เรียงคิวหั่นGDP จี้ลุงคุมของแพง
https://www.innnews.co.th/video/news_316709/
เศรษฐกิจไทยถูกสะท้อนออกมาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการกินดีอยู่ดีของประชาชน การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงตัวเลข “จีดีพี” หรือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“ความมั่งคั่ง” ของเศรษฐกิจไทยถูกสะท้อนออกมาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการกินดีอยู่ดีของประชาชน การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงตัวเลข “จีดีพี” หรือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งในปีนี้ถูกท้าทายจากปัจจัยแวดล้อมที่ฤาโถมเข้ามากระทบทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่ยังไม่สามารถหาสันติภาพได้ ก่อนหน้านี้หน่วยงานต่างๆ และสำนักวิจัยหลากหลายที ได้วาดภาพเศรษฐกิจไทยปี 2565 ว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง หลังจากปี 2563 ต่อเนื่องมา 2564 เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ
แต่ล่าสุด ภาพการเติบโตปีนี้ก็ถูกหั่นจากผลกระทบสงครามรัสเซียยูเครน ซึ่งมีผลต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวของไทยและการส่งออกของไทยที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าเป็นสำคัญ
สำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.รวบรวมตัวเลขจีดีพีปี 2565 หน่วยงานไหนปรับ สำนักวิจัยไหนลด เราไปดูกัน เริ่มต้นที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ที่ล่าสุดได้ปรับลดจีดีพีปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.4% ลงมาอยู่ที่ 3.2% ขณะที่ปีหน้าก็ปรับลงเช่นกันจาก 4.7% เป็น 4.4%
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดตัวเลขลงมาอยู่ที่ 2.9% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.7% เช่นเดียวกับวิจัยกรุงศรีปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีนี้ลงเหลือ 2.8% จากเดิมคาด 3.7% ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ก็หั่นตัวเลขลงจาก3.2% มาแตะที่ 2.7% และล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือ กกร. วันที่ 5 เมษายนนี้ก็จะหยิบยกเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจมาหารือด้วยเช่นกัน
ขณะที่หอการค้าไทยก็เตรียมที่จะแถลงมุมมองเศรษฐกิจปี 2565 โดยนาย
วชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า สงครามรัสเซียยูเครนที่เกิดขึ้นดูแล้วจะยืดเยื้อ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
“สถานการณ์หลักของประเทศไทยถ้าเราดูจากโครงสร้างจีดีพีของไทยจริงๆ ยังคงเป็นภาคบริการเพราะฉะนั้นสถานการณ์โอไมครอน ยังคงมีผลกระทบ กับเศรษฐกิจของประเทศไทยค่อนข้างเยอะ เพราะว่าตราบใดที่นักท่องเที่ยวยังเข้ามาในประเทศไทยได้น้อย หรือเป็นสัดส่วนที่น้อยผลกระทบทางด้านจีดีพีก็จะมีผล
แต่ว่าอย่างไรก็ตามอันดับที่มันใกล้เคียงเบียดกันมา ก็คือเรื่องของรัสเซียยูเครนก็ยังถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญเพราะว่าตอนนี้เราประเมินถึงสถานการณ์ที่อาจจะส่งผลกระทบกับภาคเกษตรของไทยค่อนข้างเยอะ”
