได้ส่วนหนึ่ง ปัญหาของสวนปาล์มตอนนี้คือต้นทุนปุ๋ยแพง 2-3 เท่าตัวผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และราคาน้ำมัน
นาย
มนัสกล่าวว่า ส่วนที่สอง คือราคาขายเพื่อการบริโภคแพงขึ้น เป็นเรื่องภาครัฐต้องเข้าไปตรวจสอบโครงสร้างต้นทุน ทุกช่วงของกระบวนการผลิต ตั้งแต่โรงงาน พ่อค้าคนกลาง ค้าส่ง จนถึงค้าปลีก ช่วงใดมีการขึ้นราคาเกินจริงหรือมีการฉวยโอกาสทำกำไรมากเกินไปหรือไม่ เรื่องนี้รัฐสามารถตรวจเช็กขั้นตอนผลิตและช่วงเวลาวางจำหน่ายก็จะรู้ว่าราคาขายปลีกปั่นราคาเกินจริงหรือไม่ วันนี้ผลปาล์มสดขายจากสวน โรงงานรับซื้อประมาณ 9.90 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรัฐตรวจสอบค่าบริหารจัดการบวกค่าตลาดก็จะรู้ว่า ราคาปาล์มขวดควรเป็นเท่าไร ได้เข้าห้างต้นสัปดาห์ยังเห็นปาล์มขวด (1 ลิตร)ราคา 64-65 บาท พอกลางสัปดาห์มีข่าวว่าถึง 70 บาท
“ในความเป็นจริงมันมีสต๊อก ถ้าเป็นล็อตเก่าก็ควรขายเท่าเดิม หากเป็นล็อตใหม่ต้นทุนเพิ่มก็ต้องแพงขึ้น เป็นเรื่องที่ประชาชนเข้าใจได้ อีกเรื่องที่อยากเตือนคือการตื่นตระหนกทำให้เกิดการซื้อเกินจำเป็น ซื้อตุน หรือห้างร้านปล่อยสินค้าในสต๊อกน้อยกว่าปกติ ทั้งที่ผลผลิตในประเทศไม่ได้ขาดแคลน อีกทั้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมผลผลิตฤดูกาลใหม่จะเริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้น และผลผลิตกลับมาเกิน 2 ล้านตันอีกครั้ง หากไม่มีการบิดเบือนตลาด ตัวเลขสต๊อกครั้งหน้าน่าจะเกิน 2 แสนตันแล้ว เพราะแต่ละเดือนมีสต๊อกเหลือจากบริโภคและส่งออกประมาณ 5 หมื่นตันต่อเดือน หากผิดเพี้ยนก็จะขอเข้าพบรองนายกฯจุรินทร์ วิตกว่าหากมีบิดเบือนหรือฉวยโอกาสอาจกระทบมาถึงชาวสวนได้” นาย
มนัสกล่าว
WHO จับตา "โอมิครอน" แตก 3 สายพันธุ์ย่อย 'หมอธีระ'ชี้แพร่ไวกว่า BA.2
https://www.nationtv.tv/news/378871515
หมอธีระ เผยข้อมูล WHO จับตาการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.4 BA.5 และ BA.2.12 หวั่นก่อให้เกิดการระบาดระลอกใหญ่รอบใหม่ ชี้มีการแพร่เชื้อได้เร็วกว่า BA.2
30 เมษายน 2565 รศ.นพ.
ธีระ วรธนารัตน์ หรือ “
หมอธีระ” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “
Thira Woratanarat” เผยข้อมูลจาก WHO หรือ องค์การอนามัยโลก กำลังจับตาสถานการณ์โควิด19 โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย ที่มีการแพร่เร็วขึ้น หวั่นเกิดการระบาดระลอกใหม่ มีเนื้อหาดังนี้..
