Unemployment Claims คืออะไร ? ตัวชี้วัดที่ส่งผลต่อตลาดลงทุน

Unemployment Claims หรือ Jobless Claims
   เป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่บอกจำนวนคนที่ยื่นเรื่องขอรับเงินชดเชยจากภาครัฐ หลังจากที่ตกงานหรือถูกเลิกจ้างชั่วคราว เงินชดเชยนี้มาจากกองทุนประกันการว่างงานที่บริษัทต่างๆ ได้จ่ายภาษีไว้ล่วงหน้า
ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์โดยรวมของตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ หากตัวเลข Unemployment Claims สูง กว่าที่คาดการณ์ไว้ แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลงและมีการเลิกจ้างงานมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากตัวเลข ต่ำ กว่าที่คาดการณ์ แสดงว่าเศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่งและตลาดแรงงานมีเสถียรภาพมากขึ้น จำนวนคนว่างงานลดลง



Initial Jobless Claims (ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก)
Initial Jobless Claims คือ ตัวเลขที่แสดงจำนวนผู้ที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ สะท้อนภาพรวมของตลาดแรงงานในปัจจุบัน หากตัวเลขนี้สูงขึ้น แสดงว่ามีการเลิกจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว

Continuing Jobless Claims (ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง)
Continuing Jobless Claims คือ ตัวเลขที่แสดงจำนวนผู้ที่ยังคงได้รับสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่อง (เคยยื่น Initial Jobless Claims มาแล้ว) ตัวเลขนี้ใช้เป็นตัวบ่งชี้สถานการณ์ตลาดแรงงานในระยะยาว หากตัวเลขนี้ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงว่ามีผู้ที่ยังไม่สามารถหางานใหม่ได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาหรือถดถอย




ผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และตลาดการลงทุน










Unemployment Claims ประกาศทุกสัปดาห์และแสดงถึงจำนวนผู้ที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงาน ซึ่งหากตัวเลขนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณล่วงหน้าว่าตัวเลข Non-Farm Payrolls (จำนวนการจ้างงานนอกภาคเกษตร) ที่จะประกาศในเดือนถัดไปอาจออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้

Unemployment Claims และ GDP
เมื่อตัวเลข Unemployment Claims สูงขึ้นตลอดทั้งเดือน แสดงว่ามีจำนวนคนว่างงานเพิ่มขึ้น ทำให้กำลังซื้อและการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศลดลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและมีโอกาสทำให้ตัวเลข GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ชะลอตัวลงตามไปด้วย

Unemployment Claims และ CPI
หากตัวเลข Unemployment Claims ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานแข็งแกร่งและเศรษฐกิจกำลังเติบโต ซึ่งสภาพเช่นนี้มักนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ตัวเลข CPI (ดัชนีราคาผู้บริโภค) เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางต้องพิจารณาปรับนโยบายทางการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อต่อไป