สวัสดีครับ วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์การเข้ารับการผ่าตัดเอ็นไขว้หน้าข้อเข่า(เข่าขวา)โดยการส่องกล้องครับ
เริ่มเรื่องเลยก็คือจขกท.ได้รับบาดเจ็บจากการไปแข่งบอลตามรายการของสนามหญ้าเทียมทั่วไปครับ เป็นตอนที่กำลังวิ่งเข้าไปแย่งบอลจากคู่แข่งแล้วพอเราแหย่ขาเข้าไปจะจิ้มบอล (แต่จิ้มไม่โดนนะครับ555555) พอเท้าลงพื้นเท่านั้นและครับหัวเข่าผมดัง "กร๊อบ" เลยแล้วก็ลงไปนั่งเลยครับ ลุกแทบไม่ไหวเพราะปวดหัวเข่ามาก จนสุดท้ายเพื่อนกับคู่แข่งก็มาช่วยพยุงออกไปนั่งข้างสนาม ตอนนั่งข้างสนามเพื่อนร่วมทีมก็เอาถุงน้ำแข็งมาให้ประคบเย็น พอทีมแข่งเสร็จก็แยกย้ายกลับบ้าน ผมก็ยังไม่ได้ไปหาหมอวันนั้นนะครับอีกวันถึงค่อยไปหา
ผมขอข้ามไปช่วงใกล้ได้ผ่าตัดเลยนะครับ ไม่งั้นกระทู้จะยาวเกินไป55555555 ผมก็ได้ไปสแกน MRI ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ เราก็ไปสแกนเสร็จอาทิตย์ต่อไปก็เอาผลสแกนไปให้หมอดู หมอก็บอกเลยว่าเส็นเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด 100% เลยนะ แล้วหมอนรองกระดูกก็ขาดด้วย โอโหพอได้ฟังคือเซ็งสุดๆไปเลยครับ ซึ่งได้ผ่าไปเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ครับ (แต่ไปนอนโรงบาลตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาแล้วนะครับ เพื่อเตรียมร่างกาย)
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นวันที่ผมต้องไปนอนที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมร่างกาย ถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ 9 โมงตามเวลานัด ไปถึงก็มีการตรวจโควิท RT-PCR มีการทำ X-Ray ขาขวา ตรวจเลือด พอทุกอย่างผ่านก็ได้ไปนอนในห้องรวม ที่ได้นอนห้องรวมเพราะห้องเดี่ยวมันต้องจองซึ่งผมไม่รู้ 555555555 แต่ก็ได้ให้แม่จัดการจองห้องเดี่ยวไว้ให้นอนเมื่อผ่าตัดเสร็จครับ ตอนอยู่ห้องรวมก็แอบน่าเบื่อพอสมควรครับเพราะก็ได้แต่นอนเล่นมือถือ นอนอ่านหนังสือ(ผมติดหนังสือไปด้วย) อยู่บนเตียงอย่างเดียว ไม่สามารถออกไปไหนได้เลย จนถึงเวลา 23.00 พยาบาลก็จะให้เรางดน้ำ งดอาหารครับ ห้ามกินอะไรเป็นอันขาด
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ก็ถึงวันผ่าตัดของผมแล้ว TT รู้สึกตื่นเต้นพอสมควรครับเพราะเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตเลย พอเวลา 9 โมงก็มีพยาบาลผู้ชายมาเข็นผมพาไปห้องผ่าตัด พอถึงห้องผ่าตัดก็รอหมออยู่ประมาณ 15-20 นาทีครับเนื่องจากหมอยังมาไม่ถึง ก่อนหมอมาผมก็ถามพยายามเรื่อยเปื่อยว่าผ่าตัดใช้เวลาเท่าไหร