30 เมษายน 2565 เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 548,940 คน ตายเพิ่ม 2,170 คน รวมแล้วติดไปรวม 512,712,863 คน เสียชีวิตรวม 6,258,641 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 7 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 76.11 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 73.59 การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 26.1 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 21.61
สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก
ทั้งนี้จำนวนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานนั้นคิดเป็น 27.5% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย
หากดูจำนวนการติดเชื้อใหม่ต่อวัน รวม ATK ไทยเราจะติดอันดับ Top 10 ของโลกมาติดต่อกันยาวนานถึง 43 วันแล้ว
ส่วนจำนวนการเสียชีวิตต่อวันนั้น ติดอันดับ Top 10 ต่อเนื่องมาแล้ว 14 วัน
อัพเดตสายพันธุ์ Omicron BA.4 และ BA.5
หากจำกันได้ ไม่กี่วันก่อนทางองค์การอนามัยโลกระบุในรายงาน WHO Weekly Epidemiological Update ว่าต้องจับตาดูสายพันธุ์ย่อยของ Omicron คือ BA.4, BA.5, และ BA.2.12
ข้อมูลล่าสุดเมื่อคืนนี้จาก Sigallab ประเทศแอฟริกาใต้ ยืนยันว่าภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อสายพันธุ์เดิมของ Omicron คือ BA.1 นั้นไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อของสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ได้ (ดังภาพที่ 1)
ด้วยความรู้จนถึง ตอนนี้ BA.4 และ BA.5 น่าจะมีโอกาสที่จะนำไปสู่การแพร่ระบาดใหม่ (new wave) ได้ หากไม่ป้องกันให้ดี เพราะมีสมรรถนะในการแพร่ได้ไวกว่า BA.2 และดื้อต่อภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิมของ Omicron BA.1
เชื่อว่าสายพันธุ์ทั้งสองน่าจะมาจากการมีแหล่งที่เพาะบ่มการติดเชื้อเป็นเวลานาน เช่น คนที่ติดเชื้อเรื้อรัง (chronic infection) หรือมาจากสัตว์ที่เป็นรังโรค (reservoir)
ไทยเรานั้น เปิดประเทศเดือนพฤษภาคม จะมีคนเดินทางมามากขึ้น การป้องกันตัวระหว่างการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ในสังคมมีมาก ทั้งเรื่องการเปิดเรียน และจำนวนการติดเชื้อใหม่รายวันที่สูงติดอันดับ Top ten ของโลกมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 6 สัปดาห์แล้ว
อัพเดต Long COVID
อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า มีแนวโน้มยาวนานกว่าปี
การศึกษาจาก Fernández-de-las-Peñas C และทีมวิจัยในสเปน ติดตามผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 1,593 คน ซึ่งเคยติดเชื้อแล้วได้รับดูแลรักษาในโรงพยาบาล พบว่าหลังออกจากโรงพยาบาลไป มีคนที่ประสบปัญหา Long COVID โดยอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าสูงถึง 60% และแม้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปี ก็ยังมีคนที่ยังคงมีอาการดังกล่าวในสัดส่วนใกล้เคียงเดิม ลดลงไม่มาก (ภาพที่ 2)
การศึกษานี้จึงสะท้อนให้เราเห็นความสำคัญในการป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ ย่อมจะดีกว่า เพราะหากเกิดติดเชื้อแล้วจับพลัดจับผลูเป็น Long COVID ก็ย่อมส่งผลบั่นทอนสมรรถนะในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานได้ในระยะยาว
“ใส่หน้ากากนะครับ สำคัญมาก เว้นระยะห่างจากคนอื่น พบปะคนใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น ระมัดระวังกิจกรรมเสี่ยงและสถานที่เสี่ยงต่างๆ ” หมอธีระ กล่าวในตอนท้าย
อ้างอิง :
Fernández-de-las-Peñas C et al. Exploring the recovery curve for long-term post-COVID dyspnea and fatigue. European Journal of Internal Medicine. 28 April 2022.
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224246438221110
JJNY : ราคาจานด่วนพุ่ง│สวนปาล์มข้องใจ ราคาน้ำมันขวดพุ่ง│WHOจับตา"โอมิครอน" 3 สายพันธุ์ย่อย│‘พิธา’ ลั่นนายกต้องเป็นส.ส.
https://www.thairath.co.th/business/economics/2380817
ทั้งนี้ ส่งผลให้ราคาอาหารปรุงสำเร็จ ข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว โดยเฉพาะเมนูหมู ปรับขึ้นมาอีกจานละ 5-10 บาท เป็น 50-60 บาท หรือบางร้าน จำเป็นต้องหยุดขาย เพราะแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาบรรทัดทอง นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่มีแนวโน้มแพงขึ้น โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีที่ราคาแม่ปุ๋ยปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 100-200% ดังนั้น ในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเห็นราคาปุ๋ยเคมีทยอยปรับแบบขั้นอีกไม่ต่ำกว่า 20% รวมถึงอาหารสัตว์ที่รัฐบาลยังไม่สามารถหามาตรการแก้ปัญหาวัตถุดิบราคาแพงได้.
