JJNY : พร้อมลุยชำแหละรบ.│เกษตรกรอ่วม“แบกหนี้-อหิวาต์หมู”│ท่องเที่ยวเหนือฟื้นตัวเบาหวิว│สหรัฐชี้รัสเซียยังเสริมทหาร

วันนี้! ฝ่ายค้าน พร้อมลุยชำแหละรัฐบาล เปิดตัว 'พี่มิ่ง-เต้ 007' ร่วมซักฟอก 'ประยุทธ์'
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6893009
 
 
วันนี้! ฝ่ายค้าน พร้อมลุยชำแหละรัฐบาล ตาม ม.152 แบบไม่ลงมติ เปิดตัว ‘มิ่งขวัญ-เต้ มงคลกิตต์’ ร่วมซักฟอก ‘ประยุทธ์’ ดักคอ ถ้ารัฐบาลขอนับองค์ประชุม ก็ขายหน้าเอง 
  
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 17 ก.พ. ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วม ฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า วันนี้เป็นแรกของการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 วันนี้ฝ่ายค้านเตรียมตัวมาพร้อมทุกพรรคใน 6 พรรคร่วม และจะมีนาย มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ และนาย มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ อภิปรายสมทบ
  
การอภิปรายวันนี้จะเริ่มโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะ ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายเปิดญัตติ และจะตามด้วยหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านทุกพรรค จากนั้นจะเริ่มอภิปรายด้วยกลุ่มเศรษฐกิจปากท้อง ต่อด้วยปัญหาโรคระบาดในคนและสัตว์ และไปต่อในวันที่ 18 ก.พ. ในเรื่องกลุ่มปฏิรูปประเทศ การเมืองและกลุ่มทุจริต วันนี้ไฮไลท์คือหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่จะมีประเด็นเด็ดๆ ส่วนวันพรุ่งนี้จะมีหัวหมู่ทะลวงฟันจะทยอยกันขึ้นอภิปราย โดยเราจะใช้เวลาอภิปรายวันละ 11 ชั่วโมงอย่างเต็มที่
 
นายสุทิน กล่าวต่อว่า เราคาดหวังว่าการอภิปรายครั้งนี้จะทำให้ประชาชนเห็นว่า ความทุกข์ยาก ลำบาก ปัญหาที่ประชาชนและประเทศกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ ที่จริงแล้วเกิดจากความอ่อนแอ ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหาร ไม่ใช่เกิดจากปัจจัยโรคและปัจจัยภายนอก เมื่อประชาชนได้เห็นเช่นนี้แล้ว เชื่อว่าประชาชนจะตัดสินใจว่าจะให้เวลารัฐบาลหรือไม่ใน 1 ปีที่เหลือ ในส่วนของรัฐบาลเมื่อเราได้ชี้ให้เห็นแล้ว เชื่อว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในการนำมาปรับปรุงในการบริหาร ทุกวันนี้ก็เริ่มเห็นบ้างแล้ว
 
เช่น มาตรการน้ำมันที่มีการปรับราคาดีเซลลง การชดเชยเกษตรกรที่เฉื่อยช้ามานาน วันนี้เมื่อเราจะขยับอภิปรายก็เร่งจ่ายแล้ว ส่วนจะมีเหตุการณ์ล่มหรือไม่นั้น ไม่มีเหตุผลที่จะเกิด เพราะฝ่ายค้านไม่นับองค์ประชุมแน่นอน ส่วนหากฝ่ายรัฐบาลจะนับองค์ประชุม เขาก็จะขายหน้าเอง แม้ฝ่ายค้านมาครบ แต่รัฐบาลไม่มาสภาก็ล่มอยู่ดี ฉะนั้นเรื่องสภาล่มคงไม่มี เพราะเราคุยกันแล้ว
 


เกษตรกรอ่วม “แบกหนี้-อหิวาต์หมู” ฉุดยอดกู้ ธ.ก.ส
https://www.prachachat.net/finance/news-866012

เกษตรกรอ่วมเผชิญสารพัดปัญหา “ผลผลิตราคาตก-อหิวาต์หมู-เศรษฐกิจแย่-หนี้ครัวเรือนพุ่ง” ฉุดยอดปล่อยกู้ ธ.ก.ส.ฮวบ คาดปีบัญชี 64 ไม่ถึงเป้า 5 หมื่นล้านบาท พร้อมทบทวนเป้าหมายปีบัญชี 65 เดินหน้า “รัดเข็มขัด” แน่นขึ้น เน้นแก้หนี้-ปรับโครงสร้าง-คุมหนี้เสีย
 
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อใหม่ในปีบัญชี 2564 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค. 2565 นี้ คาดว่าจะออกมาต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 5 หมื่นล้านบาทเล็กน้อย ทำให้ในปีบัญชี 2565  (เม.ย. 2565-มี.ค. 2566) ธ.ก.ส.จะต้องปรับเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อให้สอดคล้องกับสถานภาพจริงของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
 
โดยจะพิจารณาว่าลูกค้ามีความจำเป็นในการประกอบอาชีพส่วนใด หรือมีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งของเงินทุนมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์การเข้าถึงสินเชื่อเพื่อให้เกษตรกรนำไปต่อยอดในการประกอบอาชีพได้ต่อไป
 
ทั้งนี้ ในปีบัญชี 2565 ที่กำลังจะเริ่ม ธ.ก.ส.จะให้ความสำคัญกับการแก้ไขหนี้ครัวเรือนของเกษตรกร การเข้าไปดูแลลูกค้าและยกระดับศักยภาพของชุมชน ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งในรายละเอียดของแผนงานได้เสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) ธ.ก.ส.ไปแล้ว
 
“ธ.ก.ส.กำลังออกมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืนตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เช่น ลดภาระดอกเบี้ย และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระการชำระหนี้สินของเกษตรกรและผู้ประกอบการ โดย ธ.ก.ส.จะเข้าไปเสริมสร้างศักยภาพของเกษตรกร ผู้ประกอบการ รวมทั้งวิสาหกิจชุมชน เนื่องจากการแก้ไขปัญหาหนี้สินจะต้องเพิ่มในเรื่องของรายได้ให้กับเกษตรกรด้วย นอกจากนี้ จะเน้นย้ำว่า ต้องเสริมศักยภาพอื่น ๆ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย”
 
แหล่งข่าวจาก ธ.ก.ส. กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ก่อนหน้านี้ ธ.ก.ส.ก็ได้ปรับลดเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อในปีบัญชี 2564 มาแล้วรอบหนึ่ง จากแรกทีเดียวตั้งไว้ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเกษตรกรได้รับผลกระทบจากเรื่องการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในหมู (ASF) และราคาผลผลิต รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบโดยรวมจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย
  
“ในปีบัญชี 2564 เมื่อเทียบกับปีบัญชีที่ผ่านมา ถือว่าเราทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายไปมาก จากที่ปีบัญชี 2563 ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้เกือบ 1 แสนล้านบาท ดังนั้น กำไรสุทธิของ ธ.ก.ส.ในปีนี้ก็จะลดลง ส่วนในปีบัญชี 2565 ธ.ก.ส.ก็จะปรับเป้าสินเชื่อลงมา การปล่อยสินเชื่อใหม่จะไม่ได้โตเหมือนกับที่ผ่านมา”
 
นอกจากนี้ ในปีบัญชี 2565 ธ.ก.ส.จะมีการปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น และไปหารายได้จากส่วนอื่นแทน เช่น การระดมทุนในตลาดเงิน รวมทั้งจะมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในองค์กรเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่าย
 
“เมื่อเกษตรกรได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ธ.ก.ส.ก็จะได้รับผลกระทบทั้งในด้านของการกู้เงินและด้านเงินฝาก จึงจำเป็นที่จะต้องมาลดรายจ่ายต่าง ๆ เรียกได้ว่าในปีบัญชี 2565 ธ.ก.ส.จะมีการรัดเข็มขัดแน่นขึ้น”
 
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ในส่วนสถานการณ์ลูกหนี้ของ ธ.ก.ส.นั้น ขณะนี้ยังขยายระยะเวลาในการพักชำระหนี้ให้กับลูกค้าอยู่ตามมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน โดยจะมีการจัดกลุ่มลูกค้าว่าส่วนใดบ้างที่จำเป็นต้องเข้ามาตรการปรับโครงสร้างหนี้ และส่วนใดบ้างจำเป็นที่จะเข้ามาตรการรวมหนี้ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้ ธ.ก.ส.อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลของกลุ่มลูกค้า โดยลูกค้าจะได้รับการดูแลคาบเกี่ยวไปถึงสิ้นปีบัญชี 2566 จึงทำให้สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่ได้สูงมาก แต่ก็สูงกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่า NPL สิ้นปีบัญชี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 4%
 
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าการช่วยเหลือเกษตรกรจากโครงการรัฐในการประกันรายได้ข้าว และการชะลอเก็บเกี่ยวข้าว และโครงการอื่น ๆ สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้เป็นอย่างมาก ซึ่งมีเม็ดเงินลงไปถึงมือเกษตรกรกว่า 1.3 แสนล้านบาท ไม่เช่นนั้นแนวโน้มการเป็นหนี้เสียของลูกค้า ธ.ก.ส.จะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้
 
“เดิมเราคาดว่าสิ้นปีบัญชี 2564 NPL จะอยู่ที่ระดับ 4% แต่ก็คาดว่าจะเพิ่มจาก 4% ขึ้นมาเล็กน้อย เพราะราคาผลผลิตที่เข้ามากระทบ ทำให้เกษตรกรขาดรายได้ และเดิมลูกหลานของเกษตรกรจะมีรายได้นอกภาคการเกษตรจากคนในครัวเรือน แต่เมื่อถูกตัดไปด้วยสภาวะเศรษฐกิจโควิด รวมทั้งสถานประกอบการปิด ศักยภาพที่เคยมีการชำระหนี้ก็ลดลง อย่างไรก็ดี มาตรการที่ ธปท.ออกมาเราก็จะเร่งที่จะเจอกับลูกค้าเพื่อหารือทางออกในการแก้ปัญหาร่วมกัน”
 