จะมีการให้ยาสลบมั้ยซึ่งให้ยาเนี่ยพยาบาลบอกว่ามันใช่ยาสลบนะครับแต่เป็นยาแบบที่เราดมเข้าไปแล้วจะรู้สึกเมาๆมึนๆ เมื่อหมอมาถึงก็ได้เวลาโดนเชือดแล้วครับ TT ก่อนผ่าก็จะมีการฉีดยาชาที่ไขสันหลังก่อนหรือเรียกว่าบล๊อคหลังครับ โดยพยาบาลจะให้เรานอนหันข้างแล้วทำการงอตัวให้เหมือนกุ้งแล้วก็ฉีดยาชาไปแถวๆบริเวณหลังช่วงล่างกับหลังช่วงกลาง พอฉีดเสร็จก็จะให้เรากลับมานอนท่าปกติแล้วพยาบาลก็จะนวดขาเรา (ถ้าให้ผมเดาคงนวดเพื่อให้ยาชามันกระจายตัว น่าจะอย่างงั้น ผมเดานะ55555) เมื่อขาเราเริ่มชาได้สักพักแล้วพยาบาลผู้ชายก็จะทำการสวนท่อปัสสาวะเราต่อ พยาบาลในห้องผ่าตัดก็จะมีการเอาที่เช็คระดับออกซิเจนเสียบไว้ที่นิ้ว มีการใส่เครื่องวัดความดันไว้ที่แขนตลอดการผ่าตัด(แล้วมันก็จะวัดไปเรื่อยๆทุกๆ 10 นาทีมั้งนะครับ จนกว่าจะผ่าตัดเสร็จ) มีการเอาผ้ามากั้นไม่ให้เราเห็นบริเวณช่วงล่างเราด้วยเพื่อไม่ให้เราเห็นกระบวนการผ่าตัดครับ อีกสักแปปพยายามก็ถามผมว่าอยากให้เอาผ้าปิดตามั้ยหรือไม่ปิด ผมเลือกปิดครับ555555 รู้สึกปิดแล้วสบายใจกว่าและก็จะได้หลับสบายๆด้วย พอปิดหน้าเสร็จพยาบาลก็เอาหน้ากากออกซิเจนมาครอบปากเราครับ พอครอบได้แปปเดียวเท่านั้นและผมหลับเลย555555555 แทบไม่รู้สึกเมาๆมึนๆเหมือนที่พยาบาลบอกเลยครับ ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 5 ชม.ครับตั้งแต่ 9.15 จนถึงประมาณ 14.00 กว่าๆครับ ผมเผลอตื่นมาตอนยังผ่าตัดไม่เสร็จด้วยครับ TT เซ็งมากแต่ดีนะครับตื่นมาตอนการผ่าตัดใกล้เสร็จแล้ว ตอนตื่นมาก็ได้ยินเสียงคุณหมอคุยกับพยาบาลผู้ชายเกี่ยวกับการซ่อมแซมเส้นเอ็นผมแต่เค้าคุยกันเป็นภาษาแพทย์อะครับผมก็เลยฟังเลยไม่ค่อยเข้าใจ5555555
หลักจากผ่าตัดเสร็จก็จะเข็นผมไปห้องเช็คดูอาการหลังผ่าตัดก่อนครับ ซึ่งก็อยู่ที่ห้องนั้นประมาณ 30 นาทีมั้งครับ หลังจากนั้นพยาบาลก็เข็นผมไปห้องเดี่ยวที่คุณแม่จองไว้ให้เรียบร้อย ซึ่งห้องเดี่ยวก็มีกฎว่าต้องมีคนมานอนเฝ้าหนึ่งคนครับ ผมก็ให้น้องสาวมานอนเป็นเพื่อน คืนแรกก็คือนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวเลยครับ ลุกไปไหนไม่ได้เลย แถมตอนกลางคืนก่อนนอนเหมือนยาชาหมดฤทธิ์แล้ว แผลนี่ปวดพอสมควรเลยครับ ผมก็เลยต้องกดเรียกพยาบาลขอยา ได้เจอหมออีกทีก็คือวันที่ 9 กุมภาหลังจากผ่าตัดมาได้ 2 วันครับ วันนั้นคุณหมอก็ได้เอาผ้าพันขาออกแล้วก็ทำการล้างแผลครับ

อันนี้คือแผล ณ วันที่ 7 ครับ สมัยนี้การผ่าตัดส่องกล้องดีมากครับ แผลใหญ่แค่นิดเดียวเอง ผมมีแผลอยู่ 4 จุดครับ อีกจุดนึงอยู่อยู่บริเวณต้นขาด้านขวาครับ
