รู้จักโรคแอสเพอร์เกอร์ Asperger’s Syndrome (ออทิสติกแบบ High function) ตอนที่ 11 ชีวิตกับการโดนแกล้ง

The Asperger story By P surachet ตอนที่ 11 ชีวิตกับการโดนแกล้ง
 บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ โรคแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Syndrome) ที่มาจากประสบการณ์ตรงของผม จากที่ผมเคยเรียน จากคุยกับเพื่อนที่เป็นเหมือนกัน และจากคุณหมอครับ เนื่องจากว่าผมเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์และได้พบกับความยากลำบากหลายอย่างทั้งๆ ที่ผมเป็นน้อย และคนในสังคมไทยไม่ค่อยได้รู้จักโรคนี้ ผมจึงคิดที่จะทำสื่อเพื่อให้คนไทยรู้จักมากขึ้น โดยได้เขียนบทความที่ชื่อว่า “The Asperger story By P surachet” โดยจะแบ่งเป็น 15 ตอน อันนี้จะเป็นตอนที่ 11 ครับ หากว่าใครชอบดูในรูปแบบของคลิปวิดีโอมากกว่า สามารถรับชมคลิปได้เลยครับ แต่ถ้าใครชอบอ่านก็เลื่อนลงไปอ่านบทความได้เลยครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

 อันที่จริงในตอนแรกผมไม่คิดจะใส่เรื่องการแกล้งลงไปในบทความของเราเพราะผมว่ามันไม่ใช่ผลของโรคโดยตรง แต่คิดไปคิดมามันก็มีเรื่องน่าสนใจอยู่เพื่อท่านใดอยากรู้ผมก็เลยตัดสินใจเพิ่มบทนี้ขึ้นมาครับ ขอพูดก่อนครับว่าการแกล้งนั้นผมจะพูดถึงภาพรวมๆ ก่อนแล้วค่อยๆ เจาะลงไปในบางช่วงอายุที่ผมโดนแกล้งเยอะ ต้องเรียนก่อนว่าสำหรับปัญหาการโดนแกล้งนั้นผมจะใช้จากประสบกาณณ์มากกว่าปรึกษาหมอเนื่องจากอย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นว่า ผมไปหาหมอช่วงอายุ 9 -10 ปี และเว้นช่วงไปอีกครั้งตอนอายุ 18 ปี แต่ช่วงที่ผมโดนแกล้งเยอะที่สุดอยู่ในช่วงมัธยมต้นครับ ดังนั้นผมว่าผมผ่านจุดนั้นมาได้ด้วยตัวเองมากกว่าเดียวเราจะมาเล่าประสบกาณณ์ให้ฟังครับ
.
.
 เอารวมๆ ก่อนละกัน ผมเชื่อว่าเด็กพิเศษนั้นโดนแกล้งเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเรามักจะมีลักษณะบางอย่างที่น่าดึงดูด ถ้าเรามองจากบุคลิกภายนอกมันก็จะมีบางอย่างที่ดูมึนๆ ท่าทางและการพูดแปลกๆ และดูไม่ค่อยทันคน ผมอาจไม่ต้องลงรายละเอียดในนี้เพราะตอนที่ผ่านๆ มาท่านก็คงจะพอจะมองออกแล้ว แล้วในเวลาต่อมาถ้าเกิดว่าคนนั้นรู้จักเรามากขึ้นก็เป็นไปได้ที่พฤติกรรมหลายๆ อย่างของพวกเราจะดูดึงดูดให้คนแกล้งได้ ผมก็โดนครับ ผมโดนทั้งเพื่อน ทั้งญาติ และคนทั่วๆ ไป แกล้งด้วยคำพูด ไม่ว่าจะเป็น ไอ้เอ๋อ ไอ้โรคจิต ไอ้คนไม่เต็ม ไอ้พิการ และอีกหลายๆ อย่าง ผมก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องไปสนใจครับ ผมว่าเรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับมันไหม คนมีปากมันอยากจะพูดอะไรมันก็พูดได้ครับ บางครั้งคนเรามีความเจ็บปวดในตัวมันต้องการระบายออกมาโดยการกดขี่คนอื่นด้วยคำพูด บางคนตัวมันเองอะโดนมากับตัวแล้วเกิดการฝังใจหรือเกิดการที่รู้สึกว่าต้องส่งต่อความเจ็บปวดก็เลยส่งสิ่งไม่ดีไปผู้อื่นต่อ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามผมว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับมันไหม เราห้ามคนอื่นไม่ได้หรอกครับแต่เราเองก็รู้ความจริงอยู่ว่าเราเป็นอย่างไร สุดท้ายมันจะด่าเราให้ตายมันก็ทำอะไรกับเราไม่ได้อยู่ดีครับถ้าเราไม่สนใจ นี้คือสิ่งที่หลายๆ ท่านควรจะสอนน้องๆ ครับเพื่อให้เขาเติบโตต่อไปได้โดยที่มีความแข็งแกร่งจากตัวเอง ยิ่งในสังคมปัจจุบันทุกอย่างเร็วและแรงขึ้นยิ่งต้องฝึกให้รู้จักคนครับ
.