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการก็คือการดูแลค่าครองชีพ ราคาสินค้าไม่ให้สูงขึ้น เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเริ่มฟื้นตัวจากโอไมครอน “สิ่งที่รัฐบาลควรจะต้องดูและให้ความสำคัญมากที่สุด ณ ตอนนี้ ก็คือเรื่องของราคาสินค้าหรือว่าพวกเงินเฟ้อเพราะว่าสถานการณ์รัสเซียยูเครนมันจะส่งผลกระทบทำให้ราคาสินค้าในหลายๆประเภทมีการดีดตัวสูงขึ้นเพราะฉะนั้นการที่ประเทศไทยกำลังจะเริ่มฟื้นจากสถานการณ์โอไมครอนหรือว่าเริ่มที่จะมีการผ่อนคลายมากขึ้นโดยคนที่เริ่มจะกลับมาทำงานในหลายๆ หน้าที่คือเศรษฐกิจมันเริ่มกลับมาในเรื่องของกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ แต่ว่าเรื่องของข้าวของราคาแพงก็ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวลเพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องมาควบคุมและดูแลก็คือเรื่องของค่าครองชีพของประชาชน แล้วก็เรื่องของสถานการณ์เงินเฟ้อที่เกิดจากสถานการณ์ของสงคราม”
จากนี้ต่อไปจะต้องติดตามภาพใหญ่ของสถานการณ์โลกที่เชื่อมโยงมาถึงเศรษฐกิจไทยว่าจะเข้มข้นขึ้นอีกหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ”สั่งลุยเต็มที่ผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ 10% ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลทำให้จีดีพีของประเทศเติบโตได้ร้อยละ 3-4 นั่นเอง
ผู้ประกอบการ ถ.ข้าวสาร ประกาศเลิกจัดสงกรานต์ เหตุรัฐคุมเข้ม-ข้อจำกัดอื้อ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3267855
ผู้ประกอบการ ถ.ข้าวสาร ประกาศเลิกจัดกิจกรรมสงกรานต์ เหตุรัฐคุมเข้ม-ข้อจำกัดอื้อ
เมื่อวัน 2 เมษายน นาย
สง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร กล่าวว่า จากการหารือผู้ประกอบการสมาชิกของสมาคมได้ข้อสรุปว่า จะไม่มีการจัดกิจกรรมงานเล่นน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากภาครัฐมีการเข้มงวดและกำหนดกฎระเบียบหลายเรื่องจนมีข้อจำกัด แต่ร้านยังเปิดปกติ จะมีการนำพระพุทธรูปวางในบริเวณหน้าร้านเพื่อให้ประชาชนและลูกค้าที่เข้ามาเดินเล่น หรือทานอาหารได้สักการะขอพร และการบริการยังเปิดและปิดตามเวลาที่รัฐกำหนด โดยผู้ประกอบการ หากเป็นแผงลอยจะกลับมาขาย 10% ร้านบริการนวดและขายของที่ระลึกกลับมา 40-50% ร้านอาหารและเครื่องดื่มเกือบ 100% ธุรกิจโรงแรมน่าจะเปิด 50%
“พอกฎหมายคุมเข้ม ให้ผู้จัดการต้องแบกรับความเสี่ยง รับผิดชอบ หากผู้เข้างาน ถอดหน้ากาก ทุกคนต้องเอทีเค เตรียมหน้ากากแจก ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ธุรกิจจึงมองว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย จึงได้ข้อสรุปว่าจะไม่จัดงานอย่างที่ตั้งใจไว้ แจ้งเขตกรุงเทพฯไปแล้ว แต่ทราบว่ายังมี 1 พื้นที่ยังระบุว่าจะจัดงาน” นาย
สง่ากล่าว
นาย
สง่ากล่าวว่า คาดบรรยากาศช่วงเทศกาลสงกรานต์บนถนนข้าวสารและบริเวณใกล้เคียง จะมีประชาชนออกมาเดินเล่นและทานอาหารนอกบ้านมากกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ที่ปิดประเทศ แต่ตอนนี้ผ่อนคลายเปิดประเทศแล้ว เริ่มเห็นคนต่างชาติเข้ามาเดินและจองห้องพักตามโรงแรมในบริเวณถนนข้าวสาร ประเมินว่าสงกรานต์ปีนี้น่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 10 ล้านบาทต่อวัน ต่ำกว่าในอดีตที่เคยมีเงินสะพัดถึง 50-80 ล้านบาทต่อวัน
แหล่งข่าวจากวงการจัดงานอีเวนต์ ระบุว่า สงกรานต์ปีนี้ผู้ประกอบการพื้นที่เอเชียทีคยังยืนยันกับทางกรุงเทพมหานครที่จะจัดงานสงกรานต์ และยอมรับเงื่อนไขตามที่ทางสาธารณสุขและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กำหนด
หมอธีระ ตั้งข้อสงสัยยอด ATK ไม่ตรงข้อเท็จจริง ข้อมูลระบาดขัดแย้งสถิติโลก
https://www.nationtv.tv/news/378868820
หมอธีระ ตั้งข้อสังเกตุยอด ATK รายวัน ต่ำกว่าความเป็นจริง ซ้ำตัดยอดไม่ตรงจากการรายงานของแต่ละจังหวัด สถิติต่ำกว่าความเป็นจริง ขัดแย้ง
2 เมษายน 2565 รศ.นพ.
