สวัสดีครับ ผมอาจจะเขียนไม่เก่งเรียบเรียงเรื่องร่าวไม่ถูกต้องขอภัยด้วย เอาหละเริ่มเลยไม่รู้จะเกริ่นอะไร เพราะไม่ค่อยชอบอ่านข้อความเยอะๆ
*บุคลิกก่อน เป็นคนร่าเริง เฮฮา เฟรนลี่ เป็นที่รักของหลายๆคน ชอบช่วยเหลือ ชอบให้คนอื่นมีความสุขจากเรา
และด้วยบุคลิกและนิสัยพวกนี้แหละครับ จึงทำให้ส่งผลทีละนิดทีละน้อย
จุดเปลี่ยนที่ 1
เรื่องก็เริ่มจากตอนเข้า ม.4 ใหม่ๆ ไปเจอเพื่อนคนนึงที่เป็นคนเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง เราก็เลยเริ่มตีสนิท พร้อมชวนให้ลองเข้ากลุ่มต่างๆดู
จนมารู้ที่หลังว่าเขามีอาการ "ซึมเศร้า" ก็เกิดไฟอย่างแรงกล้าในจิตใจผมว่า ไม่ได้การละ ผมต้องช่วยให้เขาหาย และผมก็ได้ทุ่มสุดตัวในการเทคแคร์
คนนั้น ใช้เวลากับคนนั้นเยอะมาก เพราะเราต้องการข้อมูลว่า ไปทำไงมาถึงได้เป็นแบบนี้ และการที่เราเทคแคร์มากเกินไปนี่แหละครับ มันส่งผลร้าย
เพราะทุกครั้งที่ผมไม่สำเร็จผมก็จะรู้สึกเสียใจมากๆ
จุดเปลี่ยนที่ 2
ผมไปตกหลุมรักคนๆนึงครับ ครูได้จัดที่นั่งแบบสุ่มให้เราได้นั่งข้างกัน และผมก็เริ่มชอบเธอโดยไม่รู้ตัว และบอกตัวเองอยู่ตลอดว่า ป๊าว เราไม่ได้ชอบแกซะหน่อย จนขึ้นชั้นใหม่ เขาได้ย้ายไปนั่งที่อื่น ผมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าคืนมา แต่สุดท้ายมันก็ไร้ผล... ต่อให้ผมจะพยายามเท่าไหร่ คนที่ใช่ไม่จำเป็นต้องพยายาม ยอมรับว่าตอนนั้นเสียใจมาก โคตรเศร้า แต่ก็เก๊กไว้เดี๋ยวมันไม่เท่ และมันก็ส่งผลเป็นครั้งที่ 2
จุดเปลี่ยนที่ 3 (ไม่รู้ตัวเอง)
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกำลังสับสน จากที่ผมเป็นเด็กกิจกรรม ชอบเข้าสังคมหาคนใหม่ไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มเปลี่ยนไปจนคนอื่นมองมันอย่างเห็นได้ชัด (ยกเว้นตัวเอง) ผมเริ่มรำคาญกับทุกสิ่ง สิ่งที่เคยทำมันไม่สนุกอีกแล้ว ผมไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น ผมเริ่มอยู่คนเดียวมากขึ้น เริ่มเก็บตัวและไม่เข้าสังคม
และสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมไม่มีคนให้ระบาย ด้วยความที่มองว่าทุกคนเป็นเพื่อนทั้งหมด จึงพูดได้เต็มปากตัวเองว่า ผมไม่มีเพื่อนสนิท
จุดเปลี่ยนที่ 4 (ดำดิ่ง)
ใช่ครับ ดำดิ่ง ทุกอย่างมืดสนิท มองไปไหนไม่เห็นใคร ผมร้องไห้บ่อยมาก และก็เกิดคำถามตัวเองทุกๆวันว่า เราเป็นอะไร ทำไมเราถึงคิดมาก เราไม่อยากคิด
เราเหนื่อยมาก เหนื่อยที่จะร้องไห้ เหนื่อยที่จะคิดรู้สึกว่าความพยายามเราไม่มีอะไรดีขึ้นเลย และก็อยากตายในทุกๆวัน ในหัววนแต่เรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะทำให้ตัวเองไม่ว่าง ก็ต้องคิดเรื่องพวกนี้เสมอ ในระหว่างนี้ผมเริ่มขาดเรียนบ่อยขึ้น ผมเริ่มลงโซเชียลบ้าง(บ่อย) ก็มีคนรู้สึกกังวลใจและเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย แต่ทุกๆกำลังใจที่ส่งมาให้จากใจจริง ในตอนนั้นผมกลับมองมันว่าเป็นเพราะ ไม่รู้จะปลอบใจอะไรมากกว่า ไม่มีใครแคร์เราจริงๆหรอก บอกตรงๆว่า ไม่สามารถมองอะไรเป็นเรื่องดีได้เลย มองอะไรคิดลบ จนขั้นติดลบมากๆ โคตรแย่ (พิมพ์ไปน้ำตาจะไหล 5555 โหพิมพ์มาไปต่อยากเลย ไม่อยากนึกถึงเท่าไหร่) ผมได้ทำเพลงลงยูทูป คุณผู้อ่านเชื่อมั้ยว่าคลิปนั้นได้เยอะมากๆ อยู่ดีๆก็บูม แต่บอกตรงๆนะ ในตอนนั้นผมไม่ดีใจเลย เพื่อนก็มาแสดงความยินดีด้วย แต่เราก็ได้แค่ตอบว่า โอเค เราไม่เป็นไร เพราะด้วยความที่เราอยากให้คนอื่นไม่ต้องคิดมากเรื่องเรา ทุกอย่างลบไปหมด ผมพอละหัวข้อนี้ ไม่อยากนึกถึง
จุดเปลี่ยนที่ 5 (แสงสว่างมั้ง)
เราเริ่มรู้ตัวเอง เราจึงตัดสินใจไปหาจิตแพทย์ และได้ยามาทาน ผลที่ได้คือ ยามันค่อยๆลดอาการพวกนี้ไปได้บ้าง เล็กน้อยยยยยยย
อาการนอนไม่หลับเอย อาการไม่อยากอาหารเอยก็ค่อยๆลดไปทีละนิด ผมทานยาพร้อมทั้งเริ่มเปิดใจ เริ่มยอมรับกับตัวเองเริ่มมีคนที่ไว้วางใจไปทีละนิดๆ
และก็ได้ถามเพื่อนๆว่ารู้มั้ยว่าเราเป็นอะไร เป็นยังไง จนเราได้ยินจากปากเพื่อน ใจฟูมากๆ เราเริ่มออกจากข้างนอก เริ่มกลับมาหาคนใหม่ๆบ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะหรอก รู้สึกว่าความมั่นใจผมลดไป 70% เลยแหละ ได้ทานยามาประมาณ 2 ปี เราก็รู้คำตอบของคำถามที่ว่า เราเป็นอะไร? ทำไมเราถึงเป็น? และคำตอบที่ได้อาจจะหน้าผิดหวังหน่อยนั่นก็คือ ช่าง

.... แต่มันดีมาก!! คำตอบนี้คือดีมาก บางทีการที่เราไม่ต้องไปคิดย้ำ คิดทบทวนว่าเราผิดอะไรตรงไหน แค่เราช่างมัน รู้สึกสบายใจ และโล่งมากๆ
เราไม่ต้องทำให้คนอื่นยอมรับเราหรอกครับ ถ้าคนอื่นเขายอมรับ เดี๋ยวเขาก็ยอมรับเอง บางอย่างเราก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ฉะนั้น ปล่อยได้ก็ปล่อยๆไป และผมก็ได้ไปเจอกับของสิ่งใหม่นั่นก็คือ Magic Muchroom ซึ่งที่ไทยผิดกฏหมาย อย่าแจ้งจับผมนะ 5555 แต่หลังจากได้ทำแล้ว มันทำให้เราเห็นสิ่งที่มันเป็นปมอยู่ในใจมาตลอดช่วงชีวิต ผมมองเห็นตัวเองตอนเด็ก จึงได้รู้ว่าเราอะเป็นเด็กเก็บกด และหลายๆอย่างมันก็คลี่คลาย
หลังจากกินยาจากหมอ ผมก็เริ่มขี้เกียจกินแล้ว ผมรู้สึกตัวเองพร้อมแล้ว กับการเลิกกินยา กินเยอะมันก็ไม่ดีใช่มั้ย ผมก็เลย เอาวะ! ซักตั้ง เพราะที่ผ่านมาผมทำตามคำแนะนำหมอทุกอย่าง ไม่เคยเลิกกินเอง สุด Nerd เลยแหละ และผมก็เลิกมันได้แล้ว เย่ *แต่ก็ไม่ควรทำนะครับ เรื่องของพวกนี้มัน Sensitive อันตรายพอตัว ผมก็หาข้อมูลแน่นอยู่นะ
*คำแนะนำสำหรับคนที่มีคนรอบตัวเป็นโรคนี้อยู่
ห้ามพูดคำว่า "สู้ๆ , สู้ๆนะ" อะไรทำนองนี้ เพราะคนที่เป็นแล้วได้ฟังรู้สึกว่า ไม่แคร์เราจริงๆนี่หว่า ก็แค่ตอบๆไปเพราะไม่รู้จะพูดยังไงดี แม้เจตนาเราจะดีก็ตาม
คงจะจบลงไปแล้วหละสำหรับกระทู้นี้ นึกว่าจะน้อยๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ อันไหนผมพร้อมตอบ ก็จะมาตอบให้ฟังได้นะครับ