หลักจากล้างแผลเสร็จ หมอก็สอนท่ากายภาพให้ทำช่วงนอนอยู่ที่โรงพยาบาลครับ มี 5 ท่าได้แก่ ขยับนิ้วเท้าขึ้นลง งอเข่า ยกขาค้างไว้ 5-10 วินาทีเท่าที่เราไหว ยืดขาโดยเอาผ้าคล้องไว้ที่ปลายขาแล้วดึงเข้าหาตัวพร้อมกับกดตรงน่องขาไว้ด้วย ขยับขาไปด้านซ้ายและขวาสลับไปมา ผมนอนโรงพยาบาลอยู่ 4 คืนครับ ได้กลับวันที่ 11 กุมภา ก่อนจะกลับก็ได้เจอหมออีกครั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาหมอก็บอกว่ากลับไปก็ให้ทำท่าที่สอนไปทุกวันครับ เช้า-กลางวัน-เย็น หรือ เช้า-เย็น ก็ได้แล้วแต่เราสะดวกเลย ซึ่งผมก็ทำ 3 เวลาไปเลย5555555 พอดีอยากหายเร็วๆอะครับและก็เพราะอยู่บ้านแทบทำอะไรไม่ได้เลยครับในช่วง 2 อาทิตย์แรก เนื่องจากว่าต้องใส่ที่ล็อคองศาหัวเข่าตลอดเวลาเลยครับ ถอดได้แค่ตอนอาบน้ำและตอนนอนเท่านั้น ถ้าจะเดินคือต้องใส่ตลอด พร้อมกับมีไม้ค้ำยันคู่กายติดตัวไปตลอดเลย แล้วช่วงอาบน้ำนี่คือลำบากพอสมควรเลยเพราะห้ามแผลโดนน้ำเด็ดขาด ผมก็เลยให้พ่อไปซื้อพลาสติกแรปอาหารมาไว้พันขาเวลาอาบน้ำครับ 5555555 และก็ต้องมีเก้าอี้สองตัวในห้องน้ำด้วย ตัวนึงไว้นั่งอีกตัวไว้พาดขาเวลาอาบน้ำ แผลจะได้โดนน้ำยากครับ

ที่ล็อคองศาหัวเข่าครับ โดยหมอจะปรับไว้ที่ 0 องศา ไม่ให้เข่างอเลยครับ
วันที่ 18 กุมภา ครบ 2 อาทิตย์หลังผ่าตัด ก็ไปอัพเดทอาการกับหมอซึ่งตอนนั้นก็ดีขึ้นเล็กน้อยครับ งอเข่าได้ 90 องศาแล้ว(ซึ่งก่อนกลับเมื่อวันที่ 11 กุมภา หมอก็สั่งไว้นะครับว่าภายใน 2 อาทิตย์ขอให้งอได้ 90 องศา)แต่ยังไม่สามารถถอดที่ล็อคได้ ที่ล็อคก็ยังต้องปรับไว้ที่ 0 องศา และก็ยังใช้ไม้ค้ำช่วยเดินต่อไปครับ มีการเพิ่มท่ากายภาพมาครับ มีท่า Plank ทั้งตัวตรงและหันข้างลำตัว ขยับลูกสะบ้า 4 ทิศทางกันพังผืดขึ้นที่หัวเข่า นอนหันข้างและก็ขยับขาขึ้นลง และก็นำยางออกกำลังใส่ไว้ที่ขาแล้วก็ขยับขา 4 ทิศทางครับ
วันที่ 4 มีนา ครบ 4 อาทิตย์หลังผ่าตัด เจอหมอรอบนี้ก็คือยังไม่ได้ถอดที่ล็อคอยู่ดีครับ 55555555 และก็ยังใช้ไม้เท้าต่อไป แต่อาการก็ดีขึ้นเยอะเลยครับ เริ่มรู้สึกว่าเท้าเราลงน้ำหนักได้มากขึ้นแล้ว ในช่วงนี้มีบางทีผมก็แอบลองเดินโดยไม้ค้ำเหมือนกันซึ่งก็เดินได้นะครับไม้ปวดหัวเข่าแล้ว แต่ต้องระวังล้มนะครับและที่ล็อคหัวเข่าก็ต้องอยู่ที่ 0 องศาตลอด เวลาเดินก็จะกะเผลกๆ หมอก็เพิ่มท่ากายภาพมาให้ครับเป็นท่า Squat โดยเอาหลังพิงกำแพงกันล้ม ปั่นเครื่องปั่นจักยาน และก็เล่นเครื่องถีบขาครับ(ผมไม่ได้เล่นเครื่องถีบขานะครับเพราะเครื่องที่หมอให้เล่นมันหายากมากเลย มันต้องเป็นเครื่องถีบขาที่เราอยู่ในท่านั่งหลังตรงนะครับ ไม่ใช่เครื่องถีบขาที่หัวเราดิ่งลงพื้นแล้วถีบขึ้นฟ้า)