ธีระ วรธนารัตน์ หรือ “หมอธีระ” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “
ThiraWoratanarat” ตั้งข้อสงสัยในการรายงานยอด ATK น้อยกว่าความเป็นจริงของการแพร่ระบาด และต่ำกว่าแนวโน้มการแพร่ระบาดของโลก มีเนื้อหาดังนี้
ATK 14,229 คำถามคือ ตัวเลขนี้เป็นจริงหรือไม่?
หากให้เหตุผลว่า ตัดยอดไม่ตรงกับแต่ละจังหวัด คำถามคือเวลาในการตัดยอดแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และจะตรวจสอบอย่างไรว่าทุกตัวเลขจะได้รับการนำมารายงานจริง
พร้อมกันนี้ หมอธีระ ได้โพสต์ถึง สถานการณ์โควิด-19 ในวันนี้ ระบุว่า ..
2 เมษายน 2565 ทะลุ 489 ล้าน เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 1,225,510 คน ตายเพิ่ม 3,578 คน รวมแล้วติดไปรวม 489,523,949 คน เสียชีวิตรวม 6,170,351 คน 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เกาหลีใต้ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี และออสเตรเลีย
สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 10 ของโลก
ตามภาพที่ 1 และ 2 แสดงจำนวนการติดเชื้อใหม่ของไทยจากข้อมูลของ Ourworldindata จะเห็นได้ว่ากราฟการระบาดของเราสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แตกต่างจากทวีปอื่น ๆ ทั่วโลก ยกเว้นทวีปยุโรปที่ตอนนี้ระบาดกลับซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหราชอาณาจักรที่อัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อในประชากรสูงกว่าระลอก BA.1 ที่ผ่านมาแล้ว (ภาพที่ 3) อันเนื่องมาจากเปิดเสรีการใช้ชีวิตและไม่ได้ป้องกันตัวอย่างดีพอ
อย่าลืมว่าข้อมูลการระบาดของไทยดังที่เห็นในภาพนั้น ต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะสถิติที่นำเสนอทางการนั้นเป็นเฉพาะจำนวนที่ตรวจด้วยวิธี RT-PCR เท่านั้น ในขณะที่คนที่ตรวจพบว่าติดเชื้อจากวิธี ATK จำนวนมากไม่ได้นำมารวม และส่วนใหญ่เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาด้วยแนวทางต่างๆ ไปโดยไม่สามารถเข้าถึงบริการตรวจ RT-PCR ได้ ดังนั้นกราฟระบาดจริงของเราจึงน่าจะสูงกว่าที่เห็นในภาพที่ 1 และ 2 อย่างมาก
ข้อมูลความรุนแรงของ Omicron เทียบกับเดลต้าในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
ล่าสุด Wang L และคณะได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยเปรียบเทียบให้เห็นเรื่องความรุนแรงของ Omicron และเดลตาในเด็กเล็กน้อยกว่า 5 ปี ลงใน JAMA Pediatrics เมื่อวานนี้ 1 เมษายน 2565
ดังที่เห็นในตาราง จะพบว่า Omicron นั้นรุนแรงน้อยกว่าเดลตา เพราะมีความเสี่ยงที่จะไปรับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินลดลง 16%, เสี่ยงต่อการป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลลดลง 34%, เสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงจนต้องเข้าไอซียูลดลง 65%, และเสี่ยงต่อการใส่ท่อช่วยหายใจลดลง 85%
แต่ตัวเลขข้างต้น หากอ่านเผินๆ ด้วยกิเลสและความประมาท จะทำให้เข้าใจผิด กระหยิ่มยิ้มย่องว่าข้าไม่กลัว Omicron มันก็แค่ไวรัสกระจอก ธรรมดา เอาอยู่
ข้อมูลสำคัญที่ต้องรู้คือ Omicron ทำให้เกิดการติดเชื้อแพร่เชื้อไวกว่าเดลตา และมากกว่าเดลตาถึง 7 เท่า
ตัวเลขข้างต้นสูงมาก จึงไม่แปลกใจที่สุดท้ายแล้วตัวเลขผู้ป่วยเด็กที่ต้องไปรับการรักษาที่แผนกฉุกเฉิน นอนโรงพยาบาล เข้าไอซียู และใส่ท่อช่วยหายใจ รวมถึงเสียชีวิตจึงมากกว่าเดิม
นี่คือสถานการณ์จริงที่เราเห็นได้จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีการระบาดหนัก และเป็นเรื่องย้ำเตือนไทยเราให้ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ไม่หลงไปกับคารมคำลวงด้วยกิเลสที่ปั่นให้เข้าใจว่า Omicron กระจอก เอาอยู่ เพียงพอ ก็แค่หวัดธรรมดา หรือตะล่อมให้เข้าใจว่าเป็นแบบไข้หวัดใหญ่ประจำถิ่นในเวลาอันใกล้
