นี่เป็นกระทู้แรกที่เคยเขียนเลยค่ะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดขอโทษด้วยนะคะ ;-;
เกริ่นก่อนเลยนะคะว่าครอบครัวเรา ตั้งแต่เราเป็นเด็กๆแม่กับพ่อเราได้ฝากเราไว้กับป้าค่ะเพราะเขาต้องไปทำงานต่างประเทศ เราเลยไม่ค่อยจะสนิทหรือได้พูดคุยกับเขาสักเท่าไหร่ เขาจะส่งเงินมาให้ค่าเรียนกับค่ากินอยู่แต่ได้เจอกันก็2-3ปีครั้งค่ะเราเลยจะสนิทและรู้สึกเป็นกันเองกับพวกป้าๆลุงๆที่เราอยู่ด้วยมากกว่า ทีนี้ตอนเราอายุได้ 11 เขาก็มาบอกเราแบบไม่ได้ตั้งตัวว่าเขาจะพาเราไปอยู่ด้วย ใช้เวลา2-3เดือนในการทำเรื่องต่างๆแล้วเขาก็พาเราไปด้วยเลย เราไม่ได้ทีเวลาพอที่จะบอกลาเพื่อนๆเพราะตอนนั้นปิดเทอมใหญ่พอดี จะได้มีคุยกับแค่เพื่อนสนิทตอนนั้นแค่ไม่กี่คน ป้ากับลุงเราก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ โรงเรียนที่ไทยก็คือลาออกไปเลยปุ๊ปๆปั๊ปๆ
ในตอนนั้นเราก็ยังเด็ก ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะแค่คิดว่าจะได้อยู่กับครอบครัวจริงๆแล้ว จะได้ไปต่างประเทศ จะได้ไปเจอเหมือนที่ดูในทีวี เราก็ดีใจอย่างเดียว พอมาถึงเราก็ใช้ชีวิตอยู่กับเขาไปแต่(ในความรู้สึกของเรานะคะ)เราไม่ได้รู้สึกว่ามันเหมือนครอบครัวจริงๆเลยอ่ะค่ะ เราไม่ได้มีความสุขเหมือนกับตอนที่เราอยู่ที่ไทย เคยมีบอกเขานะคะว่าอยากกลับไทยเขาก็แค่บอกมาว่า 'ฉันพาเธอมาแล้วจ่ายตังทำเรื่องให้มาแล้ว กลับไปไม่ได้หรอก มานี่ก็มาเพื่ออนาคตของเธอ'
จนเปิดเทอมมาเราต้องไปเรียน ภาษาที่เขาใช้กันคือภาษาอังกฤษ เราเป็นคนที่ไม่เก่งอังกฤษมากๆเลยค่ะตอนอยู่ไทย ไม่เคยตั้งใจเรียนคาบอังกฤษเลย5555555 ก็เลยไม่มีเพื่อน ไม่มีคอนเนคชั่นอะไรกับใครเลยเพราะเราพูดกับใครไม่ได้ค่ะ คนไทยโรงเรียนนี้ก็ไม่มี ล่ามก็ไม่มี ช่วงปีแรกนี่เรานั่งเรียนแบบไม่รู้อะไรเลยค่ะ5555 กลับบ้านไปก็นั่งร้องไห้ทุกวัน พ่อกับแม่เราก็ช่วยอะไรเราไม่ค่อยได้เพราะพวกเขาก็ไม่ค่อยเก่งอังกฤษ เขาชอบบอกว่า 'พ่อกับแม่จบกันแค่ป.3 ป.4 เอง จะเอาอะไรมาช่วยเธอ' อีกอย่างถ้าเราร้องไห้หรือไปคุยกับเขาเรื่องอะไรเขาก็จะปัดๆว่าเขาช่วยไม่ได้หรือพูดว่า 'ร้องทำไม ทำไมต้องร้อง เธอเป็นคนเก่งเธอต้องไม่ร้องสิ' แต่ไม่เคยที่จะปลอบหรือให้กำลังใจเราเลยทั้งๆที่ตอนนั้นเราแค่อยากได้กำลังใจเพื่อที่จะสู้ต่อเท่านั้นเอง ;-;