วันที่ 18 มีนา ครบ 6 อาทิตย์หลังผ่าตัด เจอหมอรอบนี้หมอก็ให้ถอดที่ล็อคได้แล้วครับดีใจมากกกก แล้วก็ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำช่วยเดินแล้วรู้สึกโล่งขามาก ลองเดินก็คือเดินเริ่มปกติขึ้นเรื่อยๆแล้ว ยังรู้สึกตึงๆที่หัวเข่าอยู่เวลาเดินทำให้ยังดูกะเผลกนิดๆเวลาเดินครับ เวลาขึ้นบันไดจะตึงเป็นพิเศษทำให้ขึ้นค่อนข้างลำบากอยู่ บางทีผมก็เซฟตัวเองโดยการขึ้นทีละขาเหมือนกัน ในส่วนท่ากายภาพก็โดนเพิ่มมาอีกแล้ว 55555555 รอบนี้ก็มีฝึกขึ้นลงบันไดขั้นเดียวแบบหันข้างลำตัว ฝึกทรงตัวขาเดียว(ขาข้างที่ผ่าตัด) ท่า Lunge ส่วนในท่าเก่าๆหมอก็แนะนำให้เพิ่มความเข้มข้นเข้าไป อย่างท่า Squat ถ้าเรารู้สึกง่ายก็เพิ่มน้ำหนักเข้าไปได้ครับ การงอขาหมอก็ขอให้ผมฝึกงอเข่าให้มากกว่า 90 องศาลงไป เป็นสัก 100-110 องศาครับ
ปัจจุบันที่สร้างกระทู้นี้ก็วันที่ 25 มีนา เป็นเวลา 7 อาทิตย์หลังผ่าตัด ตอนนี้ขึ้นมากเลยครับ เดินดีขึ้นเยอะมาก รู้สึกว่าขาเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วแต่ก็ใช้ชีวิตระวังขึ้นเยอะครับ เพราะว่าถ้าเดินแล้วล้มมานี่น่าจะซวยหนักเลยละครับ เข่าตอนนี้ก็งอได้มากกว่า 90 องศาแล้วครับแต่ยังไม่สามารถงอได้ถึงขนาดพับขาจนแตะก้นได้ ได้แค่เกือบถึงซึ่งผมว่าพอเวลาผ่านไปเรื่อยๆมันก็คงค่อยๆงอขึ้นได้เองครับ การทำกายภาพก็ทำเกือบทุกวันเลยครับ ช่วงเที่ยงจะทำพวก Squat Lunge Plank และก็ท่าที่หมอสั่งมาครับ(มีการตัดบางท่าออกไปนะครับ ที่ผมเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำแล้ว เช่น งอนิ้วเท้า ยกขาค้างไว้ ไม่งั้นมันจะใช้เวลานานไปหน่อย) ช่วงเย็นผมก็จะไปฟิตเนสไปปั่นจักรยานครับ ที่มีเวลาออกกำลังได้ขนาดนี้เพราะผมยังว่างงานอยู่นะครับ 5555555555 ถ้าเกิดได้งานแล้วก็คงทำได้แค่ตอนเย็น ในส่วนของระยะเวลาในการเล่นกีฬาต่างๆ หมอบอกไว้ว่า 3 เดือนถึงสามารถกลับไปเล่นเวทและวิ่งได้ครับ ส่วนกีฬาที่ต้องมีการเปลี่ยนทิศทางแบบรวดเร็ว เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล ต่างๆนานาก็ต้องรอ 8-9 เดือนเลยครับ TT



แผล ณ วันที่ 25 มีนาครับ
ขอบคุณนะครับที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้เพราะรู้สึกผมพิมพ์เยอะมาก5555555555 ก็หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ให้ใครหลายๆคนนะครับ แล้วก็ขอฝากถึงคนที่ชอบเล่นกีฬาด้วยครับว่า "ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนเล่นเสมอนะครับ" เพราะที่ผมบาดเจ็บนี่ส่วนนึงก็มาจากการยืดกล้ามเนื้อไม่ดีก่อนลงไปเล่นบอลครับ ส่วนคนที่บาดเจ็บเหมือนผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ถ้าเราทำกายภาพอย่างเคร่งครัดตามที่หมอสั่ง เราสามารถกลับไปเล่นกีฬาได้อย่างแข็งแรงแน่นอนครับ