.
การแกล้งในโรงเรียน
.
 ผมจะเข้าเรื่องการโดนแกล้งอีกประเภทหนึ่งคือการโดนแกล้งในโรงเรียนครับ ซึ่งการแกล้งในโรงเรียนอาจมีทั้งในรูปแบบ วาจา ร่ายกาย จิตใจ อันที่จริงการแกล้งประเภทนี้มีหมดทุกประเทศครับ ยิ่งถ้าเป็นเด็กพิเศษยิ่งมีโอกาสโดนครับ ผมจะสรุปสั้นๆ นะครับจะไม่ลงลึกในเรื่องนี้มาก ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเด็กอย่างพวกเรามันจะมีความสัมพันธ์ทางสังคมไม่เหมือนคนอื่นมันก็อาจทำให้โดนแกล้งง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เด็กพิเศษทุกคนจะโดนแกล้งครับ จากที่ผมคุยกับอีกหลายๆ คนเด็กพิเศษบางคนกลับเป็นคนแกล้งคนอื่นจนคนอื่นกลัวก็มี แต่อันนั้นเราไม่พูดในนี้ครับอันนั้นท่านต้องไปปรึกษาผู้เชียวชาญเพื่อปรับพฤติกรรม เพราะพวกนี้มันเกี่ยวข้องกับการที่เขาไม่เข้าใจคนอื่น ไม่เข้าใจสังคมและการคุมอารมณ์ สำหรับเด็กพิเศษที่ถูกแกล้งนั้นอย่างที่ผมได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่ามันจะมีลักษณะบางอย่างที่น่าโดนจึงตกเป็นเป้าหมาย เราจะไปหาสาเหตุจริงๆ ได้ยากครับ บางครั้งปัญหาไม่ได้อยู่ที่เราแต่อยู่ที่คนที่มาแกล้งเรา เด็กพวกนั้นอาจมีปัญหาของเขาอยู่แล้วเขาจึงมาลงกับเรา
.
.
 ที่นี้การแก้ไขปัญหาผมมองว่ามันขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ บางครั้งการใช้วิธียอมก็อาจได้ผล เพราะมันจะมีคนบางจำพวกที่แกล้งแปบเดียวเดียวก็เลิกแต่ก็มีบางครั้งที่ยาว แต่ถ้าใช้วิธีนี้ต้องระวังว่าตัวเองจะเก็บกดไหม จะเก็บความแค้นไหม หรือจะมีปัญหาที่จิตไหม อาจเป็นโรคกลัวหรือซึมเศร้าในอนาคต อันนี้ต้องระวังครับ บางคนใช้วิธีสู้ ถ้าโดนแกล้งด้วยความรุนแรงก็รุนแรงกลับก็อาจได้ผลครับแต่เรื่องมันอาจบานปลายได้ อีกอย่างสู้แล้วต้องสู้ให้ได้ครับเพราะถ้าสู้ไม่ได้อาจโดนหนักกว่าเดิม อีกวิธีที่หลายๆ คนใช้กันก็คือ “สร้างจุดเด่นขึ้นมา” คนหลายๆ คนที่โดนแกล้งเป็นเพราะว่ามีจุดด้อย ยิ่งเป็นเด็กพิเศษยิ่งมีจุดด้อยเห็นชัด ดังนั้นต้องสร้างจุดเด่นขึ้นมา เราพบว่าคนที่มีจุดเด่นเช่น เรียนเก่ง เก่งเรื่องดนตรี เก่งเรื่องกีฬา หรือมีเรื่องอะไรสักเรื่องเก่งกว่าชาวบ้านมักจะโดนแกล้งน้อยครับและเพื่อนก็จะยอมรับมากขึ้น บางคนเพื่อนต้องมาขอความช่วยเหลือจากเราด้วยซ้ำ ถ้าจะว่าไปเด็กพิเศษมีจุดแข็งตรงนี้ครับก็คือจะมีเรื่องหนึ่งที่เก่งกว่าคนอื่นเสมอ เราอาจใช้ส่วนนี้แสดงออกให้เพื่อนรับรู้ครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน จริงๆ มันมีวิธีมากกว่าที่ผมยกตัวอย่างมา ต้องดูครับว่าคุณเหมาะกับวิธีไหน สุดท้ายผมเชื่อว่าเด็กอย่างพวกเราก็พอจะมองทะลุถึงสันดานคนได้ครับ สุดท้ายเราต้องสอนเขาครับว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนอื่นอาจรักแกเราได้ คนมีหลายแบบ แต่เราจะต้องอยู่กับมันให้ได้ ถ้ามันไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนมากเช่นอาจแกล้งทางวาจาอย่างเดียว บางที่การไม่สนใจแล้วปล่อยให้มันเห่าไปจนมันคอแห้งไปเองก็อาจเป็นวิธีที่ดีครับ แต่ถ้ามันสร้างความเดือดร้อนให้กับเราเราก็ต้องไม่ยอมครับ ต้องยอมรับคนคนมีทั้งด้านดีและด้านเลวแต่เราเลือกที่จะเสพแต่ด้านดีได้ครับ
.
