รู้จักโรคแอสเพอร์เกอร์ Asperger’s Syndrome (ออทิสติกแบบ High function) ตอนที่ 2 ทำไมถึงบอกเป็นสาธารณะ

The Asperger story By P surachet ตอนที่ 2 ทำไมถึงบอกเป็นสาธารณะ
 บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ โรคแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Syndrome) ที่มาจากประสบการณ์ตรงของผม จากที่ผมเคยเรียน จากคุยกับเพื่อนที่เป็นเหมือนกัน และจากคุณหมอครับ เนื่องจากว่าผมเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์และได้พบกับความยากลำบากหลายอย่างทั้งๆ ที่ผมเป็นน้อย และคนในสังคมไทยไม่ค่อยได้รู้จักโรคนี้ ผมจึงคิดที่จะทำสื่อเพื่อให้คนไทยรู้จักมากขึ้น โดยได้เขียนบทความที่ชื่อว่า “The Asperger story By P surachet” โดยจะแบ่งเป็น 15 ตอน อันนี้จะเป็นตอนที่ 2 ครับ หากว่าใครชอบดูในรูปแบบของคลิปวิดีโอมากกว่า สามารถรับชมคลิปได้เลยครับ แต่ถ้าใครชอบอ่านก็เลื่อนลงไปอ่านบทความได้เลยครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

 หลายๆ ท่านที่เกี่ยวข้องกับเด็กพิเศษก็คงจะพอรู้มาบ้างว่าส่วนใหญ่คนที่เป็นมักจะไม่บอกคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เป็นน้อยๆ แต่ถ้าเป็นเยอะก็อาจต้องบอกด้วยสภาพพฤติกรรมมันปิดกันไม่ได้ ในความเป็นจริงนั้นถ้าเราเป็นควรจะบอกคนอื่นเพื่อจะให้คนอื่นเข้าใจ และหาจุดร่วมในการปรับตัวซึ่งกันและกันซึ่งเป็นผลดีทั้ง 2 ฝ่าย แต่เนื่องจากสังคมไทยไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้ทำแบบนั้นซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือโอกาสที่บอกคนอื่นและซวยจะมีมากกว่า เราจึงไม่ค่อยบอกกัน ในโรงเรียนของผมนั้นอันที่จริงมีเด็กพิเศษอยู่เหมือนกันแต่จะมีอาการที่ไม่มาก (ส่วนใหญ่จะเป็นสมาธิสั้น) เนื่องจากว่ามันไม่ใช่โรงเรียนการศึกษาพิเศษเราจึงไปว่าอะไรกันไม่ได้ ในตอนแรกที่บ้านก็เคยคุยกับหมอว่าควรจะพาลูกไปเรียนโรงเรียนการศึกษาพิเศษไหม ซึ่งหมอบอกว่าดีที่สุดคือเรียนร่วมแต่ในประเทศไทยนั้นไม่ค่อยมีการเรียนร่วม ส่วนใหญ่จะแยกไปเรียนโรงเรียนการศึกษาพิเศษซึ่งหมอมองว่าเนี่องจากผมเป็นไม่เยอะการเรียนร่วมจะส่งผลดีกว่า และหมอมองว่าผมเอาตัวรอดได้ถึงโรงเรียนจะไม่ใช่โรงเรียนเรียนร่วมจะเป็นโรงเรียนปกติทั่วๆ ไป จึงตัดสินใจเรียนโรงเรียนนี้ต่อ
.
.
 ในโรงเรียนนั้นก็มีรุ่นพี่ รุ่นน้อง หลายคนเหมือนกันที่เป็นเด็กพิเศษ ผมไม่แน่ใจว่าเขาได้บอกใครอย่างเป็นทางการไหม คนอื่นจะทราบไหม แต่ผมมองออกจึงเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น แต่ดูเหมือนกับว่าเพื่อนของจะไม่เข้าใจซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นปัญหาเรื่องการแกล้งกัน สำหรับผมนั้นเพื่อนของผมนั้นดี เขาไม่รู้หรอกว่าเราเป็นอะไรรู้แค่ว่าแปลกๆ แต่ว่าเขาก็ไม่แบ่งแยกยังไงก็เป็นเพื่อนกันได้ ผมเคยคุยกับหมอเราจึงพบว่าจริงๆ ส่วนใหญ่เด็กพิเศษที่ไปเรียนในโรงเรียนปกติและโรงเรียนไม่ได้มีระบบดูแลเด็กพิเศษส่วนใหญ่จะมีปัญหาหมด นอกจากแกล้งแล้วยังไม่ยอมรับอีกด้วย แต่ผมนั้นมีจุดเด่นตรงที่ ไม่สู้คน ยอมคน มองโลกในแง่ดี และที่สำคัญคืออาการของโรคเป็นไม่มาก มันก็เลยทำให้เพื่อนยอมรับเรา บางครั้งการเป็นเยอะอาจมีข้อดีกว่าการเป็นน้อยตรงที่เขาจะเห็นชัดๆ ไปเลยว่าเป็นอะไร ถ้าคนเข้าใจก็จะจบ ถ้าไม่เข้าใจก็ต่างคนต่างอยู่ไม่ก็อาจมองเราในทางลบ แต่ถ้าเป็นน้อยบางคนคนจะใช่เกณฑ์ของคนปกติมาปฏิบัติกับเราซึ่งความจริงแล้วทำแบบนั้นไม่ได้แต่เขาไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรเขาจึงใช่เกณฑ์คนปกติมาตัดสินเรา นั้นก็เป็นอีกปัญหา
.