ประสบการณ์ผ่าตัดเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า (ACL)
เริ่มเรื่องเลยก็คือจขกท.ได้รับบาดเจ็บจากการไปแข่งบอลตามรายการของสนามหญ้าเทียมทั่วไปครับ เป็นตอนที่กำลังวิ่งเข้าไปแย่งบอลจากคู่แข่งแล้วพอเราแหย่ขาเข้าไปจะจิ้มบอล (แต่จิ้มไม่โดนนะครับ555555) พอเท้าลงพื้นเท่านั้นและครับหัวเข่าผมดัง "กร๊อบ" เลยแล้วก็ลงไปนั่งเลยครับ ลุกแทบไม่ไหวเพราะปวดหัวเข่ามาก จนสุดท้ายเพื่อนกับคู่แข่งก็มาช่วยพยุงออกไปนั่งข้างสนาม ตอนนั่งข้างสนามเพื่อนร่วมทีมก็เอาถุงน้ำแข็งมาให้ประคบเย็น พอทีมแข่งเสร็จก็แยกย้ายกลับบ้าน ผมก็ยังไม่ได้ไปหาหมอวันนั้นนะครับอีกวันถึงค่อยไปหา
ผมขอข้ามไปช่วงใกล้ได้ผ่าตัดเลยนะครับ ไม่งั้นกระทู้จะยาวเกินไป55555555 ผมก็ได้ไปสแกน MRI ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ เราก็ไปสแกนเสร็จอาทิตย์ต่อไปก็เอาผลสแกนไปให้หมอดู หมอก็บอกเลยว่าเส็นเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด 100% เลยนะ แล้วหมอนรองกระดูกก็ขาดด้วย โอโหพอได้ฟังคือเซ็งสุดๆไปเลยครับ ซึ่งได้ผ่าไปเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ครับ (แต่ไปนอนโรงบาลตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาแล้วนะครับ เพื่อเตรียมร่างกาย)
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นวันที่ผมต้องไปนอนที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมร่างกาย ถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ 9 โมงตามเวลานัด ไปถึงก็มีการตรวจโควิท RT-PCR มีการทำ X-Ray ขาขวา ตรวจเลือด พอทุกอย่างผ่านก็ได้ไปนอนในห้องรวม ที่ได้นอนห้องรวมเพราะห้องเดี่ยวมันต้องจองซึ่งผมไม่รู้ 555555555 แต่ก็ได้ให้แม่จัดการจองห้องเดี่ยวไว้ให้นอนเมื่อผ่าตัดเสร็จครับ ตอนอยู่ห้องรวมก็แอบน่าเบื่อพอสมควรครับเพราะก็ได้แต่นอนเล่นมือถือ นอนอ่านหนังสือ(ผมติดหนังสือไปด้วย) อยู่บนเตียงอย่างเดียว ไม่สามารถออกไปไหนได้เลย จนถึงเวลา 23.00 พยาบาลก็จะให้เรางดน้ำ งดอาหารครับ ห้ามกินอะไรเป็นอันขาด
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ก็ถึงวันผ่าตัดของผมแล้ว TT รู้สึกตื่นเต้นพอสมควรครับเพราะเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตเลย พอเวลา 9 โมงก็มีพยาบาลผู้ชายมาเข็นผมพาไปห้องผ่าตัด พอถึงห้องผ่าตัดก็รอหมออยู่ประมาณ 15-20 นาทีครับเนื่องจากหมอยังมาไม่ถึง ก่อนหมอมาผมก็ถามพยายามเรื่อยเปื่อยว่าผ่าตัดใช้เวลาเท่าไหร จะมีการให้ยาสลบมั้ยซึ่งให้ยาเนี่ยพยาบาลบอกว่ามันใช่ยาสลบนะครับแต่เป็นยาแบบที่เราดมเข้าไปแล้วจะรู้สึกเมาๆมึนๆ เมื่อหมอมาถึงก็ได้เวลาโดนเชือดแล้วครับ TT ก่อนผ่าก็จะมีการฉีดยาชาที่ไขสันหลังก่อนหรือเรียกว่าบล๊อคหลังครับ โดยพยาบาลจะให้เรานอนหันข้างแล้วทำการงอตัวให้เหมือนกุ้งแล้วก็ฉีดยาชาไปแถวๆบริเวณหลังช่วงล่างกับหลังช่วงกลาง พอฉีดเสร็จก็จะให้เรากลับมานอนท่าปกติแล้วพยาบาลก็จะนวดขาเรา (ถ้าให้ผมเดาคงนวดเพื่อให้ยาชามันกระจายตัว น่าจะอย่างงั้น ผมเดานะ55555) เมื่อขาเราเริ่มชาได้สักพักแล้วพยาบาลผู้ชายก็จะทำการสวนท่อปัสสาวะเราต่อ พยาบาลในห้องผ่าตัดก็จะมีการเอาที่เช็คระดับออกซิเจนเสียบไว้ที่นิ้ว มีการใส่เครื่องวัดความดันไว้ที่แขนตลอดการผ่าตัด(แล้วมันก็จะวัดไปเรื่อยๆทุกๆ 10 นาทีมั้งนะครับ จนกว่าจะผ่าตัดเสร็จ) มีการเอาผ้ามากั้นไม่ให้เราเห็นบริเวณช่วงล่างเราด้วยเพื่อไม่ให้เราเห็นกระบวนการผ่าตัดครับ อีกสักแปปพยายามก็ถามผมว่าอยากให้เอาผ้าปิดตามั้ยหรือไม่ปิด ผมเลือกปิดครับ555555 รู้สึกปิดแล้วสบายใจกว่าและก็จะได้หลับสบายๆด้วย พอปิดหน้าเสร็จพยาบาลก็เอาหน้ากากออกซิเจนมาครอบปากเราครับ พอครอบได้แปปเดียวเท่านั้นและผมหลับเลย555555555 แทบไม่รู้สึกเมาๆมึนๆเหมือนที่พยาบาลบอกเลยครับ ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 5 ชม.ครับตั้งแต่ 9.15 จนถึงประมาณ 14.00 กว่าๆครับ ผมเผลอตื่นมาตอนยังผ่าตัดไม่เสร็จด้วยครับ TT เซ็งมากแต่ดีนะครับตื่นมาตอนการผ่าตัดใกล้เสร็จแล้ว ตอนตื่นมาก็ได้ยินเสียงคุณหมอคุยกับพยาบาลผู้ชายเกี่ยวกับการซ่อมแซมเส้นเอ็นผมแต่เค้าคุยกันเป็นภาษาแพทย์อะครับผมก็เลยฟังเลยไม่ค่อยเข้าใจ5555555
หลักจากผ่าตัดเสร็จก็จะเข็นผมไปห้องเช็คดูอาการหลังผ่าตัดก่อนครับ ซึ่งก็อยู่ที่ห้องนั้นประมาณ 30 นาทีมั้งครับ หลังจากนั้นพยาบาลก็เข็นผมไปห้องเดี่ยวที่คุณแม่จองไว้ให้เรียบร้อย ซึ่งห้องเดี่ยวก็มีกฎว่าต้องมีคนมานอนเฝ้าหนึ่งคนครับ ผมก็ให้น้องสาวมานอนเป็นเพื่อน คืนแรกก็คือนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวเลยครับ ลุกไปไหนไม่ได้เลย แถมตอนกลางคืนก่อนนอนเหมือนยาชาหมดฤทธิ์แล้ว แผลนี่ปวดพอสมควรเลยครับ ผมก็เลยต้องกดเรียกพยาบาลขอยา ได้เจอหมออีกทีก็คือวันที่ 9 กุมภาหลังจากผ่าตัดมาได้ 2 วันครับ วันนั้นคุณหมอก็ได้เอาผ้าพันขาออกแล้วก็ทำการล้างแผลครับ
อันนี้คือแผล ณ วันที่ 7 ครับ สมัยนี้การผ่าตัดส่องกล้องดีมากครับ แผลใหญ่แค่นิดเดียวเอง ผมมีแผลอยู่ 4 จุดครับ อีกจุดนึงอยู่อยู่บริเวณต้นขาด้านขวาครับ