.
 ผมขอพูดอีกสักเรื่องครับ แต่อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกก็ได้ ส่วนตัวผมไม่ชอบทำกิจกรรมเช่น กิจกรรมกีฬาสี กิจกรรมรับน้อง และคิดว่ามีอีกหลายคนไม่ชอบ ทีนี้ผมว่าต้องดูว่าเขาบังคับไหม ถ้าไม่บังคับเราไม่ชอบก็ไม่ต้องไปทำครับ อย่างกิจกรรมรับน้องมันก็จะมีเทคนิคการพูดหลายๆ อย่างให้เราต้องเข้าร่วม ทั้งหมดผมว่ามันเป็นแค่คำหลอกหลวงครับ เขาแค่ต้องการให้เราเข้าร่วมเท่านั้น อย่างตอนรับน้องผมไม่เข้าร่วมก็มีคนบอกต่างๆ นาๆ เช่น จะไม่มีเพื่อนคบ ต่อไปจะหางานยากเพราะไม่รู้จักรุ่นพี่ บางคนพูดว่ามีผลต่อการเรียนด้วย ผมก็ไม่เข้าร่วมครับก็ไม่มีผลอะไรเลยซักอย่างแค่เราอาจรู้จักคนน้อยลงซึ่งผมไม่สนใจอยู่แล้ว ส่วนถ้าเกิดว่าเขาบังคับให้เขาหรืออยากลองเข้าร่วมอันนี้ต้องปรึกษาผู้เชียวชาญครับผมไม่มีข้อมูลตรงนี้แต่สำหรับตัวผม ผมก็เคยถูกบังคับเข้าร่วมส่วนตัวไม่อยากทำเพราะมันมีหลายอย่างที่ไม่ชอบเช่น ร้องเพลงตบมือ เต้น โดนด่า แต่คิดว่าเป็นประสบการณ์ทนๆ ทำไป เอาเท่าที่ได้ยังไงเขาก็ไม่ทำร้ายเราหรอกครับ
.
.
 ผมขอพูดนอกเรื่องนิดหนึ่งครับ พอดีพึ่งคิดได้เลยขอเติมตรงนี้ ตอนสอบเข้ามหาลัยผมมีปัญหากับข้อสอบ GAT ภาษาไทยเชื่อมโยง ผมอ่านเข้าใจนะแต่เชื่อมอะไรไม่ได้เลย เดาอะไรไม่ได้ มองอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ตอบมั่วเลย คะแนนออกมาก็น้อย แต่ว่าสุดท้ายก็ไปเข้าเอกชนเลยไม่ได้ใช้คะแนนนี้ แต่ผมก็มีถามหมอซึ่งหมอบอกว่าเกี่ยวกับโรค เนี้องจากแอสเพอร์เกอร์จะเป็นคนที่ตรง ไม่เข้าใจความหมายแฝงซึ่งเข้าสอบต้องใช้ความหมายแฝง มีปัญหาเรื่องการตีความและสามัญสำนึก (common sense) ซึ่งข้อสอบต้องใช่เพื่อเชื่อมโยงเรื่องราว ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาผมไม่ได้ถามเนื่องจากตอนนั้นผมเรียนปริญาตรีแล้วซึ่งไม่ได้ใช้งานแล้วแต่บอกไว้เป็นแนวทางเพื่อคนอื่นมีปัญหาจะได้ไปปรึกษาคุณหมอได้ครับ

ผม P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร 
สามารถติดตามและพูดคุยกับผมได้ที่เพจ : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร
หรือลิงค์ : https://www.facebook.com/psurachet95/?show_switched_toast=0&show_invite_to_follow=0&show_switched_tooltip=0&show_podcast_settings=0&show_community_transition=0&show_community_review_changes=0
ช่อง Youtube : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร 
หรือลิงค์ :  https://www.youtube.com/channel/UCcaotwQy4XufCWfUdJGmFtw
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่