เคยมีเรื่องราวที่คนส่วนใหญ่ดูถูกว่าทำไม่ได้ ไปไม่รอด แต่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จกันมั้ยคะ?

สวัสดีค่า หัวข้อวันนี้เขียนขึ้นมาในวันที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองหน่อยๆ เลยอยากฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง

ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่าเราเป็นโรคสายตาเลือนรางแต่กำเนิด สรุปย่อๆคือต้องมองเห็นในระยะใกล้ แต่สามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้โดยวิธีของเรา เรามักจะใช้มือถือถ่ายป้ายที่มองไม่เห็น และศึกษาเส้นทางก่อนเดินทางทุกครั้ง ถามว่าลำบากมั้ย ตอบเลยว่าลำบากมาก แต่เราพร้อมลำบาก เพราะไม่อยากเป็นภาระใคร วันนึง ทุกคนในครอบครัวต้องตายจากเรา เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตคนเดียวให้ได้มากที่สุด

ตั้งแต่เล็กจนโต เราเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งเลย และถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กเกรดเฉลี่ยต่ำมาตลอด โดนครูประจานหน้าชั้น ย้ำว่าหน้าชั้น “หน้าตาไม่สวย เรียนไม่เก่ง สายตาไม่ดี โตขึ้นจะอยู่ยังไง” โดนเพื่อนบูลลี่ทั้งห้อง จนเป็นโรคซึมเศร้าอยู่พักใหญ่ โดนครอบครัวตราหน้าว่าไม่สามารถเรียนมหาลัยรัฐบาลได้ ไม่มีทางสอบได้ ภาษาอังกฤษไม่เก่ง โดนรีไทร์แน่! และโดนบังคับให้เข้า ม. เอกชนตามระเบียบ พร้อมคำพูดที่ว่า “หลักสูตรนี้ง่ายละนะ ไม่รู้จะโดนรีไทร์มั้ย” ในวันแรกของการสมัคร

ก็คือเป็นเด็กคนนึงที่คิดว่าร้องไห้เยอะมาก ร้องอัลไลมันทุกวัน ทุกคืน จนเพื่อนนั่งนับว่าปีนี้ร้องไปกี่ครั้งอะ ผ่านไรมาหนักกว่าเด็กหลายคนเลยด้วยซ้ำ บางวันร้องจนไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน 555 ขี้แงเนอะ

🙏🏻ขอบคุณมากนะ ความฝังใจนี้ทำให้เราจบเกียรตินิยมอันดับ 1 ด้วยระยะเวลา 2 ปีครึ่งเท่านั้น🙏🏻

ไม่มีอีกแล้ว เด็กเกรดเฉลี่ยต่ำคนนั้น หายลับไปในกองหนังสือ เป็นคนใหม่ที่ขอบตาดำแทน 555

🙏🏻ขอบคุณที่ไม่คิดสั้น เพราะกลัวไม่ตายแล้วเป็นภาระคนอื่น 555🙏🏻

เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต เราได้ใช้เวลาออกเดินทางคนเดียวในไทย และพบอุปสรรคมากมาย เช่น ถนนที่ขรุขระ และการข้ามถนนบนทางม้าลาย ซึ่ง…ตามนั้นเลย

ด้วยความที่เกิดมาในครอบครัวที่ห่วงภาพลักษณ์เป็นสำคัญ เราไม่เคยได้รับการฝึกด้วยไม้เท้า เราเรียนโรงเรียนปกติ ไม่เคยได้รับ Special treatment ใดๆเลย จนผ่านมา 22 ปีก็ชินมากแล้ว ไม่รู้สึกต้องการอะไรเพิ่มอีก

เราเลยลอง Research ประเทศที่ติดอันดับเรื่องความปลอดภัย และ “แคนาดา” คือเป้าหมายของเรา

เหมือนทุกอย่างกำลังทดสอบความเข้มแข็งของเรา ยื่นคะแนนไป 5 มหาลัย ได้ออฟเฟอร์มาทุกมหาลัยเลย

แต่โดนทดสอบด้วยอะไรรู้มั้ย “คำดูถูกไง” ทั้งที่รู้ว่าที่ผ่านมาเราชนะมันทุกอย่าง แต่วันนี้เราเหมือนจะแพ้มัน

“จะรอดหรอ”
“จะอยู่คนเดียวได้หรอ”
“ลูกคุณหนู ล้างจานไม่เป็น ซักผ้าไม่เป็น ทำกับข้าวไม่เป็น” (ทั้งที่คนเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่กับเรา 24 ชั่วโมง) เขาไม่เคยเห็นเราซักผ้า ล้างจาน ทำกับข้าว เพราะมุมที่เห็นคือมีแม่บ้านทำให้ เราก็เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็รู้สึกแย่อยู่ดี

และคำสาปแช่งของพ่อแม่ที่ว่าถ้าออกจากบ้านนี้ไป ขอให้ไปไหนไม่รอด มันจะมีผลกับอนาคตเรามั้ย?

นั่นเป็นสาเหตุที่เราชั่งใจว่าจะไปดีมั้ย แต่ถ้าอยู่ในสังคมไทย เราไม่เคยได้รับโอกาสดีๆตั้งแต่เรียนแล้ว เราโดนแบ่งแยกตลอด หลายครั้งที่ไปไหนมาไหน เราต้องทนฟังคนถามเรื่องของเราบ่อยๆ แล้วต้องตอบเหมือนตอกย้ำตัวเองจริงๆหรอ แล้วถ้าวันนึงธุรกิจครอบครัวไปไม่รอด (หรือโดนไล่ออกจากบ้าน เพราะทำไม่ถูกใจ อันนี้โดนทุกเดือน) เราจะหางานทำที่นี่ได้มั้ย (แบบเงินเดือนพอใช้อะนะ)

แล้วถ้ายังต้องทน เราจะไหวมั้ยอะ? นั่นคือสิ่งที่ถามตัวเองทุกวัน

ทั้งที่ทางมีอยู่ 2 ทาง แต่เราเลือกไม่ได้สักทาง จะอยู่ก็รู้สึกไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย จะไปก็หวิว ทุกอย่างคือใหม่หมดเลย อันนี้คือคนเดียวและอิสระของจริง เราไม่ได้มองที่นั่นเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ขนาดนั้น ลำบากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ คือ บททดสอบที่ยากสุดในชีวิต

ขอบคุณที่อ่านจบนะคะ อ่อนแอและสับสนมากตอนนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่