.
 แม่ผมเคยไปบอกครูเหมือนกันว่าเป็นโรคซึ่งครูกับไม่รู้จัก สุดท้ายจึงได้ไปคุยกับหมอจึงได้ข้อสรุปว่า อย่าไปบอก บางครั้งโรงเรียนปกติเขาไม่รู้วิธีทำให้เพื่อนเข้าใจ พอครูบอกเพื่อนไป เพื่อนยิ่งไม่ยอมรับ เพื่อนบางคนอาจแกล้งและทำร้าย ตั้งแต่นั้นมามันก็เหมือนกับใบคำสั่งปิดปากว่าไม่ให้บอกใครว่าเป็นโรคนี้และด้วยอาการที่มันไม่เยอะมันก็เลยเนียนๆ ต่อไปได้ ผมจึงใช้วิธีนี้ต่อไปเรื่อยๆ
.
.
 และในวันที่โตขึ้นเราจึงรู้สึกกังขากับเรื่องนี้ ช่วงที่ผมอยู่ชั้น ม.6 อยู่ดีๆ ผมก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าเราไม่บอกใครก็จะไม่มีใครรู้ เมื่อเขาไม่รู้เขาก็จะปฏิบัติกับเราไม่ถูก นี้โชคดีที่ผมเป็นน้อยและปรับตัวได้เองในช่วงตั้งแต่ ม.3 แล้วกับคนอื่นๆ ละ และถ้ายิ่งไม่มีใครบอกคนไทยไม่รู้จักโรคนี้อยู่แล้วก็จะยิ่งไม่รู้จักมากขึ้น แทนที่เราจะประโคมข่าวเพื่อให้คนรู้จักจะได้รู้วิธีรับมือ (แต่นั้นแระประเทศไทยก็รู้ๆ กันอยู่ไม่ใครจะประโคมข่าวให้เราหรอก) เราจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ ผมจึงรู้สึกว่าวิธีคิดนี้มันผิดสำหรับผม มันเป็นวิธีที่เห็นแก่ตัว กล่าวคือมันเป็นวิธีที่ถูกต้องสำหรับตัวเราเพราะมันเป็นการป้องกันตัวเอง การที่เรียนรู้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักโรคถ้าบอกไปโอกาสซวยจะมีมากกว่าเฮง เราจึงเลือกที่จะไม่บอกกัน แต่นั้นแระอย่างที่ผมบอกและถ้าเราเลือกที่จะไม่พูดคนอื่นๆ จะรู้จักไหม สำหรับใครที่ใช้วิธีนี้ผมว่ามันก็ไม่ผิดครับ เราแต่ละคนมีวิธีที่เหมาะสมไม่เหมือนกัน ถ้ามันเหมาะกับคุณก็ใช้เลย แต่สำหรับผมผมว่ามันไม่ใช่
.
.