นอกจากเรื่องติดเชื้อ ป่วย และเสียชีวิตแล้ว สิ่งที่แพทย์และนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วโลกหนักใจคือ แม้รักษาหายในช่วงแรกที่ติดเชื้อแล้ว ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผิดปกติระยะยาวที่เรียกว่า Long COVID ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสมรรถนะในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน ทั้งเรื่องความคิดความจำ อารมณ์ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ทั้งเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และอื่นๆ จนนำไปสู่ความพิการ ทุพลภาพ ส่งผลกระทบทั้งต่อคนที่ป่วย ครอบครัว และสังคมได้อีกด้วย
ดังนั้นไม่ติดเชื้อย่อมดีที่สุด ใส่หน้ากากเสมอ เว้นระยะห่างจากคนอื่น พบปะคนอื่นเท่าที่จำเป็น ใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น หากไม่สบาย ควรแจ้งคนใกล้ชิด หยุดเรียหยุดงาน แยกตัว และไปตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน
คนที่เคยติดเชื้อมาแล้วอย่าย่ามใจ ระลอก Omicron มีอัตราติดเชื้อซ้ำได้มากกว่าเดลต้าถึง 10 เท่า ควรป้องกันตัวเสมอ และหมั่นตรวจเช็คสถานะสุขภาพของตนเอง หากผิดปกติต่างจากอดีต ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาภาวะ Long COVID ที่อาจเกิดขึ้นได้
อ้างอิง : Wang L, Berger NA, Kaelber DC, Davis PB, Volkow ND, Xu R. Incidence Rates and Clinical Outcomes of SARS-CoV-2 Infection With the Omicron and Delta Variants in Children Younger Than 5 Years in the US. JAMA Pediatr. Published online April 01, 2022.
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224112570354497
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224112415590628
JJNY : 4in1 เรียงคิวหั่นGDPจี้คุมของแพง│ถ.ข้าวสารประกาศเลิกจัดสงกรานต์│หมอธีระสงสัยยอดATK│ชาวเน็ตแชร์ป้ายหาเสียงชัชชาติ
https://www.innnews.co.th/video/news_316709/
เศรษฐกิจไทยถูกสะท้อนออกมาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการกินดีอยู่ดีของประชาชน การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงตัวเลข “จีดีพี” หรือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“ความมั่งคั่ง” ของเศรษฐกิจไทยถูกสะท้อนออกมาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการกินดีอยู่ดีของประชาชน การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงตัวเลข “จีดีพี” หรือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งในปีนี้ถูกท้าทายจากปัจจัยแวดล้อมที่ฤาโถมเข้ามากระทบทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่ยังไม่สามารถหาสันติภาพได้ ก่อนหน้านี้หน่วยงานต่างๆ และสำนักวิจัยหลากหลายที ได้วาดภาพเศรษฐกิจไทยปี 2565 ว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง หลังจากปี 2563 ต่อเนื่องมา 2564 เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ
แต่ล่าสุด ภาพการเติบโตปีนี้ก็ถูกหั่นจากผลกระทบสงครามรัสเซียยูเครน ซึ่งมีผลต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวของไทยและการส่งออกของไทยที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าเป็นสำคัญ
สำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.รวบรวมตัวเลขจีดีพีปี 2565 หน่วยงานไหนปรับ สำนักวิจัยไหนลด เราไปดูกัน เริ่มต้นที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ที่ล่าสุดได้ปรับลดจีดีพีปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.4% ลงมาอยู่ที่ 3.2% ขณะที่ปีหน้าก็ปรับลงเช่นกันจาก 4.7% เป็น 4.4%