พอเราโตขึ้น เรียนรู้ภาษาเยอะขึ้น เริ่มมีเพื่อนแล้วเราก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยขึ้นค่ะ จะมีอยู่ช่วงนึงค่ะที่เราออกจากบ้านทุกวัน ไปเจอเพื่อน แม่เราจะชอบน้อยใจค่ะ ชอบพูดว่า 'ออกไปอะไรกะนักกะหนา ไม่อยู่บ้างบ้านช่อง' หรือชอบพูดตัดพ้อเชิงว่า 'ใช่สิ เธอรักเพื่อนมากกว่าพ่อแม่อยู่แล้วนี่ ออกไปเลย ไปอยู่กับเพื่อนเลยให้เพื่อนมันดูแลเอา' ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกแย่มากๆกับตัวเองค่ะ เราแค่อยากใช้ชีวิตให้สนุก ได้มีความสุขกับเพื่อนๆกับชีวิตวัยเด็กแค่นั้นเอง ที่เราออกไปก็ไม่ใช่ว่าเราไม่บอกเขาหรืออะไรเลยนะคะ เราบอกตลอดค่ะว่าจะไปกับใครไปตอนไหนกลับมาตอนไหนไปที่ไหน เราเคยคิดค่ะว่าเขาอาจจะแค่เป็นห่วงมากๆก็ได้ ไม่อยากให้เราออกไปเยอะ แต่กลับมาคิดดูอีกที มันมีคำพูดอีกเยอะแยะที่เขาสามารถจะพูดกับเราโดยที่มันไม่แรงขนาดนั้นอ่ะค่ะ นี่คือคำพูดที่ควรพูดกับเด็กอายุ 13 จริงๆหรอ? ทำให้เขาคิดว่าการออกไปข้างนอก ไปเจอเพื่อนคิดการที่'ไม่รักครอบครัวตัวเอง'??? อีกอย่างเขาจะเป็นพวกที่โมโหเร็วโมโหร้าย ชอบพูดอะไรแล้วไม่คิดก่อนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง (อันนี้เรารู้เพราะเราเจอมาตลอดตั้งแต่อยู่กับเขามา 8 ปีค่ะ555) แล้วพอเขาอารมณ์เย็นขึ้นเขาก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมพูดกับเราเหมือนเดิม คือจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ มันทำให้เรารู้สึกว่าเขาไม่แคร์เราสักเท่าไหร่ เวลาเขากลับมาเป็นปกติเขาจะไม่ค่อยขอโทษกับสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้แม้บางทีเขาจะเป็นคนผิด มันทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจสุดๆเลยค่ะ คำพูดของเขามันทำร้ายจิตใจเราไปแล้ว มันเหมือนเราโดนตบหน้าแล้วลูบหลัง
มันก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆค่ะ เขาจะชอบพูดบ่อยขึ้นว่าเราไม่รักเขา เรารักแต่เพื่อน ให้ย้ายออกไปเลยไปอยู่กับเพื่อน บางทีจะเอาเราไปเปรียบเที่ยบกับคนที่เขารู้จักบ้างว่า 'เห็นมั้ยพี่คนนี้คนนั้นรักพ่อแม่เขาจะตาย เขาทำนู่นนี่ให้พ่อกับแม่เขาตลอด เธอน่ะไม่เคยเห็นทำอะไรให้พ่อแม่เลย รักพ่อแม่ไม่จริงนี่หน่า' ทั้งๆที่เราก็พยายามในทางของเราที่สุดแล้วนะคะที่จะแสดงให้เขาดูว่าเรารักเขา เราช่วยเขาทำงาน ซื้อของขวัญวันเกิด ซื้อการ์ดวันพ่อวันแม่ไปให้ บอกรักเขาตลอดแต่พอเขามาพูดแบบนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไปมันไม่มีความหมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะทำอะไรให้เขาเห็นว่าเรารักเขาขนาดไหน พอทะเลาะกันเขาก็จะพูดตลอดว่าเราไม่เคยรักเขาเลย เราเป็นลูกที่ไม่ดี เราเป็นคนอกตัญญู มันทำให้เรารู้สึกเสียความมั่นใจ ทำให้เราไม่มีความสุขกับชีวิตอย่างมาก เราชอบกลับมาคิดเสมอค่ะว่าหรือว่าจริงๆแล้วมันเป็นที่ตัวเราจริงๆ เราเป็นคนแย่คนนึงรึเปล่า บางทีเราก็คิดว่าเขาอาจจะมีความสุขมากกว่าถ้าไม่มีเราในชีวิต แต่เราไม่เคยพูดกับเขาไปตรงๆนะคะเพราะเราไม่กล้า