หลักจากล้างแผลเสร็จ หมอก็สอนท่ากายภาพให้ทำช่วงนอนอยู่ที่โรงพยาบาลครับ มี 5 ท่าได้แก่ ขยับนิ้วเท้าขึ้นลง งอเข่า ยกขาค้างไว้ 5-10 วินาทีเท่าที่เราไหว ยืดขาโดยเอาผ้าคล้องไว้ที่ปลายขาแล้วดึงเข้าหาตัวพร้อมกับกดตรงน่องขาไว้ด้วย ขยับขาไปด้านซ้ายและขวาสลับไปมา ผมนอนโรงพยาบาลอยู่ 4 คืนครับ ได้กลับวันที่ 11 กุมภา ก่อนจะกลับก็ได้เจอหมออีกครั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาหมอก็บอกว่ากลับไปก็ให้ทำท่าที่สอนไปทุกวันครับ เช้า-กลางวัน-เย็น หรือ เช้า-เย็น ก็ได้แล้วแต่เราสะดวกเลย ซึ่งผมก็ทำ 3 เวลาไปเลย5555555 พอดีอยากหายเร็วๆอะครับและก็เพราะอยู่บ้านแทบทำอะไรไม่ได้เลยครับในช่วง 2 อาทิตย์แรก เนื่องจากว่าต้องใส่ที่ล็อคองศาหัวเข่าตลอดเวลาเลยครับ ถอดได้แค่ตอนอาบน้ำและตอนนอนเท่านั้น ถ้าจะเดินคือต้องใส่ตลอด พร้อมกับมีไม้ค้ำยันคู่กายติดตัวไปตลอดเลย แล้วช่วงอาบน้ำนี่คือลำบากพอสมควรเลยเพราะห้ามแผลโดนน้ำเด็ดขาด ผมก็เลยให้พ่อไปซื้อพลาสติกแรปอาหารมาไว้พันขาเวลาอาบน้ำครับ 5555555 และก็ต้องมีเก้าอี้สองตัวในห้องน้ำด้วย ตัวนึงไว้นั่งอีกตัวไว้พาดขาเวลาอาบน้ำ แผลจะได้โดนน้ำยากครับ
ที่ล็อคองศาหัวเข่าครับ โดยหมอจะปรับไว้ที่ 0 องศา ไม่ให้เข่างอเลยครับ
วันที่ 18 กุมภา ครบ 2 อาทิตย์หลังผ่าตัด ก็ไปอัพเดทอาการกับหมอซึ่งตอนนั้นก็ดีขึ้นเล็กน้อยครับ งอเข่าได้ 90 องศาแล้ว(ซึ่งก่อนกลับเมื่อวันที่ 11 กุมภา หมอก็สั่งไว้นะครับว่าภายใน 2 อาทิตย์ขอให้งอได้ 90 องศา)แต่ยังไม่สามารถถอดที่ล็อคได้ ที่ล็อคก็ยังต้องปรับไว้ที่ 0 องศา และก็ยังใช้ไม้ค้ำช่วยเดินต่อไปครับ มีการเพิ่มท่ากายภาพมาครับ มีท่า Plank ทั้งตัวตรงและหันข้างลำตัว ขยับลูกสะบ้า 4 ทิศทางกันพังผืดขึ้นที่หัวเข่า นอนหันข้างและก็ขยับขาขึ้นลง และก็นำยางออกกำลังใส่ไว้ที่ขาแล้วก็ขยับขา 4 ทิศทางครับ
วันที่ 4 มีนา ครบ 4 อาทิตย์หลังผ่าตัด เจอหมอรอบนี้ก็คือยังไม่ได้ถอดที่ล็อคอยู่ดีครับ 55555555 และก็ยังใช้ไม้เท้าต่อไป แต่อาการก็ดีขึ้นเยอะเลยครับ เริ่มรู้สึกว่าเท้าเราลงน้ำหนักได้มากขึ้นแล้ว ในช่วงนี้มีบางทีผมก็แอบลองเดินโดยไม้ค้ำเหมือนกันซึ่งก็เดินได้นะครับไม้ปวดหัวเข่าแล้ว แต่ต้องระวังล้มนะครับและที่ล็อคหัวเข่าก็ต้องอยู่ที่ 0 องศาตลอด เวลาเดินก็จะกะเผลกๆ หมอก็เพิ่มท่ากายภาพมาให้ครับเป็นท่า Squat โดยเอาหลังพิงกำแพงกันล้ม ปั่นเครื่องปั่นจักยาน และก็เล่นเครื่องถีบขาครับ(ผมไม่ได้เล่นเครื่องถีบขานะครับเพราะเครื่องที่หมอให้เล่นมันหายากมากเลย มันต้องเป็นเครื่องถีบขาที่เราอยู่ในท่านั่งหลังตรงนะครับ ไม่ใช่เครื่องถีบขาที่หัวเราดิ่งลงพื้นแล้วถีบขึ้นฟ้า)