ลาก่อนและสวัสดีชาวโลก
แชร์ประสบการณ์ โรคซึมเศร้า ปัญหาใหญ่ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว
*บุคลิกก่อน เป็นคนร่าเริง เฮฮา เฟรนลี่ เป็นที่รักของหลายๆคน ชอบช่วยเหลือ ชอบให้คนอื่นมีความสุขจากเรา
และด้วยบุคลิกและนิสัยพวกนี้แหละครับ จึงทำให้ส่งผลทีละนิดทีละน้อย
จุดเปลี่ยนที่ 1
เรื่องก็เริ่มจากตอนเข้า ม.4 ใหม่ๆ ไปเจอเพื่อนคนนึงที่เป็นคนเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง เราก็เลยเริ่มตีสนิท พร้อมชวนให้ลองเข้ากลุ่มต่างๆดู
จนมารู้ที่หลังว่าเขามีอาการ "ซึมเศร้า" ก็เกิดไฟอย่างแรงกล้าในจิตใจผมว่า ไม่ได้การละ ผมต้องช่วยให้เขาหาย และผมก็ได้ทุ่มสุดตัวในการเทคแคร์
คนนั้น ใช้เวลากับคนนั้นเยอะมาก เพราะเราต้องการข้อมูลว่า ไปทำไงมาถึงได้เป็นแบบนี้ และการที่เราเทคแคร์มากเกินไปนี่แหละครับ มันส่งผลร้าย
เพราะทุกครั้งที่ผมไม่สำเร็จผมก็จะรู้สึกเสียใจมากๆ
จุดเปลี่ยนที่ 2
ผมไปตกหลุมรักคนๆนึงครับ ครูได้จัดที่นั่งแบบสุ่มให้เราได้นั่งข้างกัน และผมก็เริ่มชอบเธอโดยไม่รู้ตัว และบอกตัวเองอยู่ตลอดว่า ป๊าว เราไม่ได้ชอบแกซะหน่อย จนขึ้นชั้นใหม่ เขาได้ย้ายไปนั่งที่อื่น ผมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าคืนมา แต่สุดท้ายมันก็ไร้ผล... ต่อให้ผมจะพยายามเท่าไหร่ คนที่ใช่ไม่จำเป็นต้องพยายาม ยอมรับว่าตอนนั้นเสียใจมาก โคตรเศร้า แต่ก็เก๊กไว้เดี๋ยวมันไม่เท่ และมันก็ส่งผลเป็นครั้งที่ 2
จุดเปลี่ยนที่ 3 (ไม่รู้ตัวเอง)
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกำลังสับสน จากที่ผมเป็นเด็กกิจกรรม ชอบเข้าสังคมหาคนใหม่ไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มเปลี่ยนไปจนคนอื่นมองมันอย่างเห็นได้ชัด (ยกเว้นตัวเอง) ผมเริ่มรำคาญกับทุกสิ่ง สิ่งที่เคยทำมันไม่สนุกอีกแล้ว ผมไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น ผมเริ่มอยู่คนเดียวมากขึ้น เริ่มเก็บตัวและไม่เข้าสังคม
และสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมไม่มีคนให้ระบาย ด้วยความที่มองว่าทุกคนเป็นเพื่อนทั้งหมด จึงพูดได้เต็มปากตัวเองว่า ผมไม่มีเพื่อนสนิท
จุดเปลี่ยนที่ 4 (ดำดิ่ง)
ใช่ครับ ดำดิ่ง ทุกอย่างมืดสนิท มองไปไหนไม่เห็นใคร ผมร้องไห้บ่อยมาก และก็เกิดคำถามตัวเองทุกๆวันว่า เราเป็นอะไร ทำไมเราถึงคิดมาก เราไม่อยากคิด