จนปี 2020 ค่ะ เราได้กลับไปที่ไทยเพราะว่าโควิดที่นี่มันน่ากลัวกว่ามากและพ่อกับแม่เราต้องไปทำธุระบางอย่าง เขาบอกเราค่ะว่าจะไปกับแค่ประมาณสองเดือน เราถามและเมคชัวร์กับเขาแล้วว่าแน่ใช่มั้ยเพราะเราต้องกลับมาเรียนพอดีค่ะ เราพึ่งจบ year 11 ของที่นี่แล้วต้องไปต่อ sixth form พอดี ก็คือว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงในการเรียนครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกของเราค่ะเราเลยไม่อยากทำให้มันเสียไป เขาบอกเราว่าใช่ๆจะไปแค่สองเดือนแน่ เราเลยสบายใจไปค่ะ เอาเข้าจริงๆเราไปอยู่ที่ไทยได้ประมาณ 10 เดือนกว่าค่ะ เพราะติดเรื่องโควิดด้วยและเรื่องธุระของพ่อกับแม่เราด้วยเราเลยกลับมาไม่ได้... เราเสียโอกาสที่จะได้เข้าเรียนพร้อมเพื่อนไปค่ะและโอกาสในอีกหลายๆอย่าง ประเด็นคือเราเคยขอแม่ให้ส่งเรากลับมาก่อนแล้วเพราะเราบอกเขาไว้แล้วว่าเราต้องกลับจริงๆ เราต้องเข้าเรียน แต่เขาไม่ปล่อยเรามาเพราะมันไม่ปลอดภัยค่ะ เราเข้าใจนะคะว่าเขารู้สึกยังไงและถ้าเราเป็นแม่คนเราก็ไม่อยากปล่อยให้ลูกของเราไปเสี่ยงอันตรายในสนามบินคนเดียว ถ้ากลับไปจะไปอยู่กับใครอีก แต่คือตอนนั้นเพื่อนเราอาสาที่จะมารับที่สนามบิน ให้ไปอยู่บ้านเขาได้จนกว่าพวกเขาจะกลับไปค่ะ แต่เขาก็ยังไม่ให้อยู่ดี จริงๆคือเขาเลือกที่จะกลับมาได้นะคะแต่เขาไม่กลับเพราะเขากลัวโควิด.. เรื่องนี้คือเราเข้าใจเลยค่ะว่าเขาแค่อยากจะเซฟไว้ก่อนแต่เราก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่สนใจกับการเรียนของเรา เพราะตอนที่กลับมาเขากลับมาเพราะเขาหมดเงินแล้วค่ะเลยต้องกลับมาทำงาน โควิดก็ยังระบาดอยู่เหมือนเดิมแต่คือเขาต้องกลับมาจริงๆ มันทำให้เรามาคิดค่ะว่า อ้าวแล้วตอนที่เราบอกว่าเราต้องกลับมาเหมือนกันล่ะทำไมเขาถึงไม่กลับ เรารู้นะคะว่ามันไม่ดีที่จะคิดแบบนี้เพราะเขาก็มีเหตุผลของเขาแต่ด้วยอะไรๆที่ผ่านมามันทำให้เราคิดดีๆกับการกระทำแบบนี้ของเขาไม่ได้เลยค่ะ แต่เราก็พูดอะไรไม่ได้อยู่แล้วเราเลยได้แค่คิดค่ะ555