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดตัวเลขลงมาอยู่ที่ 2.9% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.7% เช่นเดียวกับวิจัยกรุงศรีปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีนี้ลงเหลือ 2.8% จากเดิมคาด 3.7% ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ก็หั่นตัวเลขลงจาก3.2% มาแตะที่ 2.7% และล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือ กกร. วันที่ 5 เมษายนนี้ก็จะหยิบยกเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจมาหารือด้วยเช่นกัน
ขณะที่หอการค้าไทยก็เตรียมที่จะแถลงมุมมองเศรษฐกิจปี 2565 โดยนายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า สงครามรัสเซียยูเครนที่เกิดขึ้นดูแล้วจะยืดเยื้อ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย “สถานการณ์หลักของประเทศไทยถ้าเราดูจากโครงสร้างจีดีพีของไทยจริงๆ ยังคงเป็นภาคบริการเพราะฉะนั้นสถานการณ์โอไมครอน ยังคงมีผลกระทบ กับเศรษฐกิจของประเทศไทยค่อนข้างเยอะ เพราะว่าตราบใดที่นักท่องเที่ยวยังเข้ามาในประเทศไทยได้น้อย หรือเป็นสัดส่วนที่น้อยผลกระทบทางด้านจีดีพีก็จะมีผล
แต่ว่าอย่างไรก็ตามอันดับที่มันใกล้เคียงเบียดกันมา ก็คือเรื่องของรัสเซียยูเครนก็ยังถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญเพราะว่าตอนนี้เราประเมินถึงสถานการณ์ที่อาจจะส่งผลกระทบกับภาคเกษตรของไทยค่อนข้างเยอะ”
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการก็คือการดูแลค่าครองชีพ ราคาสินค้าไม่ให้สูงขึ้น เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเริ่มฟื้นตัวจากโอไมครอน “สิ่งที่รัฐบาลควรจะต้องดูและให้ความสำคัญมากที่สุด ณ ตอนนี้ ก็คือเรื่องของราคาสินค้าหรือว่าพวกเงินเฟ้อเพราะว่าสถานการณ์รัสเซียยูเครนมันจะส่งผลกระทบทำให้ราคาสินค้าในหลายๆประเภทมีการดีดตัวสูงขึ้นเพราะฉะนั้นการที่ประเทศไทยกำลังจะเริ่มฟื้นจากสถานการณ์โอไมครอนหรือว่าเริ่มที่จะมีการผ่อนคลายมากขึ้นโดยคนที่เริ่มจะกลับมาทำงานในหลายๆ หน้าที่คือเศรษฐกิจมันเริ่มกลับมาในเรื่องของกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ แต่ว่าเรื่องของข้าวของราคาแพงก็ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวลเพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องมาควบคุมและดูแลก็คือเรื่องของค่าครองชีพของประชาชน แล้วก็เรื่องของสถานการณ์เงินเฟ้อที่เกิดจากสถานการณ์ของสงคราม”
จากนี้ต่อไปจะต้องติดตามภาพใหญ่ของสถานการณ์โลกที่เชื่อมโยงมาถึงเศรษฐกิจไทยว่าจะเข้มข้นขึ้นอีกหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ”สั่งลุยเต็มที่ผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ 10% ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลทำให้จีดีพีของประเทศเติบโตได้ร้อยละ 3-4 นั่นเอง
ผู้ประกอบการ ถ.ข้าวสาร ประกาศเลิกจัดสงกรานต์ เหตุรัฐคุมเข้ม-ข้อจำกัดอื้อ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3267855
ผู้ประกอบการ ถ.ข้าวสาร ประกาศเลิกจัดกิจกรรมสงกรานต์ เหตุรัฐคุมเข้ม-ข้อจำกัดอื้อ
เมื่อวัน 2 เมษายน นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร กล่าวว่า จากการหารือผู้ประกอบการสมาชิกของสมาคมได้ข้อสรุปว่า จะไม่มีการจัดกิจกรรมงานเล่นน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากภาครัฐมีการเข้มงวดและกำหนดกฎระเบียบหลายเรื่องจนมีข้อจำกัด แต่ร้านยังเปิดปกติ จะมีการนำพระพุทธรูปวางในบริเวณหน้าร้านเพื่อให้ประชาชนและลูกค้าที่เข้ามาเดินเล่น หรือทานอาหารได้สักการะขอพร และการบริการยังเปิดและปิดตามเวลาที่รัฐกำหนด โดยผู้ประกอบการ หากเป็นแผงลอยจะกลับมาขาย 10% ร้านบริการนวดและขายของที่ระลึกกลับมา 40-50% ร้านอาหารและเครื่องดื่มเกือบ 100% ธุรกิจโรงแรมน่าจะเปิด 50%
