🛑 บลูไดมอนด์ของเราอยู่ไหนเอาคืนกลับมา ชีวิตคนของเราอยู่ที่ไหนเอาคืนกลับมา ต้องแลกกัน หนึ่งต่อหนึ่ง
🛑 อาถรรพ์แห่งเพชรบลูไดมอนด์เริ่มต้นทำงานอีกหน และคนตายลุกขึ้นมาทวงถามความยุติธรรม
🛑 ความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของชาติ
🛑 แม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 30 ปี แต่ไม่มีวันจะจบลงได้ เมื่อบลูไดมอนด์ยังหาไม่เจอ และจับมือใครดมก็ไม่ได้

เหตุแห่งความขัดแย้งของทั้งสองชาติต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2531
กับชายต้นเรื่องที่ชื่อ “ เกรียงไกร เตชะโม่ง” หนุ่มเมืองเถิน จ.ลำปาง
เรียนจบแค่ ม.3 ก็ทิ้งนาไร่และความอดอยากยากแค้นในบ้านเกิดเมืองนอน
ยอมกู้เงินมาจ่ายให้นายหน้า 2 หมื่นบาท เพื่อไปขุดทองที่ ซาอุฯ ตามความฝันของนักเสี่ยงโชคในยุคนั้น
ทันที่เดินทางไปยังเมืองทะเลทรายเกรียงไกร ก็ได้เข้าไปทำงาน
เป็นคนงานในบริษัทรับเหมารักษาความสะอาดให้พระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อัล ซะอูด
จนกระทั่งวันหนึ่งมหากาฬแห่งจอมโจรบันลือโลกก็เริ่มขึ้น
ในวันที่ 6 ส.ค.2532 เดือนที่ทะเลทรายร้อนแรงกว่าปกติ
เจ้าชายไฟซาล ก็ได้พาครอบครัวเดินทางไปตากอากาศ ณ เมืองท่าริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และเวลาเดียวกันนั้นเองบริษัทฯ ที่เกรียงไกรทำอยู่ ได้เข้าทำความสะอาดพระราชวังของเจ้าชายตามรอบพอดี
พลันที่หนุ่มบ้านนาได้เห็นพระราชวังโอ่อ่าซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองหลวงบนเนื้อที่กว่า 10 ไร่
ภายในมีอาคารหลายหลัง มีห้องยิบย่อยต่างๆ อีกกว่า 100 ห้อง และมีรั้วสูงกว่า 3 เมตร ล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน
แทบทุกห้องประดับประดาด้วย อัญมณีมีค่า แววตาเขาเป็นประกายกับเพชรนิลจินดา สร้อย แหวน นาฬิกา
ที่วางเกลื่อนกลาดตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็มีกุญแจเสียบคาไว้ เสมือนสิ่งของไร้ค่า
เพราะกฎหมายของที่นี่ ถือว่ารุนแรงมาก โดยเฉพาะคดีลักทรัพย์ ต้องถูกตัดมือสถานเดียว
แต่กฎหมายมาตรานี้ไม่อยู่ในสายตาของหนุ่มไทยที่ถูกความโลภครอบงำ
เขาค่อยๆ ลอบดูลาดเลาพร้อมหาทางหนีทีไล่กับแม่บ้านที่คอยทำหน้าที่เปิดปิดประตูวัง
เมื่อรอจนคนงานทำความสะอาดของบริษัทกลับออกไปจนหมด เขาตัดสินใจแอบซ่อนตัวเหมือนหนูตัวเล็กๆ
ในพระราชวังอันโอ่โถง เมื่อกวาดทรัพย์สินจำพวกเพชรนิลจินดา ใส่กระสอบปุ๋ย ได้ 4 กระสอบ
โยนไว้นอกรั้ววัง แล้วก็เดินหลีกเร้นผ่านสายตาของเจ้าหน้าที่รักษาการณ์เพียงไม่กี่คนไปได้
รวมแล้วเขาได้เครื่องเพชรมา 91 กิโลกรัม
หลังได้ทรัพย์สินจำนวนมากมาแล้ว เขาก็ขอไปอาศัยชั่วคราวกับเพื่อนแรงงานชาวไทย
ที่สนิทกันในวงไฮโลเพื่อรอแพ็คใส่กล่องปะปนกับข้าวของเครื่องใช้ส่งพัสดุทางอากาศมายังเมืองไทย
ปะปนกับเสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัว ซึ่งด่านศุลกากรของทั้ง 2 ประเทศ ตรวจสอบไม่พบ
เมื่อส่งของเสร็จแล้วเขาก็รีบบึ่งไปยังสนามบินเพื่อหลบหนีกลับบ้านเกิดในทันที
ก่อนที่เจ้าชายไฟซาลจะเสด็จกลับมายังพระราชวัง
ต่อมาเมื่อเท้าเหยียบแผ่นดินไทย ณ สนามบินดอนเมือง เกรียงไกร จึงตามไปรับของที่เขาส่งมาก่อนหน้านี้
โดยไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ศุลกากรระดับล่างที่ทำหน้าที่ตรวจตรา
พร้อมทั้งอ้างว่าภายในกล่องที่ส่งมาเป็นข้าวของเครื่องใช้และเครื่องไม้เครื่องมือที่นำไปทำงานที่ซาอุฯ
พร้อมทั้งจ่ายใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่เพื่อเป็นค่าอำนวยความสะดวก เจ้าหน้าที่คงเห็นว่าเขาเป็นแค่คนบ้านนอก
แต่งตัวเหมือนแรงงานทั่วไป ข้างในสัมภาระคงไม่มีอะไรผิดกฎหมาย จึงเปิดดูแต่ด้านบนเพียงผิวเผิน
แล้วพยักหน้าอนุญาตให้จอมโจรตัวแสบเข้าประเทศพร้อมเครื่องเพชรที่ซุกอยู่ก้นลัง
จากนั้นเขาก็รีบออกจากสนามบิน มุ่งตรงกลับลำปางทันที
ต่อมาเมื่อเขาเดินทางถึงบ้านเกิด เขาเริ่มต้นใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย ราวเศรษฐีน้ำมัน
โปรยหว่านเงินที่ได้จากการขายเพชรพลอยที่ขโมยมาไปทั่วเมือง ทั้งแจกญาติพี่น้องเพื่อนฝูง
และปรนเปรอสาวๆ ชื่อเสียงของชายหนุ่มที่ทยอยขนเพชรมาขายเริ่มขจรขจายไปทั่วเมืองเถิน
จนดังข้ามภาคไปเข้าหูของ “สันติ ศรีธนะขันธ์” พ่อค้าเพชรรายใหญ่จากเมืองกรุง
และนี่เองคือจุดเริ่มต้น ของอาถรรพ์เพชรซาอุฯ ที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต
ทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของชาติ มากมายจนประเมินค่าไม่ได้
ย้อนกลับไปยังเมืองทะเลทราย บรรยากาศภายในพระราชวังกำลังร้อนรุ่มยิ่งกว่าอากาศตอนกลางวันของที่นั่น
เมื่อ เจ้าชายไฟซัล กำลังฉุนเฉียวกับการตามหานาฬิกาเรือนโปรด
แต่ยิ่งหากลับยิ่งพบว่าเครื่องประดับสูงค่าหลายร้อนชิ้นต่างหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
เจ้าชายถึงกับโกรธเกรี้ยวสั่งการเจ้าหน้าที่ตามล่าหามือมืดเพื่อนำสมบัติกลับคืนมา
บริษัททำความสะอาดถูกทางการซาอุฯ เรียกมาสอบสวน ก่อนพุ่งเป้าผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งมาที่
นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ที่หนีออกจากบริษัทโดยไม่บอกกล่าวทั้งๆ ที่ยังเหลือสัญญาจ้างอีก 2 ปี
จากนั้น ทางการซาอุฯ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ฝีมือดีพร้อมทีมทูตชุดใหญ่มาเมืองไทย
เพื่อขอความร่วมมือจากอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น
อธิบดีกรมตำรวจ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบพื้นที่ในเขตภาคเหนือ พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ
พล.ต.ต.โสภณ สะวิคามิน และตำรวจน้อยใหญ่ฝีมือดีอีกมากมาย มาคลี่คลายคดีตามหาเพชรคืนเจ้าของ
รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ชุดคลี่คลายคดีใช้เวลาไม่นานนักก็ตามรวบ เกรียงไกร ได้
ขณะกบดานอยู่ในโรงแรมกับหญิงค้าบริการ ริมตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ด้านแม่สอด
จากนั้นปฏิบัติการง้างปากเกรียงไกร เพื่อให้คายข้อมูลก็เริ่มขึ้น เกรียงไกร ยอมรับสารภาพ
และให้การซัดทอดถึงบุคคลที่รับซื้อเครื่องเพชรไป เพราะเกรียงไกรเกรงว่าจะถูกจับส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ
ซึ่งมีโทษเพียงสถานเดียวคือ "แขวนคอ" ทำให้ศาลพิพากษาตัดสินจำคุกนายเกรียงไกร เตชะโม่ง
ในข้อหาลักทรัพย์ 7 ปี (แต่จำเลยรับสารภาพจึงลดโทษเหลือ 3 ปี 6 เดือน)
ว่ากันว่าที่ดินทุกตารางนิ้วรอบบ้านของเขาถูกเจ้าหน้าที่ขุดจนพรุนเพื่อค้นหาเพชร
ต่อมาเกรียงไกรถูกพามาแถลงข่าวที่เมืองกรุง พร้อมเครื่องเพชร-ทองของล้ำค่า ที่ตามยึดคืนได้
ครั้นเมื่อเกรียงไกรติดคุก ขบวนการขนของมีค่าคืนเจ้าของก็เริ่มขึ้น แต่เมื่อเจ้าชายนับทรัพย์สินที่สูญหายไปปรากฏว่า
ได้ของกลางคืนไม่ครบ และหลายชิ้นยังเป็นของปลอม
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ “บลูไดมอนด์” เพชรเม็ดใหญ่ประจำราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย
ที่ประเมินค่าไม่ได้ กลับไม่อยู่ในของกลางที่ทางการไทยส่งคืนให้
นอกจากนี้มีข่าวลือในสื่อไทยว่าภาพถ่ายในงานเลี้ยงการกุศลพบว่าภรรยาของข้าราชการหลายคนสวมสร้อยคอเพชร
ที่คล้ายกับเครื่องเพชรที่ถูกโจรกรรมจากซาอุดีอาระเบีย ทำให้ซาอุดีอาระเบียสงสัยว่าตำรวจไทยยักยอกเครื่องเพชรเอาไว้เอง
การย้อนรอยตามหาเพชรซาอุจึงได้เริ่มต้นขึ้น คณะทำงานของ พล.ต.ท.ชลอ
เริ่มต้นตรวจสอบที่กลุ่มญาติของ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ แต่เมื่อมีการตรวจสอบไม่พบว่ามีมูลความจริง
นอกจากนี้ นักการเมือง ตลอดจนคุณหญิง คุณนาย และคนมีสีหลายคน
ถูกกล่าวหาว่ามีการจัด "ปาร์ตี้เพชรซาอุฯ" ในสโมสรแห่งหนึ่งอีกด้วย
และในระหว่างนั้นนายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย
ได้ว่าจ้างชุดสืบสวนพิเศษตามแกะรอยอย่างลับๆ ในการตามหาเครื่องเพชรราชวงศ์แห่งซาอุดิอาระเบีย
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 นักการทูตชาวซาอุดีอาระเบียถูกฆ่าในย่านสีลม เขตบางรัก
หลังจากนั้นไม่นานนักการทูตชาวซาอุดีอาระเบียอีก 3 คนที่ตามแกะรอยตามหาเครื่องเพชรก็ถูกฆ่าตายในย่านยานนาวา
ต่อมา นายโมฮัมหมัด อัลลูไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ซะอูด
เดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อสืบสวนด้วยตนเอง เขาได้หายสาบสูญไปในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533
และสันนิษฐานว่าถูกฆ่า ก่อนเขาหายตัวไป รัฐบาลพยายามรื้อฟื้นคดีขึ้นสอบสวนใหม่
และพบความเชื่อมโยงว่า พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ขณะนั้นยศ “พ.ต.ท.” ได้นำตัวนายอัลลูไวรี