ในระหว่างที่อยู่ที่ไทย มันมีประเด็นเรื่องการเมืองที่ไทยที่ดังขึ้นพอดี เรื่องการชุมนุมแล้วก็นั่นแหละนะคะ ทุกคนคงรู้ๆกันอยู่ เราได้ดูข่าวแล้วก็เริ่มติดตามค่ะ เรานั่งดูการชุมนุมวันที่เขาสลายวันแรกแล้วเราไม่ไหวจริงๆค่ะเราเลยไปขอพ่อกับแม่เพื่อที่จะไปชุมนุม ไปแสดงเสียงของเราในฐานะคนไทยคนนึงที่ไม่อยากถูกกดขี่ค่ะ คำพูดที่เขาบอกเรามาทำให้หมดสัทธาในตัวเขาในเรื่องของพวกนี้ไปเลยค่ะ เขาบอกเราว่า 'จะไปทำไม ไปแล้วได้อะไร ไปก็ไม่ชนะหรอก แม่ผ่านน้ำร้อนมาก่อน เรื่องพวกนี้เธอไม่ต้องยุ่งน่ะดีแล้ว' 'ถ้าไปแล้วทำให้ครอบครัวเราเดือดร้อนจะไปทำไม เราไม่ได้เดือนร้อนอะไรตอนนี้เพราะงั้นไม่ต้องไปยุ่งเรื่องแบบนี้น่ะดีแล้ว' มันเป็น mindset ของพวกที่เราไม่ชอบสุดๆเลยค่ะ พวกที่คิดว่าตัวเองไม่เดือดร้อนอะไรเราจึงไม่ต้องออกไปช่วยคนที่เดือดร้อน เราเลยไม่คุยกับเขาเรื่องนี้อีกเลยค่ะเพราะเราเสียใจไปเปล่าๆ อีกอย่างเขาก็คงไม่ยอมเปลี่ยนความคิด เราปล่อยเขาคิดแบบนั่นไป เราก็คิดแบบของเราไป ไม่ทะเลาะกันคงดีสุดแล้วค่ะ
ทีนี้มันมีอยู่วันนึง รู้สึกเหมือนเขาจะพูดอะไรที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีอีกแล้วค่ะ วันนั้นเราไม่ไหวจริงๆเราก็เลยว่าจะเปิดใจบอกเขาว่าเรารู้สึกยังไง เราก็เริ่มพูดกับเขาเรื่องทุกอย่างที่เราเก็บอัดอั้นใจมาค่ะ ทั้งเรื่องที่เวลาเขาพูดอะไรแบบนี้มันทำให้เราเสียใจขนาดไหน เวลาพูดอะไรอยากให้เขาคิดถึงกระจิตกระใจเราบ้าง เขาได้แค่ตอบกลับมาว่าเราเป็นคนเฉื่อยชา เขาแค่อยากกระตุ้นเรา ทีนี้เขาก็ว่าเราอคติกับเขาค่ะ เขาโยงเข้ามาที่เรื่องเพื่อนอีกแล้วบอกเราว่าเราเชื่อเพื่อนมากกว่าครอบครัว เพื่อนเป็นคนทำให้เราเสียคน นิสัยไม่ดีกับเขา เราทำอะไรผิดพลาดไปเยอะแล้วที่เขาทำมาตลอดเพราะเขาไม่อยากให้เราพลาด ตั้งแต่วันนั้นเราเลยไม่ได้กล้าเปิดใจคุยกับเขาอีกเลยค่ะเพราะเรารู้แล้วว่ายังไงเขาก็ไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาพูดกับเราเลย เขาคิดว่าเขากำลังช่วยเราอยู่ด้วยซ้ำทั้งๆที่ทุกวันนี้เขาคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เขาทำให้เราคิดว่าเราเป็นคนที่แย่ที่สุดในโลกและเราไม่เคยทำอะไรได้ดีเลย
ทุกวันนี้ถ้าเราทะเลาะกันเขาก็จะยังพูดอยู่เสมอค่ะว่าเขาพึ่งพาอะไรเราไม่ได้ เขาน่าจะมีลูกเพิ่มอีกเพื่อที่ว่าลูกคนนั้นอาจจะมีประโยชน์มากกว่าเรา อาจจะช่วยเขาได้มากกว่าเราในทุกวันนี้ ถ้าเราไม่โอเคกับเขาหรือไม่ทำตามอย่างที่เขาบอกให้เราทำเขาก็จะบอกว่าเราเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ ถ้าเราอายุโตกว่านี้นิดหน่อยก็ไปทางใครทางมันเลย เขาบอกให้เราไปอยู่กันเองกับเพื่อนโดยที่ไม่มีเขาดูแลอีกต่อไป ดูว่าจะรอดกันได้ไกลแค่ไหน คำพูดพวกนี้มันทำให้เราไม่อยากอยู่ตรงนี้มากๆเลยค่ะ แต่เราก็ชอบกลับมาคิดเกี่ยวกับความคิดแบบคนไทยของเราๆ เราเป็นคนบาปรึเปล่าคะที่คิดอะไรแบบนี้ เราเป็นคนไม่ดีอย่างที่แม่เราบอกรึเปล่า เราควรทำยังไงดีคะ?? ขอความคิดเห็นจากทุกคนหน่อยค่ะ ;-;