“พอกฎหมายคุมเข้ม ให้ผู้จัดการต้องแบกรับความเสี่ยง รับผิดชอบ หากผู้เข้างาน ถอดหน้ากาก ทุกคนต้องเอทีเค เตรียมหน้ากากแจก ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ธุรกิจจึงมองว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย จึงได้ข้อสรุปว่าจะไม่จัดงานอย่างที่ตั้งใจไว้ แจ้งเขตกรุงเทพฯไปแล้ว แต่ทราบว่ายังมี 1 พื้นที่ยังระบุว่าจะจัดงาน” นายสง่ากล่าว
นายสง่ากล่าวว่า คาดบรรยากาศช่วงเทศกาลสงกรานต์บนถนนข้าวสารและบริเวณใกล้เคียง จะมีประชาชนออกมาเดินเล่นและทานอาหารนอกบ้านมากกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ที่ปิดประเทศ แต่ตอนนี้ผ่อนคลายเปิดประเทศแล้ว เริ่มเห็นคนต่างชาติเข้ามาเดินและจองห้องพักตามโรงแรมในบริเวณถนนข้าวสาร ประเมินว่าสงกรานต์ปีนี้น่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 10 ล้านบาทต่อวัน ต่ำกว่าในอดีตที่เคยมีเงินสะพัดถึง 50-80 ล้านบาทต่อวัน
แหล่งข่าวจากวงการจัดงานอีเวนต์ ระบุว่า สงกรานต์ปีนี้ผู้ประกอบการพื้นที่เอเชียทีคยังยืนยันกับทางกรุงเทพมหานครที่จะจัดงานสงกรานต์ และยอมรับเงื่อนไขตามที่ทางสาธารณสุขและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กำหนด
หมอธีระ ตั้งข้อสงสัยยอด ATK ไม่ตรงข้อเท็จจริง ข้อมูลระบาดขัดแย้งสถิติโลก
https://www.nationtv.tv/news/378868820
หมอธีระ ตั้งข้อสังเกตุยอด ATK รายวัน ต่ำกว่าความเป็นจริง ซ้ำตัดยอดไม่ตรงจากการรายงานของแต่ละจังหวัด สถิติต่ำกว่าความเป็นจริง ขัดแย้ง
2 เมษายน 2565 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ หรือ “หมอธีระ” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “ThiraWoratanarat” ตั้งข้อสงสัยในการรายงานยอด ATK น้อยกว่าความเป็นจริงของการแพร่ระบาด และต่ำกว่าแนวโน้มการแพร่ระบาดของโลก มีเนื้อหาดังนี้
ATK 14,229 คำถามคือ ตัวเลขนี้เป็นจริงหรือไม่?
หากให้เหตุผลว่า ตัดยอดไม่ตรงกับแต่ละจังหวัด คำถามคือเวลาในการตัดยอดแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และจะตรวจสอบอย่างไรว่าทุกตัวเลขจะได้รับการนำมารายงานจริง
พร้อมกันนี้ หมอธีระ ได้โพสต์ถึง สถานการณ์โควิด-19 ในวันนี้ ระบุว่า ..
2 เมษายน 2565 ทะลุ 489 ล้าน เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 1,225,510 คน ตายเพิ่ม 3,578 คน รวมแล้วติดไปรวม 489,523,949 คน เสียชีวิตรวม 6,170,351 คน 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เกาหลีใต้ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี และออสเตรเลีย
สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 10 ของโลก
ตามภาพที่ 1 และ 2 แสดงจำนวนการติดเชื้อใหม่ของไทยจากข้อมูลของ Ourworldindata จะเห็นได้ว่ากราฟการระบาดของเราสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แตกต่างจากทวีปอื่น ๆ ทั่วโลก ยกเว้นทวีปยุโรปที่ตอนนี้ระบาดกลับซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหราชอาณาจักรที่อัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อในประชากรสูงกว่าระลอก BA.1 ที่ผ่านมาแล้ว (ภาพที่ 3) อันเนื่องมาจากเปิดเสรีการใช้ชีวิตและไม่ได้ป้องกันตัวอย่างดีพอ
อย่าลืมว่าข้อมูลการระบาดของไทยดังที่เห็นในภาพนั้น ต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะสถิติที่นำเสนอทางการนั้นเป็นเฉพาะจำนวนที่ตรวจด้วยวิธี RT-PCR เท่านั้น ในขณะที่คนที่ตรวจพบว่าติดเชื้อจากวิธี ATK จำนวนมากไม่ได้นำมารวม และส่วนใหญ่เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาด้วยแนวทางต่างๆ ไปโดยไม่สามารถเข้าถึงบริการตรวจ RT-PCR ได้ ดังนั้นกราฟระบาดจริงของเราจึงน่าจะสูงกว่าที่เห็นในภาพที่ 1 และ 2 อย่างมาก