ไปสอบข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารนักการทูตซาอุฯ หรือไม่ จากปมความขัดแย้งในธุรกิจส่งแรงงานไทยไปซาอุฯ
แต่สุดท้ายเกิดความผิดพลาดจนนายอัลลูไวรีเสียชีวิต แต่ในอัยการมองว่าคดีมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอ จึงสั่งไม่ฟ้อง
เมื่อมีการก่อตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานเพื่อรื้อฟื้นคดีทั้ง 3 คดี หลายครั้ง
โดยเฉพาะคดีอัลลูไวรี ในปี 2552 การสอบสวนไปถึงขั้นออกหมายเรียก พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ กับพวก
มารับทราบข้อกล่าวหา หน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ
โดยอัยการสั่งฟ้องจากหลักฐาน “แหวนรูปพระจันทร์เสี้ยว” ที่ระบุว่าเป็นแหวนประจำตระกูลของนายอัลลูไวรี
ส่วนพยานปากสำคัญ ขอให้มีการสืบพยานระหว่างประเทศ แต่มีการโต้แย้งว่าการสืบพยานลับหลังจำเลยไม่เป็นธรรม
ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งห้ามการสืบพยานปากนี้ในต่างประเทศ เพราะขัดกับสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อไม่สามารถนำพยานมาเบิกความต่อศาลได้ จึงนำไปสู่คำตัดสินยกฟ้อง
ถึงแม้ไม่มีความเชื่อมโยงว่ารัฐบาลไทยเกี่ยวข้องกับการโจรกรรมเครื่องเพชร แต่ทางการซาอุดีอาระเบียเชื่อว่า
รัฐบาลไทยดำเนินการไม่เพียงพอในการไขปริศนาเกี่ยวกับการฆ่านักการทูตซาอุดีอาระเบีย
ทำให้ทางการซาอุดีอาระเบียสั่งระงับวีซ่าแก่แรงงานไทยที่จะเข้าไปทำงานโดยเด็ดขาด แต่
มีสมมติฐานหลายประการเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆ่าดังกล่าว โมฮัมเหม็ด ซาอิด โคจา (Mohammed Said Khoja)
นักการทูตชาวซาอุดีอาระเบีย เชื่อว่ามีนายตำรวจ 18 นายเกี่ยวข้องกับการหายไปของเพชร
และเชื่อว่าตำรวจเป็นผู้ลงมือฆ่านักการทูตชาวซาอุดีอาระเบีย 3 คน
จากนั้น พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ กลับมาทำคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ได้ทุกวิถีทางในการนำเพชรที่เหลือกลับคืนมาให้ได้
จากคำให้การของนายเกรียงไกรที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย
โดยขายให้สันติ ศรีธนะขัณฑ์ เสี่ยเจ้าของร้านเพชร แต่เขายืนยันว่าคืนให้
เรื่องดำเนินมาถึงปี 2537 กรมตำรวจพยายาม ‘กู้หน้า’ มีการตั้งทีมเฉพาะกิจในการตามหาเครื่องเพชรที่เหลือจากสันติ
เพื่อนำไปคืนราชวงศ์ซาอุฯ ให้ได้ ทั้งยังเชื่อว่าสันติเป็นผู้กุมความลับเรื่อง ‘บลูไดมอนด์’
มีความพยายามลักพาตัวสันติที่ศาลอาญา รัชดาฯ โดยทีมเฉพาะกิจจากกองปราบปราม
แต่สันติหนีรอด เป้าจึงตกไปที่ภรรยาและบุตรชายของสันติแทน
โดยทั้งสองหายตัวไปจากบ้านพักย่านตลิ่งชันพร้อมกับรถเบนซ์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2537
ต่อใน Comment นะคะ