เราเหนื่อยมาก เหนื่อยที่จะร้องไห้ เหนื่อยที่จะคิดรู้สึกว่าความพยายามเราไม่มีอะไรดีขึ้นเลย และก็อยากตายในทุกๆวัน ในหัววนแต่เรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะทำให้ตัวเองไม่ว่าง ก็ต้องคิดเรื่องพวกนี้เสมอ ในระหว่างนี้ผมเริ่มขาดเรียนบ่อยขึ้น ผมเริ่มลงโซเชียลบ้าง(บ่อย) ก็มีคนรู้สึกกังวลใจและเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย แต่ทุกๆกำลังใจที่ส่งมาให้จากใจจริง ในตอนนั้นผมกลับมองมันว่าเป็นเพราะ ไม่รู้จะปลอบใจอะไรมากกว่า ไม่มีใครแคร์เราจริงๆหรอก บอกตรงๆว่า ไม่สามารถมองอะไรเป็นเรื่องดีได้เลย มองอะไรคิดลบ จนขั้นติดลบมากๆ โคตรแย่ (พิมพ์ไปน้ำตาจะไหล 5555 โหพิมพ์มาไปต่อยากเลย ไม่อยากนึกถึงเท่าไหร่) ผมได้ทำเพลงลงยูทูป คุณผู้อ่านเชื่อมั้ยว่าคลิปนั้นได้เยอะมากๆ อยู่ดีๆก็บูม แต่บอกตรงๆนะ ในตอนนั้นผมไม่ดีใจเลย เพื่อนก็มาแสดงความยินดีด้วย แต่เราก็ได้แค่ตอบว่า โอเค เราไม่เป็นไร เพราะด้วยความที่เราอยากให้คนอื่นไม่ต้องคิดมากเรื่องเรา ทุกอย่างลบไปหมด ผมพอละหัวข้อนี้ ไม่อยากนึกถึง
จุดเปลี่ยนที่ 5 (แสงสว่างมั้ง)
เราเริ่มรู้ตัวเอง เราจึงตัดสินใจไปหาจิตแพทย์ และได้ยามาทาน ผลที่ได้คือ ยามันค่อยๆลดอาการพวกนี้ไปได้บ้าง เล็กน้อยยยยยยย
อาการนอนไม่หลับเอย อาการไม่อยากอาหารเอยก็ค่อยๆลดไปทีละนิด ผมทานยาพร้อมทั้งเริ่มเปิดใจ เริ่มยอมรับกับตัวเองเริ่มมีคนที่ไว้วางใจไปทีละนิดๆ
และก็ได้ถามเพื่อนๆว่ารู้มั้ยว่าเราเป็นอะไร เป็นยังไง จนเราได้ยินจากปากเพื่อน ใจฟูมากๆ เราเริ่มออกจากข้างนอก เริ่มกลับมาหาคนใหม่ๆบ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะหรอก รู้สึกว่าความมั่นใจผมลดไป 70% เลยแหละ ได้ทานยามาประมาณ 2 ปี เราก็รู้คำตอบของคำถามที่ว่า เราเป็นอะไร? ทำไมเราถึงเป็น? และคำตอบที่ได้อาจจะหน้าผิดหวังหน่อยนั่นก็คือ ช่าง
เราไม่ต้องทำให้คนอื่นยอมรับเราหรอกครับ ถ้าคนอื่นเขายอมรับ เดี๋ยวเขาก็ยอมรับเอง บางอย่างเราก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ฉะนั้น ปล่อยได้ก็ปล่อยๆไป และผมก็ได้ไปเจอกับของสิ่งใหม่นั่นก็คือ Magic Muchroom ซึ่งที่ไทยผิดกฏหมาย อย่าแจ้งจับผมนะ 5555 แต่หลังจากได้ทำแล้ว มันทำให้เราเห็นสิ่งที่มันเป็นปมอยู่ในใจมาตลอดช่วงชีวิต ผมมองเห็นตัวเองตอนเด็ก จึงได้รู้ว่าเราอะเป็นเด็กเก็บกด และหลายๆอย่างมันก็คลี่คลาย
หลังจากกินยาจากหมอ ผมก็เริ่มขี้เกียจกินแล้ว ผมรู้สึกตัวเองพร้อมแล้ว กับการเลิกกินยา กินเยอะมันก็ไม่ดีใช่มั้ย ผมก็เลย เอาวะ! ซักตั้ง เพราะที่ผ่านมาผมทำตามคำแนะนำหมอทุกอย่าง ไม่เคยเลิกกินเอง สุด Nerd เลยแหละ และผมก็เลิกมันได้แล้ว เย่ *แต่ก็ไม่ควรทำนะครับ เรื่องของพวกนี้มัน Sensitive อันตรายพอตัว ผมก็หาข้อมูลแน่นอยู่นะ
*คำแนะนำสำหรับคนที่มีคนรอบตัวเป็นโรคนี้อยู่
ห้ามพูดคำว่า "สู้ๆ , สู้ๆนะ" อะไรทำนองนี้ เพราะคนที่เป็นแล้วได้ฟังรู้สึกว่า ไม่แคร์เราจริงๆนี่หว่า ก็แค่ตอบๆไปเพราะไม่รู้จะพูดยังไงดี แม้เจตนาเราจะดีก็ตาม
คงจะจบลงไปแล้วหละสำหรับกระทู้นี้ นึกว่าจะน้อยๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ อันไหนผมพร้อมตอบ ก็จะมาตอบให้ฟังได้นะครับ
ลาก่อนและสวัสดีชาวโลก