ท่องเที่ยวเหนือฟื้นตัวเบาหวิว อัตราเข้าพักวูบเหลือ 20% ทุบธุรกิจโรงแรมปิดถาวร 30%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3187533

นางละเอียด บุ้งศรีทอง นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ (ตอนบน) เปิดเผยว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้มีอัตราการเข้าพักในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 20% เพิ่มขึ้นจาก 10-15% ของเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังถือว่าชะลอตัวลงมาก หากเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2564 มีอัตราการเข้าพักที่ 55-58% เดือนธันวาคม 2565 อยู่ที่ 70% สะท้อนให้เห็นว่าช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 การท่องเที่ยวปรับตัวขึ้นมาได้ดีมาก แต่เมื่อเจอการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอมิครอน ทำให้รัฐบาลได้ระงับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านรูปแบบเทสต์ แอนด์ โก เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564 และการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศก็ชะลอตัวลงด้วย
 
การเดินทางในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ถือว่าปรับดีขึ้นกว่าเดือนมกราคม ที๋ผ่านมา เพราะเดือนมกราคม ถือว่าไม่ดีเลย เนื่องจากหลังหมดช่วงเคาต์ดาวน์ การเดินทางและการใช้จ่ายก็หยุดนิ่งไป โดยในเดือนกุมภาพันธ์ ก็ยังไม่ได้ดีมากนัก เหตุผลเพราะไม่ได้มีวันหยุดยาวติดต่อกัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่มีเพิ่มขึ้น รวมถึงเรายังเห็นการประชุมสัมมนาค่อนข้างน้อย ไม่ได้กลับมามากเหมือนที่คาดไว้ แม้ภาครัฐจะสนับสนุนการจัดประชุมสัมมนามากขึ้นก็ตาม ซึ่งตรงนี้ก็อาจเป็นเพราะนโยบายการป้องกันโควิด ทำให้ข้อจำกัดในการเดินทางมีมากขึ้น” นางละเอียด กล่าว
 
นางละเอียด กล่าวว่า สำหรับธุรกิจโรงแรมในขณะนี้กลับมาเปิดให้บริการประมาณ 70% ส่วนอีก 30% ปิดธุรกิจถาวรไปแล้วตั้งแต่การระบาดโควิดระลอกแรก เนื่องจากสายป่านสั้น และไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่า การระบาดโควิดจะยาวนานมากน้อยเท่าใด จึงตัดสินใจปิดตัวลงก่อน เพื่อลดความบาดเจ็บให้ตัวเอง ส่วนการปิดธุรกิจและขายให้บุคคลอื่นนั้น ความจริงเราไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนมือของธุรกิจโรงแรมมากนัก ส่วนใหญ่หากปิดตัวลง ก็จะเป็นการปิดตัวไปเลย ยอมเป็นหนี้สถาบันการเงินมากกว่าจะขายให้บุคคลอื่น เนื่องจากในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะซื้อขายได้ดีมากนัก เพราะการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินทำได้ยากกว่าปกติ
 
นางละเอียด กล่าวว่า ทิศทางภาพท่องเที่ยวไตรมาส 2/2565 ความจริงที่ผ่านมาไตรมาส 1 มักดีกว่าหากเทียบกับไตรมาส 2 อยู่แล้วในภาพรวม เพราะคนเดินทางมากกว่า บวกกับนโยบายการเปิดประเทศเข้ามาเสริม แต่เมื่อเราชะลอการเปิดประเทศไป ทำให้สายการบินก็ชะลอการลงทุนทำการบินด้วย ทำให้ตอนนี้มีเที่ยวบินตรงจากสิงคโปร์มาเชียงใหม่เพียง 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งก็มีต่างชาติเข้ามาเพียงหลักร้อยคนเท่านั้น รวมถึงเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจากภูเก็ตเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ต่อ ค่อยข้างแผ่วลง เพราะต้องตรวจ RT-PCR 2 ครั้ง ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น กระทบกับการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวต่อ ทำให้เดิมเชียงใหม่ถือเป็นเมืองรองที่ต่างชาติจะเข้ามาเที่ยวอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้สายการบินไม่เชื่อมั่นที่จะเปิดเที่ยวบินตรงเพิ่มมากเข้าไปอีก
 
นางละเอียด กล่าวว่า หากไตรมาส 3/2565 ท่องเที่ยวในประเทศมีทิศทางคึกคักขึ้นเหมือนไตรมาส 4/2564 เอกชนก็จะสามารถอยู่ได้ แต่หากไม่เป็นเหมือนคาดไว้ หรือภาพพอๆ กับไตรมาส 2/2565 ที่คนส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวทะเลมากกว่า และรัฐบาลไม่สามารถผลักดันให้เกิดการจัดประชุมสัมมนามากขึ้นได้ จะส่งผลให้เชียงใหม่ดูไม่น่าไปรอด ซึ่งคงเห็นการชะลอตัวของธุรกิจโรงแรมและการจ้างงานลดลงไปอีก ภาคธุรกิจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ความไม่แน่นอนและไม่ชัดเจนต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่