วันที่ 18 มีนา ครบ 6 อาทิตย์หลังผ่าตัด เจอหมอรอบนี้หมอก็ให้ถอดที่ล็อคได้แล้วครับดีใจมากกกก แล้วก็ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำช่วยเดินแล้วรู้สึกโล่งขามาก ลองเดินก็คือเดินเริ่มปกติขึ้นเรื่อยๆแล้ว ยังรู้สึกตึงๆที่หัวเข่าอยู่เวลาเดินทำให้ยังดูกะเผลกนิดๆเวลาเดินครับ เวลาขึ้นบันไดจะตึงเป็นพิเศษทำให้ขึ้นค่อนข้างลำบากอยู่ บางทีผมก็เซฟตัวเองโดยการขึ้นทีละขาเหมือนกัน ในส่วนท่ากายภาพก็โดนเพิ่มมาอีกแล้ว 55555555 รอบนี้ก็มีฝึกขึ้นลงบันไดขั้นเดียวแบบหันข้างลำตัว ฝึกทรงตัวขาเดียว(ขาข้างที่ผ่าตัด) ท่า Lunge ส่วนในท่าเก่าๆหมอก็แนะนำให้เพิ่มความเข้มข้นเข้าไป อย่างท่า Squat ถ้าเรารู้สึกง่ายก็เพิ่มน้ำหนักเข้าไปได้ครับ การงอขาหมอก็ขอให้ผมฝึกงอเข่าให้มากกว่า 90 องศาลงไป เป็นสัก 100-110 องศาครับ
ปัจจุบันที่สร้างกระทู้นี้ก็วันที่ 25 มีนา เป็นเวลา 7 อาทิตย์หลังผ่าตัด ตอนนี้ขึ้นมากเลยครับ เดินดีขึ้นเยอะมาก รู้สึกว่าขาเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วแต่ก็ใช้ชีวิตระวังขึ้นเยอะครับ เพราะว่าถ้าเดินแล้วล้มมานี่น่าจะซวยหนักเลยละครับ เข่าตอนนี้ก็งอได้มากกว่า 90 องศาแล้วครับแต่ยังไม่สามารถงอได้ถึงขนาดพับขาจนแตะก้นได้ ได้แค่เกือบถึงซึ่งผมว่าพอเวลาผ่านไปเรื่อยๆมันก็คงค่อยๆงอขึ้นได้เองครับ การทำกายภาพก็ทำเกือบทุกวันเลยครับ ช่วงเที่ยงจะทำพวก Squat Lunge Plank และก็ท่าที่หมอสั่งมาครับ(มีการตัดบางท่าออกไปนะครับ ที่ผมเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำแล้ว เช่น งอนิ้วเท้า ยกขาค้างไว้ ไม่งั้นมันจะใช้เวลานานไปหน่อย) ช่วงเย็นผมก็จะไปฟิตเนสไปปั่นจักรยานครับ ที่มีเวลาออกกำลังได้ขนาดนี้เพราะผมยังว่างงานอยู่นะครับ 5555555555 ถ้าเกิดได้งานแล้วก็คงทำได้แค่ตอนเย็น ในส่วนของระยะเวลาในการเล่นกีฬาต่างๆ หมอบอกไว้ว่า 3 เดือนถึงสามารถกลับไปเล่นเวทและวิ่งได้ครับ ส่วนกีฬาที่ต้องมีการเปลี่ยนทิศทางแบบรวดเร็ว เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล ต่างๆนานาก็ต้องรอ 8-9 เดือนเลยครับ TT
แผล ณ วันที่ 25 มีนาครับ
ขอบคุณนะครับที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้เพราะรู้สึกผมพิมพ์เยอะมาก5555555555 ก็หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ให้ใครหลายๆคนนะครับ แล้วก็ขอฝากถึงคนที่ชอบเล่นกีฬาด้วยครับว่า "ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนเล่นเสมอนะครับ" เพราะที่ผมบาดเจ็บนี่ส่วนนึงก็มาจากการยืดกล้ามเนื้อไม่ดีก่อนลงไปเล่นบอลครับ ส่วนคนที่บาดเจ็บเหมือนผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ถ้าเราทำกายภาพอย่างเคร่งครัดตามที่หมอสั่ง เราสามารถกลับไปเล่นกีฬาได้อย่างแข็งแรงแน่นอนครับ