สวนปาล์มข้องใจ ราคาน้ำมันขวดพุ่ง จ่อถก ‘จุรินทร์’ ส่อค้ากำไรเกินควร
https://www.matichon.co.th/economy/news_3317230
สวนปาล์มข้องใจ ราคาน้ำมันขวดพุ่ง จ่อถก ‘จุรินทร์’ ส่อค้ากำไรเกินควร
เมื่อวันที่ 29 เมษายน นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคมีราคาแพงต่อเนื่อง ว่า ต้องดูใน 2 ส่วนคือ ส่วนแรก ปริมาณปาล์มน้ำมันทั่วโลกที่ผ่านมาเจอภาวะแล้งกระทบต่อผลผลิต โดยเฉพาะประเทศส่งออกรายใหญ่ของโลกอย่างอินโดนีเซียต้องหยุดส่งออกชั่วคราวเพื่อรองรับการบริโภคในประเทศ ขณะที่ไทยเจออากาศแปรปรวนกระทบต่อผลผลิตเช่นกัน ทำให้ผลปาล์มทะลายปกติในช่วงต้นปีจะมีผลผลิตออกตลาดกว่า 2 ล้านตันต่อเดือน ตอนนี้เหลือ 1.7 ล้านตัน นำมาแปรรูปเป็นน้ำมันปาล์มดิบ(ซีพีโอ) ได้ประมาณ 3 แสนตัน แต่ยังเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศอยู่ที่ 7-8 หมื่นตัน ใช้ผสมผลิตไบโอดีเซลอีก 7-8 หมื่นตัน ส่งออกไม่เกิน 1 แสนตัน ก็ยังเหลือเป็นสต๊อก
ดังนั้นเมื่อผลผลิตลดลงบางส่วนและตลาดโลกต้องการสูง เมื่อประเทศผลิตและส่งออกหลักหยุดป้อนโลก ก็ต้องหันมาซื้อในแหล่งอื่นแทน อย่างประเทศไทยหรือมาเลเซีย ถือเป็นโอกาสที่ดีต่อการส่งออกน้ำมันปาล์มของไทย สามารถเพิ่มตลาดส่งออกแทนอินโดนีเซียได้ส่วนหนึ่ง หากในอนาคตมีปัญหาผลผลิตในประเทศล้น ก็จะมีตลาดส่งออกดูดซับได้ส่วนหนึ่ง ปัญหาของสวนปาล์มตอนนี้คือต้นทุนปุ๋ยแพง 2-3 เท่าตัวผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และราคาน้ำมัน
นายมนัสกล่าวว่า ส่วนที่สอง คือราคาขายเพื่อการบริโภคแพงขึ้น เป็นเรื่องภาครัฐต้องเข้าไปตรวจสอบโครงสร้างต้นทุน ทุกช่วงของกระบวนการผลิต ตั้งแต่โรงงาน พ่อค้าคนกลาง ค้าส่ง จนถึงค้าปลีก ช่วงใดมีการขึ้นราคาเกินจริงหรือมีการฉวยโอกาสทำกำไรมากเกินไปหรือไม่ เรื่องนี้รัฐสามารถตรวจเช็กขั้นตอนผลิตและช่วงเวลาวางจำหน่ายก็จะรู้ว่าราคาขายปลีกปั่นราคาเกินจริงหรือไม่ วันนี้ผลปาล์มสดขายจากสวน โรงงานรับซื้อประมาณ 9.90 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรัฐตรวจสอบค่าบริหารจัดการบวกค่าตลาดก็จะรู้ว่า ราคาปาล์มขวดควรเป็นเท่าไร ได้เข้าห้างต้นสัปดาห์ยังเห็นปาล์มขวด (1 ลิตร)ราคา 64-65 บาท พอกลางสัปดาห์มีข่าวว่าถึง 70 บาท
“ในความเป็นจริงมันมีสต๊อก ถ้าเป็นล็อตเก่าก็ควรขายเท่าเดิม หากเป็นล็อตใหม่ต้นทุนเพิ่มก็ต้องแพงขึ้น เป็นเรื่องที่ประชาชนเข้าใจได้ อีกเรื่องที่อยากเตือนคือการตื่นตระหนกทำให้เกิดการซื้อเกินจำเป็น ซื้อตุน หรือห้างร้านปล่อยสินค้าในสต๊อกน้อยกว่าปกติ ทั้งที่ผลผลิตในประเทศไม่ได้ขาดแคลน อีกทั้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมผลผลิตฤดูกาลใหม่จะเริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้น และผลผลิตกลับมาเกิน 2 ล้านตันอีกครั้ง หากไม่มีการบิดเบือนตลาด ตัวเลขสต๊อกครั้งหน้าน่าจะเกิน 2 แสนตันแล้ว เพราะแต่ละเดือนมีสต๊อกเหลือจากบริโภคและส่งออกประมาณ 5 หมื่นตันต่อเดือน หากผิดเพี้ยนก็จะขอเข้าพบรองนายกฯจุรินทร์ วิตกว่าหากมีบิดเบือนหรือฉวยโอกาสอาจกระทบมาถึงชาวสวนได้” นายมนัสกล่าว
WHO จับตา "โอมิครอน" แตก 3 สายพันธุ์ย่อย 'หมอธีระ'ชี้แพร่ไวกว่า BA.2
https://www.nationtv.tv/news/378871515
หมอธีระ เผยข้อมูล WHO จับตาการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.4 BA.5 และ BA.2.12 หวั่นก่อให้เกิดการระบาดระลอกใหญ่รอบใหม่ ชี้มีการแพร่เชื้อได้เร็วกว่า BA.2
30 เมษายน 2565 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ หรือ “หมอธีระ” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Thira Woratanarat” เผยข้อมูลจาก WHO หรือ องค์การอนามัยโลก กำลังจับตาสถานการณ์โควิด19 โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย ที่มีการแพร่เร็วขึ้น หวั่นเกิดการระบาดระลอกใหม่ มีเนื้อหาดังนี้..