แม่เป็นคนที่ชอบพูดทำร้ายจิตใจเรามากค่ะ ควรคิดยังไงดีคะ
เกริ่นก่อนเลยนะคะว่าครอบครัวเรา ตั้งแต่เราเป็นเด็กๆแม่กับพ่อเราได้ฝากเราไว้กับป้าค่ะเพราะเขาต้องไปทำงานต่างประเทศ เราเลยไม่ค่อยจะสนิทหรือได้พูดคุยกับเขาสักเท่าไหร่ เขาจะส่งเงินมาให้ค่าเรียนกับค่ากินอยู่แต่ได้เจอกันก็2-3ปีครั้งค่ะเราเลยจะสนิทและรู้สึกเป็นกันเองกับพวกป้าๆลุงๆที่เราอยู่ด้วยมากกว่า ทีนี้ตอนเราอายุได้ 11 เขาก็มาบอกเราแบบไม่ได้ตั้งตัวว่าเขาจะพาเราไปอยู่ด้วย ใช้เวลา2-3เดือนในการทำเรื่องต่างๆแล้วเขาก็พาเราไปด้วยเลย เราไม่ได้ทีเวลาพอที่จะบอกลาเพื่อนๆเพราะตอนนั้นปิดเทอมใหญ่พอดี จะได้มีคุยกับแค่เพื่อนสนิทตอนนั้นแค่ไม่กี่คน ป้ากับลุงเราก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ โรงเรียนที่ไทยก็คือลาออกไปเลยปุ๊ปๆปั๊ปๆ
ในตอนนั้นเราก็ยังเด็ก ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะแค่คิดว่าจะได้อยู่กับครอบครัวจริงๆแล้ว จะได้ไปต่างประเทศ จะได้ไปเจอเหมือนที่ดูในทีวี เราก็ดีใจอย่างเดียว พอมาถึงเราก็ใช้ชีวิตอยู่กับเขาไปแต่(ในความรู้สึกของเรานะคะ)เราไม่ได้รู้สึกว่ามันเหมือนครอบครัวจริงๆเลยอ่ะค่ะ เราไม่ได้มีความสุขเหมือนกับตอนที่เราอยู่ที่ไทย เคยมีบอกเขานะคะว่าอยากกลับไทยเขาก็แค่บอกมาว่า 'ฉันพาเธอมาแล้วจ่ายตังทำเรื่องให้มาแล้ว กลับไปไม่ได้หรอก มานี่ก็มาเพื่ออนาคตของเธอ'
จนเปิดเทอมมาเราต้องไปเรียน ภาษาที่เขาใช้กันคือภาษาอังกฤษ เราเป็นคนที่ไม่เก่งอังกฤษมากๆเลยค่ะตอนอยู่ไทย ไม่เคยตั้งใจเรียนคาบอังกฤษเลย5555555 ก็เลยไม่มีเพื่อน ไม่มีคอนเนคชั่นอะไรกับใครเลยเพราะเราพูดกับใครไม่ได้ค่ะ คนไทยโรงเรียนนี้ก็ไม่มี ล่ามก็ไม่มี ช่วงปีแรกนี่เรานั่งเรียนแบบไม่รู้อะไรเลยค่ะ5555 กลับบ้านไปก็นั่งร้องไห้ทุกวัน พ่อกับแม่เราก็ช่วยอะไรเราไม่ค่อยได้เพราะพวกเขาก็ไม่ค่อยเก่งอังกฤษ เขาชอบบอกว่า 'พ่อกับแม่จบกันแค่ป.3 ป.4 เอง จะเอาอะไรมาช่วยเธอ' อีกอย่างถ้าเราร้องไห้หรือไปคุยกับเขาเรื่องอะไรเขาก็จะปัดๆว่าเขาช่วยไม่ได้หรือพูดว่า 'ร้องทำไม ทำไมต้องร้อง เธอเป็นคนเก่งเธอต้องไม่ร้องสิ' แต่ไม่เคยที่จะปลอบหรือให้กำลังใจเราเลยทั้งๆที่ตอนนั้นเราแค่อยากได้กำลังใจเพื่อที่จะสู้ต่อเท่านั้นเอง ;-;