ปมบาดหมางไทย-ซาอุ อาถรรพ์เพชรบลูไดมอนด์ คำสาปที่มีอยู่จริง คดีเพชรซาอุ l บันทึกลึกลับ
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะ🛑 อาถรรพ์แห่งเพชรบลูไดมอนด์เริ่มต้นทำงานอีกหน และคนตายลุกขึ้นมาทวงถามความยุติธรรม
🛑 ความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของชาติ
🛑 แม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 30 ปี แต่ไม่มีวันจะจบลงได้ เมื่อบลูไดมอนด์ยังหาไม่เจอ และจับมือใครดมก็ไม่ได้
เหตุแห่งความขัดแย้งของทั้งสองชาติต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2531
กับชายต้นเรื่องที่ชื่อ “ เกรียงไกร เตชะโม่ง” หนุ่มเมืองเถิน จ.ลำปาง
เรียนจบแค่ ม.3 ก็ทิ้งนาไร่และความอดอยากยากแค้นในบ้านเกิดเมืองนอน
ยอมกู้เงินมาจ่ายให้นายหน้า 2 หมื่นบาท เพื่อไปขุดทองที่ ซาอุฯ ตามความฝันของนักเสี่ยงโชคในยุคนั้น
ทันที่เดินทางไปยังเมืองทะเลทรายเกรียงไกร ก็ได้เข้าไปทำงาน
เป็นคนงานในบริษัทรับเหมารักษาความสะอาดให้พระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อัล ซะอูด
จนกระทั่งวันหนึ่งมหากาฬแห่งจอมโจรบันลือโลกก็เริ่มขึ้น
ในวันที่ 6 ส.ค.2532 เดือนที่ทะเลทรายร้อนแรงกว่าปกติ
เจ้าชายไฟซาล ก็ได้พาครอบครัวเดินทางไปตากอากาศ ณ เมืองท่าริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และเวลาเดียวกันนั้นเองบริษัทฯ ที่เกรียงไกรทำอยู่ ได้เข้าทำความสะอาดพระราชวังของเจ้าชายตามรอบพอดี
พลันที่หนุ่มบ้านนาได้เห็นพระราชวังโอ่อ่าซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองหลวงบนเนื้อที่กว่า 10 ไร่
ภายในมีอาคารหลายหลัง มีห้องยิบย่อยต่างๆ อีกกว่า 100 ห้อง และมีรั้วสูงกว่า 3 เมตร ล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน
แทบทุกห้องประดับประดาด้วย อัญมณีมีค่า แววตาเขาเป็นประกายกับเพชรนิลจินดา สร้อย แหวน นาฬิกา
ที่วางเกลื่อนกลาดตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็มีกุญแจเสียบคาไว้ เสมือนสิ่งของไร้ค่า
เพราะกฎหมายของที่นี่ ถือว่ารุนแรงมาก โดยเฉพาะคดีลักทรัพย์ ต้องถูกตัดมือสถานเดียว
แต่กฎหมายมาตรานี้ไม่อยู่ในสายตาของหนุ่มไทยที่ถูกความโลภครอบงำ
เขาค่อยๆ ลอบดูลาดเลาพร้อมหาทางหนีทีไล่กับแม่บ้านที่คอยทำหน้าที่เปิดปิดประตูวัง
เมื่อรอจนคนงานทำความสะอาดของบริษัทกลับออกไปจนหมด เขาตัดสินใจแอบซ่อนตัวเหมือนหนูตัวเล็กๆ
ในพระราชวังอันโอ่โถง เมื่อกวาดทรัพย์สินจำพวกเพชรนิลจินดา ใส่กระสอบปุ๋ย ได้ 4 กระสอบ
โยนไว้นอกรั้ววัง แล้วก็เดินหลีกเร้นผ่านสายตาของเจ้าหน้าที่รักษาการณ์เพียงไม่กี่คนไปได้
รวมแล้วเขาได้เครื่องเพชรมา 91 กิโลกรัม
หลังได้ทรัพย์สินจำนวนมากมาแล้ว เขาก็ขอไปอาศัยชั่วคราวกับเพื่อนแรงงานชาวไทย
ที่สนิทกันในวงไฮโลเพื่อรอแพ็คใส่กล่องปะปนกับข้าวของเครื่องใช้ส่งพัสดุทางอากาศมายังเมืองไทย
ปะปนกับเสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัว ซึ่งด่านศุลกากรของทั้ง 2 ประเทศ ตรวจสอบไม่พบ
เมื่อส่งของเสร็จแล้วเขาก็รีบบึ่งไปยังสนามบินเพื่อหลบหนีกลับบ้านเกิดในทันที
ก่อนที่เจ้าชายไฟซาลจะเสด็จกลับมายังพระราชวัง
ต่อมาเมื่อเท้าเหยียบแผ่นดินไทย ณ สนามบินดอนเมือง เกรียงไกร จึงตามไปรับของที่เขาส่งมาก่อนหน้านี้
โดยไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ศุลกากรระดับล่างที่ทำหน้าที่ตรวจตรา
พร้อมทั้งอ้างว่าภายในกล่องที่ส่งมาเป็นข้าวของเครื่องใช้และเครื่องไม้เครื่องมือที่นำไปทำงานที่ซาอุฯ
พร้อมทั้งจ่ายใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่เพื่อเป็นค่าอำนวยความสะดวก เจ้าหน้าที่คงเห็นว่าเขาเป็นแค่คนบ้านนอก
แต่งตัวเหมือนแรงงานทั่วไป ข้างในสัมภาระคงไม่มีอะไรผิดกฎหมาย จึงเปิดดูแต่ด้านบนเพียงผิวเผิน
แล้วพยักหน้าอนุญาตให้จอมโจรตัวแสบเข้าประเทศพร้อมเครื่องเพชรที่ซุกอยู่ก้นลัง
จากนั้นเขาก็รีบออกจากสนามบิน มุ่งตรงกลับลำปางทันที
ต่อมาเมื่อเขาเดินทางถึงบ้านเกิด เขาเริ่มต้นใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย ราวเศรษฐีน้ำมัน
โปรยหว่านเงินที่ได้จากการขายเพชรพลอยที่ขโมยมาไปทั่วเมือง ทั้งแจกญาติพี่น้องเพื่อนฝูง
และปรนเปรอสาวๆ ชื่อเสียงของชายหนุ่มที่ทยอยขนเพชรมาขายเริ่มขจรขจายไปทั่วเมืองเถิน
จนดังข้ามภาคไปเข้าหูของ “สันติ ศรีธนะขันธ์” พ่อค้าเพชรรายใหญ่จากเมืองกรุง
และนี่เองคือจุดเริ่มต้น ของอาถรรพ์เพชรซาอุฯ ที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต
ทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของชาติ มากมายจนประเมินค่าไม่ได้
ย้อนกลับไปยังเมืองทะเลทราย บรรยากาศภายในพระราชวังกำลังร้อนรุ่มยิ่งกว่าอากาศตอนกลางวันของที่นั่น
เมื่อ เจ้าชายไฟซัล กำลังฉุนเฉียวกับการตามหานาฬิกาเรือนโปรด
แต่ยิ่งหากลับยิ่งพบว่าเครื่องประดับสูงค่าหลายร้อนชิ้นต่างหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
เจ้าชายถึงกับโกรธเกรี้ยวสั่งการเจ้าหน้าที่ตามล่าหามือมืดเพื่อนำสมบัติกลับคืนมา
บริษัททำความสะอาดถูกทางการซาอุฯ เรียกมาสอบสวน ก่อนพุ่งเป้าผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งมาที่
นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ที่หนีออกจากบริษัทโดยไม่บอกกล่าวทั้งๆ ที่ยังเหลือสัญญาจ้างอีก 2 ปี
จากนั้น ทางการซาอุฯ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ฝีมือดีพร้อมทีมทูตชุดใหญ่มาเมืองไทย
เพื่อขอความร่วมมือจากอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น
อธิบดีกรมตำรวจ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบพื้นที่ในเขตภาคเหนือ พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ
พล.ต.ต.โสภณ สะวิคามิน และตำรวจน้อยใหญ่ฝีมือดีอีกมากมาย มาคลี่คลายคดีตามหาเพชรคืนเจ้าของ
รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ชุดคลี่คลายคดีใช้เวลาไม่นานนักก็ตามรวบ เกรียงไกร ได้
ขณะกบดานอยู่ในโรงแรมกับหญิงค้าบริการ ริมตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ด้านแม่สอด
จากนั้นปฏิบัติการง้างปากเกรียงไกร เพื่อให้คายข้อมูลก็เริ่มขึ้น เกรียงไกร ยอมรับสารภาพ
และให้การซัดทอดถึงบุคคลที่รับซื้อเครื่องเพชรไป เพราะเกรียงไกรเกรงว่าจะถูกจับส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ
ซึ่งมีโทษเพียงสถานเดียวคือ "แขวนคอ" ทำให้ศาลพิพากษาตัดสินจำคุกนายเกรียงไกร เตชะโม่ง
ในข้อหาลักทรัพย์ 7 ปี (แต่จำเลยรับสารภาพจึงลดโทษเหลือ 3 ปี 6 เดือน)
ว่ากันว่าที่ดินทุกตารางนิ้วรอบบ้านของเขาถูกเจ้าหน้าที่ขุดจนพรุนเพื่อค้นหาเพชร
ต่อมาเกรียงไกรถูกพามาแถลงข่าวที่เมืองกรุง พร้อมเครื่องเพชร-ทองของล้ำค่า ที่ตามยึดคืนได้
ครั้นเมื่อเกรียงไกรติดคุก ขบวนการขนของมีค่าคืนเจ้าของก็เริ่มขึ้น แต่เมื่อเจ้าชายนับทรัพย์สินที่สูญหายไปปรากฏว่า
ได้ของกลางคืนไม่ครบ และหลายชิ้นยังเป็นของปลอม
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ “บลูไดมอนด์” เพชรเม็ดใหญ่ประจำราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย
ที่ประเมินค่าไม่ได้ กลับไม่อยู่ในของกลางที่ทางการไทยส่งคืนให้
นอกจากนี้มีข่าวลือในสื่อไทยว่าภาพถ่ายในงานเลี้ยงการกุศลพบว่าภรรยาของข้าราชการหลายคนสวมสร้อยคอเพชร
ที่คล้ายกับเครื่องเพชรที่ถูกโจรกรรมจากซาอุดีอาระเบีย ทำให้ซาอุดีอาระเบียสงสัยว่าตำรวจไทยยักยอกเครื่องเพชรเอาไว้เอง
การย้อนรอยตามหาเพชรซาอุจึงได้เริ่มต้นขึ้น คณะทำงานของ พล.ต.ท.ชลอ
เริ่มต้นตรวจสอบที่กลุ่มญาติของ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ แต่เมื่อมีการตรวจสอบไม่พบว่ามีมูลความจริง
นอกจากนี้ นักการเมือง ตลอดจนคุณหญิง คุณนาย และคนมีสีหลายคน
ถูกกล่าวหาว่ามีการจัด "ปาร์ตี้เพชรซาอุฯ" ในสโมสรแห่งหนึ่งอีกด้วย
และในระหว่างนั้นนายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย
ได้ว่าจ้างชุดสืบสวนพิเศษตามแกะรอยอย่างลับๆ ในการตามหาเครื่องเพชรราชวงศ์แห่งซาอุดิอาระเบีย
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 นักการทูตชาวซาอุดีอาระเบียถูกฆ่าในย่านสีลม เขตบางรัก
หลังจากนั้นไม่นานนักการทูตชาวซาอุดีอาระเบียอีก 3 คนที่ตามแกะรอยตามหาเครื่องเพชรก็ถูกฆ่าตายในย่านยานนาวา
ต่อมา นายโมฮัมหมัด อัลลูไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ซะอูด
เดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อสืบสวนด้วยตนเอง เขาได้หายสาบสูญไปในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533
และสันนิษฐานว่าถูกฆ่า ก่อนเขาหายตัวไป รัฐบาลพยายามรื้อฟื้นคดีขึ้นสอบสวนใหม่