 ผมจึงตัดสินใจออกนอกคำสั่ง โดยเราแอบบอกเพื่อนที่เราสนิทซัก 3 คนและบอกครูแนะแนว แล้วดูผลที่ออกมา สำหรับครูแนะแนวผมบอกเพราะว่าเราคุยกันเยอะและครูได้เรียนจิตวิทยามาผมจึงคิดว่าน่าจะเป็นคนที่เหมาะสุดในโรงเรียน เมื่อบอกไปแล้วครูอาจรู้จักผ่านๆ เขามองไม่ค่อยออกซะทีเดียว เขาพอรู้ว่ามีคนอื่นที่เป็นเพราะอาการชัดกว่า ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกอะไรเยอะแต่ก็มีให้คำแนะนำบ้างเล็กน้อย ในตอนนั้นผมอยู่ ม.6 ยังไม่รู้อะไรมาก ในตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคนเรียนจิตวิทยาก็มีขอบเขตของเขาถ้าเขาไม่ได้เรียนเรื่องเด็กพิเศษโดยตรงเขาก็ไม่รู้อะไรเท่าที่ควร แต่ก็นั้นแระบอกไปแล้วนิซึ่งเอาจริงๆ มันก็เป็นการดีที่เขาเข้าใจระดับหนึ่งแต่ว่าการให้คำปรึกษาอาจไม่ได้ดีเท่าที่ควรเพราะเขาไม่ได้เรียนด้านนี้โดยตรง สำหรับเพื่อนนั้นผมก็ได้ลองบอกซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันได้แค่รู้สึกว่าแปลกกว่าคนอื่น ก็ว่าไปจะเอาอะไรกับคนอายุ17 บางคนก็บอกว่าแกล้งเป็นคือพยายามที่จะเป็นแบบนี้มากกว่า (แบบนี้ก็มี) ซึ่งความจริงแล้วแม้แต่นักแสดงก็ยังแสดงเป็นเด็กพิเศษยากเลย แล้วนี้เป็นตลอดเวลาทั้งชีวิตมันแกล้งเป็นกันไม่ได้หรอกครับ
.
.
 แต่มีอยู่คนหนึ่งเขาก็ได้บอกกับผมว่า “จะเป็นอะไรก็เรื่องของ แต่เป็นเพื่อนกู” ก็นั้นแระครับเขาอาจไม่เข้าใจแต่เขาก็ยอบรับในสิ่งที่เราเป็น เมื่อโตขึ้นมาผมได้เจอคนหลากหลายขึ้น ผมถือว่าโชคดีที่เพื่อนยอมรับเราซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้ไม่ได้โชคดีแบบนี้ ในตอนมหาลัยก็มีปัญหาบ้างรายละเอียดผมจะเล่าในตอนอื่นๆ ครับ แต่เมื่อโตขึ้นผมได้พบกับคนหลายๆ คน มีเพื่อนหลายๆ กลุ่มมากขึ้น และมีคนบางจำพวกที่เกี่ยวข้องกับเด็กพิเศษ เราเป็นเพื่อนกันกับคนกลุ่มนี้ได้ระยะหนึ่งจึงได้บอกกับเขาว่าเรียนเป็นโรคนี้ สิ่งที่เขาตอบกลับมาก็คือเขารู้อยู่แล้วว่าน่าจะเป็น แค่เขาไม่ได้พูดกับเรา เขามองออกจากพฤติกรรมหลายๆ อย่าง ซึ่งทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็กพิเศษมองออกหมด แต่อาจมีบางคนที่เจอกันแรกๆ ยังไม่รู้จนได้อยู่ด้วยกันระยะหนึ่งจึงมองออก
.
.
 ปัจจุบันผมว่าผมพอจะสรุปเบี้องต้นได้แล้วว่า ถ้าคนที่มองไม่ออกก็จะมองว่าเราแปลกๆ แต่ถ้ามองออกก็จะรู้ว่าเป็นอะไร และในตอนนี้ผมว่าผมโตพอที่ผ่านสังคมบังคับมาได้แล้ว สังคมบังคับคือสังคมที่เราไม่มีทางเลือกเช่นการต้องอยู่ในโรงเรียน กล่าวคือไม่ควรทำอะไรที่ทำให้เกิดปัญหา อีกอย่างในตอนนี้เพื่อนผมและหลายๆ คนรวมทั้งตัวผมก็โตกันหมดแล้ว พอที่จะเข้าใจชีวิตกันในระดับหนึ่ง ผมจึงมองว่าเราจะทำอะไรมันก็ขึ้นอยู่กับเราแล้ว ผมจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นวิธีของผมนั้นก็คือการบอกให้เป็นสาธารณะเพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน
.
.
สำหรับท่านใดมีคำถามสามารถถามได้ครับ ถ้าหากเรื่องน่าสนใจจะทำเป็นตอนต่อไปครับ
.
.
ผม P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร 
สามารถติดตามและพูดคุยกับผมได้ที่เพจ : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร
หรือลิงค์ : https://www.facebook.com/psurachet95/?show_switched_toast=0&show_invite_to_follow=0&show_switched_tooltip=0&show_podcast_settings=0&show_community_transition=0&show_community_review_changes=0
ช่อง Youtube : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร 
หรือลิงค์ :  https://www.youtube.com/channel/UCcaotwQy4XufCWfUdJGmFtw
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่