พอเราโตขึ้น เรียนรู้ภาษาเยอะขึ้น เริ่มมีเพื่อนแล้วเราก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยขึ้นค่ะ จะมีอยู่ช่วงนึงค่ะที่เราออกจากบ้านทุกวัน ไปเจอเพื่อน แม่เราจะชอบน้อยใจค่ะ ชอบพูดว่า 'ออกไปอะไรกะนักกะหนา ไม่อยู่บ้างบ้านช่อง' หรือชอบพูดตัดพ้อเชิงว่า 'ใช่สิ เธอรักเพื่อนมากกว่าพ่อแม่อยู่แล้วนี่ ออกไปเลย ไปอยู่กับเพื่อนเลยให้เพื่อนมันดูแลเอา' ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกแย่มากๆกับตัวเองค่ะ เราแค่อยากใช้ชีวิตให้สนุก ได้มีความสุขกับเพื่อนๆกับชีวิตวัยเด็กแค่นั้นเอง ที่เราออกไปก็ไม่ใช่ว่าเราไม่บอกเขาหรืออะไรเลยนะคะ เราบอกตลอดค่ะว่าจะไปกับใครไปตอนไหนกลับมาตอนไหนไปที่ไหน เราเคยคิดค่ะว่าเขาอาจจะแค่เป็นห่วงมากๆก็ได้ ไม่อยากให้เราออกไปเยอะ แต่กลับมาคิดดูอีกที มันมีคำพูดอีกเยอะแยะที่เขาสามารถจะพูดกับเราโดยที่มันไม่แรงขนาดนั้นอ่ะค่ะ นี่คือคำพูดที่ควรพูดกับเด็กอายุ 13 จริงๆหรอ? ทำให้เขาคิดว่าการออกไปข้างนอก ไปเจอเพื่อนคิดการที่'ไม่รักครอบครัวตัวเอง'??? อีกอย่างเขาจะเป็นพวกที่โมโหเร็วโมโหร้าย ชอบพูดอะไรแล้วไม่คิดก่อนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง (อันนี้เรารู้เพราะเราเจอมาตลอดตั้งแต่อยู่กับเขามา 8 ปีค่ะ555) แล้วพอเขาอารมณ์เย็นขึ้นเขาก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมพูดกับเราเหมือนเดิม คือจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ มันทำให้เรารู้สึกว่าเขาไม่แคร์เราสักเท่าไหร่ เวลาเขากลับมาเป็นปกติเขาจะไม่ค่อยขอโทษกับสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้แม้บางทีเขาจะเป็นคนผิด มันทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจสุดๆเลยค่ะ คำพูดของเขามันทำร้ายจิตใจเราไปแล้ว มันเหมือนเราโดนตบหน้าแล้วลูบหลัง
มันก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆค่ะ เขาจะชอบพูดบ่อยขึ้นว่าเราไม่รักเขา เรารักแต่เพื่อน ให้ย้ายออกไปเลยไปอยู่กับเพื่อน บางทีจะเอาเราไปเปรียบเที่ยบกับคนที่เขารู้จักบ้างว่า 'เห็นมั้ยพี่คนนี้คนนั้นรักพ่อแม่เขาจะตาย เขาทำนู่นนี่ให้พ่อกับแม่เขาตลอด เธอน่ะไม่เคยเห็นทำอะไรให้พ่อแม่เลย รักพ่อแม่ไม่จริงนี่หน่า' ทั้งๆที่เราก็พยายามในทางของเราที่สุดแล้วนะคะที่จะแสดงให้เขาดูว่าเรารักเขา เราช่วยเขาทำงาน ซื้อของขวัญวันเกิด ซื้อการ์ดวันพ่อวันแม่ไปให้ บอกรักเขาตลอดแต่พอเขามาพูดแบบนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไปมันไม่มีความหมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะทำอะไรให้เขาเห็นว่าเรารักเขาขนาดไหน พอทะเลาะกันเขาก็จะพูดตลอดว่าเราไม่เคยรักเขาเลย เราเป็นลูกที่ไม่ดี เราเป็นคนอกตัญญู มันทำให้เรารู้สึกเสียความมั่นใจ ทำให้เราไม่มีความสุขกับชีวิตอย่างมาก เราชอบกลับมาคิดเสมอค่ะว่าหรือว่าจริงๆแล้วมันเป็นที่ตัวเราจริงๆ เราเป็นคนแย่คนนึงรึเปล่า บางทีเราก็คิดว่าเขาอาจจะมีความสุขมากกว่าถ้าไม่มีเราในชีวิต แต่เราไม่เคยพูดกับเขาไปตรงๆนะคะเพราะเราไม่กล้า