และพบความเชื่อมโยงว่า พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ขณะนั้นยศ “พ.ต.ท.” ได้นำตัวนายอัลลูไวรี
ไปสอบข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารนักการทูตซาอุฯ หรือไม่ จากปมความขัดแย้งในธุรกิจส่งแรงงานไทยไปซาอุฯ
แต่สุดท้ายเกิดความผิดพลาดจนนายอัลลูไวรีเสียชีวิต แต่ในอัยการมองว่าคดีมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอ จึงสั่งไม่ฟ้อง
เมื่อมีการก่อตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานเพื่อรื้อฟื้นคดีทั้ง 3 คดี หลายครั้ง
โดยเฉพาะคดีอัลลูไวรี ในปี 2552 การสอบสวนไปถึงขั้นออกหมายเรียก พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ กับพวก
มารับทราบข้อกล่าวหา หน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ
โดยอัยการสั่งฟ้องจากหลักฐาน “แหวนรูปพระจันทร์เสี้ยว” ที่ระบุว่าเป็นแหวนประจำตระกูลของนายอัลลูไวรี
ส่วนพยานปากสำคัญ ขอให้มีการสืบพยานระหว่างประเทศ แต่มีการโต้แย้งว่าการสืบพยานลับหลังจำเลยไม่เป็นธรรม
ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งห้ามการสืบพยานปากนี้ในต่างประเทศ เพราะขัดกับสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อไม่สามารถนำพยานมาเบิกความต่อศาลได้ จึงนำไปสู่คำตัดสินยกฟ้อง
ถึงแม้ไม่มีความเชื่อมโยงว่ารัฐบาลไทยเกี่ยวข้องกับการโจรกรรมเครื่องเพชร แต่ทางการซาอุดีอาระเบียเชื่อว่า
รัฐบาลไทยดำเนินการไม่เพียงพอในการไขปริศนาเกี่ยวกับการฆ่านักการทูตซาอุดีอาระเบีย
ทำให้ทางการซาอุดีอาระเบียสั่งระงับวีซ่าแก่แรงงานไทยที่จะเข้าไปทำงานโดยเด็ดขาด แต่
มีสมมติฐานหลายประการเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆ่าดังกล่าว โมฮัมเหม็ด ซาอิด โคจา (Mohammed Said Khoja)
นักการทูตชาวซาอุดีอาระเบีย เชื่อว่ามีนายตำรวจ 18 นายเกี่ยวข้องกับการหายไปของเพชร
และเชื่อว่าตำรวจเป็นผู้ลงมือฆ่านักการทูตชาวซาอุดีอาระเบีย 3 คน
จากนั้น พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ กลับมาทำคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ได้ทุกวิถีทางในการนำเพชรที่เหลือกลับคืนมาให้ได้
จากคำให้การของนายเกรียงไกรที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย
โดยขายให้สันติ ศรีธนะขัณฑ์ เสี่ยเจ้าของร้านเพชร แต่เขายืนยันว่าคืนให้
เรื่องดำเนินมาถึงปี 2537 กรมตำรวจพยายาม ‘กู้หน้า’ มีการตั้งทีมเฉพาะกิจในการตามหาเครื่องเพชรที่เหลือจากสันติ
เพื่อนำไปคืนราชวงศ์ซาอุฯ ให้ได้ ทั้งยังเชื่อว่าสันติเป็นผู้กุมความลับเรื่อง ‘บลูไดมอนด์’
มีความพยายามลักพาตัวสันติที่ศาลอาญา รัชดาฯ โดยทีมเฉพาะกิจจากกองปราบปราม
แต่สันติหนีรอด เป้าจึงตกไปที่ภรรยาและบุตรชายของสันติแทน
โดยทั้งสองหายตัวไปจากบ้านพักย่านตลิ่งชันพร้อมกับรถเบนซ์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2537
ต่อใน Comment นะคะ