ข้อมูลความรุนแรงของ Omicron เทียบกับเดลต้าในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
ล่าสุด Wang L และคณะได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยเปรียบเทียบให้เห็นเรื่องความรุนแรงของ Omicron และเดลตาในเด็กเล็กน้อยกว่า 5 ปี ลงใน JAMA Pediatrics เมื่อวานนี้ 1 เมษายน 2565
ดังที่เห็นในตาราง จะพบว่า Omicron นั้นรุนแรงน้อยกว่าเดลตา เพราะมีความเสี่ยงที่จะไปรับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินลดลง 16%, เสี่ยงต่อการป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลลดลง 34%, เสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงจนต้องเข้าไอซียูลดลง 65%, และเสี่ยงต่อการใส่ท่อช่วยหายใจลดลง 85%
แต่ตัวเลขข้างต้น หากอ่านเผินๆ ด้วยกิเลสและความประมาท จะทำให้เข้าใจผิด กระหยิ่มยิ้มย่องว่าข้าไม่กลัว Omicron มันก็แค่ไวรัสกระจอก ธรรมดา เอาอยู่
ข้อมูลสำคัญที่ต้องรู้คือ Omicron ทำให้เกิดการติดเชื้อแพร่เชื้อไวกว่าเดลตา และมากกว่าเดลตาถึง 7 เท่า
ตัวเลขข้างต้นสูงมาก จึงไม่แปลกใจที่สุดท้ายแล้วตัวเลขผู้ป่วยเด็กที่ต้องไปรับการรักษาที่แผนกฉุกเฉิน นอนโรงพยาบาล เข้าไอซียู และใส่ท่อช่วยหายใจ รวมถึงเสียชีวิตจึงมากกว่าเดิม
นี่คือสถานการณ์จริงที่เราเห็นได้จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีการระบาดหนัก และเป็นเรื่องย้ำเตือนไทยเราให้ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ไม่หลงไปกับคารมคำลวงด้วยกิเลสที่ปั่นให้เข้าใจว่า Omicron กระจอก เอาอยู่ เพียงพอ ก็แค่หวัดธรรมดา หรือตะล่อมให้เข้าใจว่าเป็นแบบไข้หวัดใหญ่ประจำถิ่นในเวลาอันใกล้
นอกจากเรื่องติดเชื้อ ป่วย และเสียชีวิตแล้ว สิ่งที่แพทย์และนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วโลกหนักใจคือ แม้รักษาหายในช่วงแรกที่ติดเชื้อแล้ว ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผิดปกติระยะยาวที่เรียกว่า Long COVID ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสมรรถนะในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน ทั้งเรื่องความคิดความจำ อารมณ์ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ทั้งเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และอื่นๆ จนนำไปสู่ความพิการ ทุพลภาพ ส่งผลกระทบทั้งต่อคนที่ป่วย ครอบครัว และสังคมได้อีกด้วย
ดังนั้นไม่ติดเชื้อย่อมดีที่สุด ใส่หน้ากากเสมอ เว้นระยะห่างจากคนอื่น พบปะคนอื่นเท่าที่จำเป็น ใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น หากไม่สบาย ควรแจ้งคนใกล้ชิด หยุดเรียหยุดงาน แยกตัว และไปตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน
คนที่เคยติดเชื้อมาแล้วอย่าย่ามใจ ระลอก Omicron มีอัตราติดเชื้อซ้ำได้มากกว่าเดลต้าถึง 10 เท่า ควรป้องกันตัวเสมอ และหมั่นตรวจเช็คสถานะสุขภาพของตนเอง หากผิดปกติต่างจากอดีต ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาภาวะ Long COVID ที่อาจเกิดขึ้นได้
อ้างอิง : Wang L, Berger NA, Kaelber DC, Davis PB, Volkow ND, Xu R. Incidence Rates and Clinical Outcomes of SARS-CoV-2 Infection With the Omicron and Delta Variants in Children Younger Than 5 Years in the US. JAMA Pediatr. Published online April 01, 2022.
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224112570354497
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224112415590628