30 เมษายน 2565 เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 548,940 คน ตายเพิ่ม 2,170 คน รวมแล้วติดไปรวม 512,712,863 คน เสียชีวิตรวม 6,258,641 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 7 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 76.11 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 73.59 การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 26.1 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 21.61
สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก
ทั้งนี้จำนวนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานนั้นคิดเป็น 27.5% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย
หากดูจำนวนการติดเชื้อใหม่ต่อวัน รวม ATK ไทยเราจะติดอันดับ Top 10 ของโลกมาติดต่อกันยาวนานถึง 43 วันแล้ว
ส่วนจำนวนการเสียชีวิตต่อวันนั้น ติดอันดับ Top 10 ต่อเนื่องมาแล้ว 14 วัน
อัพเดตสายพันธุ์ Omicron BA.4 และ BA.5
หากจำกันได้ ไม่กี่วันก่อนทางองค์การอนามัยโลกระบุในรายงาน WHO Weekly Epidemiological Update ว่าต้องจับตาดูสายพันธุ์ย่อยของ Omicron คือ BA.4, BA.5, และ BA.2.12
ข้อมูลล่าสุดเมื่อคืนนี้จาก Sigallab ประเทศแอฟริกาใต้ ยืนยันว่าภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อสายพันธุ์เดิมของ Omicron คือ BA.1 นั้นไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อของสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ได้ (ดังภาพที่ 1)
ด้วยความรู้จนถึง ตอนนี้ BA.4 และ BA.5 น่าจะมีโอกาสที่จะนำไปสู่การแพร่ระบาดใหม่ (new wave) ได้ หากไม่ป้องกันให้ดี เพราะมีสมรรถนะในการแพร่ได้ไวกว่า BA.2 และดื้อต่อภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิมของ Omicron BA.1
เชื่อว่าสายพันธุ์ทั้งสองน่าจะมาจากการมีแหล่งที่เพาะบ่มการติดเชื้อเป็นเวลานาน เช่น คนที่ติดเชื้อเรื้อรัง (chronic infection) หรือมาจากสัตว์ที่เป็นรังโรค (reservoir)
ไทยเรานั้น เปิดประเทศเดือนพฤษภาคม จะมีคนเดินทางมามากขึ้น การป้องกันตัวระหว่างการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ในสังคมมีมาก ทั้งเรื่องการเปิดเรียน และจำนวนการติดเชื้อใหม่รายวันที่สูงติดอันดับ Top ten ของโลกมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 6 สัปดาห์แล้ว
อัพเดต Long COVID
อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า มีแนวโน้มยาวนานกว่าปี
การศึกษาจาก Fernández-de-las-Peñas C และทีมวิจัยในสเปน ติดตามผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 1,593 คน ซึ่งเคยติดเชื้อแล้วได้รับดูแลรักษาในโรงพยาบาล พบว่าหลังออกจากโรงพยาบาลไป มีคนที่ประสบปัญหา Long COVID โดยอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าสูงถึง 60% และแม้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปี ก็ยังมีคนที่ยังคงมีอาการดังกล่าวในสัดส่วนใกล้เคียงเดิม ลดลงไม่มาก (ภาพที่ 2)
การศึกษานี้จึงสะท้อนให้เราเห็นความสำคัญในการป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ ย่อมจะดีกว่า เพราะหากเกิดติดเชื้อแล้วจับพลัดจับผลูเป็น Long COVID ก็ย่อมส่งผลบั่นทอนสมรรถนะในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานได้ในระยะยาว
“ใส่หน้ากากนะครับ สำคัญมาก เว้นระยะห่างจากคนอื่น พบปะคนใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น ระมัดระวังกิจกรรมเสี่ยงและสถานที่เสี่ยงต่างๆ ” หมอธีระ กล่าวในตอนท้าย
อ้างอิง :
Fernández-de-las-Peñas C et al. Exploring the recovery curve for long-term post-COVID dyspnea and fatigue. European Journal of Internal Medicine. 28 April 2022.
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224246438221110