จนปี 2020 ค่ะ เราได้กลับไปที่ไทยเพราะว่าโควิดที่นี่มันน่ากลัวกว่ามากและพ่อกับแม่เราต้องไปทำธุระบางอย่าง เขาบอกเราค่ะว่าจะไปกับแค่ประมาณสองเดือน เราถามและเมคชัวร์กับเขาแล้วว่าแน่ใช่มั้ยเพราะเราต้องกลับมาเรียนพอดีค่ะ เราพึ่งจบ year 11 ของที่นี่แล้วต้องไปต่อ sixth form พอดี ก็คือว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงในการเรียนครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกของเราค่ะเราเลยไม่อยากทำให้มันเสียไป เขาบอกเราว่าใช่ๆจะไปแค่สองเดือนแน่ เราเลยสบายใจไปค่ะ เอาเข้าจริงๆเราไปอยู่ที่ไทยได้ประมาณ 10 เดือนกว่าค่ะ เพราะติดเรื่องโควิดด้วยและเรื่องธุระของพ่อกับแม่เราด้วยเราเลยกลับมาไม่ได้... เราเสียโอกาสที่จะได้เข้าเรียนพร้อมเพื่อนไปค่ะและโอกาสในอีกหลายๆอย่าง ประเด็นคือเราเคยขอแม่ให้ส่งเรากลับมาก่อนแล้วเพราะเราบอกเขาไว้แล้วว่าเราต้องกลับจริงๆ เราต้องเข้าเรียน แต่เขาไม่ปล่อยเรามาเพราะมันไม่ปลอดภัยค่ะ เราเข้าใจนะคะว่าเขารู้สึกยังไงและถ้าเราเป็นแม่คนเราก็ไม่อยากปล่อยให้ลูกของเราไปเสี่ยงอันตรายในสนามบินคนเดียว ถ้ากลับไปจะไปอยู่กับใครอีก แต่คือตอนนั้นเพื่อนเราอาสาที่จะมารับที่สนามบิน ให้ไปอยู่บ้านเขาได้จนกว่าพวกเขาจะกลับไปค่ะ แต่เขาก็ยังไม่ให้อยู่ดี จริงๆคือเขาเลือกที่จะกลับมาได้นะคะแต่เขาไม่กลับเพราะเขากลัวโควิด.. เรื่องนี้คือเราเข้าใจเลยค่ะว่าเขาแค่อยากจะเซฟไว้ก่อนแต่เราก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่สนใจกับการเรียนของเรา เพราะตอนที่กลับมาเขากลับมาเพราะเขาหมดเงินแล้วค่ะเลยต้องกลับมาทำงาน โควิดก็ยังระบาดอยู่เหมือนเดิมแต่คือเขาต้องกลับมาจริงๆ มันทำให้เรามาคิดค่ะว่า อ้าวแล้วตอนที่เราบอกว่าเราต้องกลับมาเหมือนกันล่ะทำไมเขาถึงไม่กลับ เรารู้นะคะว่ามันไม่ดีที่จะคิดแบบนี้เพราะเขาก็มีเหตุผลของเขาแต่ด้วยอะไรๆที่ผ่านมามันทำให้เราคิดดีๆกับการกระทำแบบนี้ของเขาไม่ได้เลยค่ะ แต่เราก็พูดอะไรไม่ได้อยู่แล้วเราเลยได้แค่คิดค่ะ555
ในระหว่างที่อยู่ที่ไทย มันมีประเด็นเรื่องการเมืองที่ไทยที่ดังขึ้นพอดี เรื่องการชุมนุมแล้วก็นั่นแหละนะคะ ทุกคนคงรู้ๆกันอยู่ เราได้ดูข่าวแล้วก็เริ่มติดตามค่ะ เรานั่งดูการชุมนุมวันที่เขาสลายวันแรกแล้วเราไม่ไหวจริงๆค่ะเราเลยไปขอพ่อกับแม่เพื่อที่จะไปชุมนุม ไปแสดงเสียงของเราในฐานะคนไทยคนนึงที่ไม่อยากถูกกดขี่ค่ะ คำพูดที่เขาบอกเรามาทำให้หมดสัทธาในตัวเขาในเรื่องของพวกนี้ไปเลยค่ะ เขาบอกเราว่า 'จะไปทำไม ไปแล้วได้อะไร ไปก็ไม่ชนะหรอก แม่ผ่านน้ำร้อนมาก่อน เรื่องพวกนี้เธอไม่ต้องยุ่งน่ะดีแล้ว' 'ถ้าไปแล้วทำให้ครอบครัวเราเดือดร้อนจะไปทำไม เราไม่ได้เดือนร้อนอะไรตอนนี้เพราะงั้นไม่ต้องไปยุ่งเรื่องแบบนี้น่ะดีแล้ว' มันเป็น mindset ของพวกที่เราไม่ชอบสุดๆเลยค่ะ พวกที่คิดว่าตัวเองไม่เดือดร้อนอะไรเราจึงไม่ต้องออกไปช่วยคนที่เดือดร้อน เราเลยไม่คุยกับเขาเรื่องนี้อีกเลยค่ะเพราะเราเสียใจไปเปล่าๆ อีกอย่างเขาก็คงไม่ยอมเปลี่ยนความคิด เราปล่อยเขาคิดแบบนั่นไป เราก็คิดแบบของเราไป ไม่ทะเลาะกันคงดีสุดแล้วค่ะ
ทีนี้มันมีอยู่วันนึง รู้สึกเหมือนเขาจะพูดอะไรที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีอีกแล้วค่ะ วันนั้นเราไม่ไหวจริงๆเราก็เลยว่าจะเปิดใจบอกเขาว่าเรารู้สึกยังไง เราก็เริ่มพูดกับเขาเรื่องทุกอย่างที่เราเก็บอัดอั้นใจมาค่ะ ทั้งเรื่องที่เวลาเขาพูดอะไรแบบนี้มันทำให้เราเสียใจขนาดไหน เวลาพูดอะไรอยากให้เขาคิดถึงกระจิตกระใจเราบ้าง เขาได้แค่ตอบกลับมาว่าเราเป็นคนเฉื่อยชา เขาแค่อยากกระตุ้นเรา ทีนี้เขาก็ว่าเราอคติกับเขาค่ะ เขาโยงเข้ามาที่เรื่องเพื่อนอีกแล้วบอกเราว่าเราเชื่อเพื่อนมากกว่าครอบครัว เพื่อนเป็นคนทำให้เราเสียคน นิสัยไม่ดีกับเขา เราทำอะไรผิดพลาดไปเยอะแล้วที่เขาทำมาตลอดเพราะเขาไม่อยากให้เราพลาด ตั้งแต่วันนั้นเราเลยไม่ได้กล้าเปิดใจคุยกับเขาอีกเลยค่ะเพราะเรารู้แล้วว่ายังไงเขาก็ไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาพูดกับเราเลย เขาคิดว่าเขากำลังช่วยเราอยู่ด้วยซ้ำทั้งๆที่ทุกวันนี้เขาคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เขาทำให้เราคิดว่าเราเป็นคนที่แย่ที่สุดในโลกและเราไม่เคยทำอะไรได้ดีเลย
ทุกวันนี้ถ้าเราทะเลาะกันเขาก็จะยังพูดอยู่เสมอค่ะว่าเขาพึ่งพาอะไรเราไม่ได้ เขาน่าจะมีลูกเพิ่มอีกเพื่อที่ว่าลูกคนนั้นอาจจะมีประโยชน์มากกว่าเรา อาจจะช่วยเขาได้มากกว่าเราในทุกวันนี้ ถ้าเราไม่โอเคกับเขาหรือไม่ทำตามอย่างที่เขาบอกให้เราทำเขาก็จะบอกว่าเราเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ ถ้าเราอายุโตกว่านี้นิดหน่อยก็ไปทางใครทางมันเลย เขาบอกให้เราไปอยู่กันเองกับเพื่อนโดยที่ไม่มีเขาดูแลอีกต่อไป ดูว่าจะรอดกันได้ไกลแค่ไหน คำพูดพวกนี้มันทำให้เราไม่อยากอยู่ตรงนี้มากๆเลยค่ะ แต่เราก็ชอบกลับมาคิดเกี่ยวกับความคิดแบบคนไทยของเราๆ เราเป็นคนบาปรึเปล่าคะที่คิดอะไรแบบนี้ เราเป็นคนไม่ดีอย่างที่แม่เราบอกรึเปล่า เราควรทำยังไงดีคะ?? ขอความคิดเห็นจากทุกคนหน่อยค่ะ ;-;