ส่งสัญญาณเตือน! เผยภาพ 'แม่นํ้ายม' แห้งสนิท คาดปีนี้ไทยเจอ 'ภัยแล้ง' รุนแรงกว่าที่คิด
https://www.dailynews.co.th/news/702957/
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานสภานการณ์ของแม่น้ำยม หมู่ที่ 3 บ้านวังเทโพ ต.บลวังจิก อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร มีสภาพแห้งสนิท จนเห็นเนินดิน และผืนทรายในท้องแม่น้ำ ตลอดลำน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ส่งสัญญาณภัยแล้งรุนแรง นอกจากนี้ปริมาณน้ำที่ไม่เพียงพอ ยังส่งผลกระทบกับระบบนิเวศทางธรรมชาติสัตว์น้ำ ต่างขาดน้ำตาย ส่วนเกษตรกรและประชาชน ทังสองริมฝั่งแม่น้ำ ขาดน้ำทำการเกษตรและอุปโภคบริโภค
ขณะที่ระดับน้ำแม่น้ำยมบริเวณท้ายเขื่อนไฮดรอลิก อ.สามง่าม พบว่าระดับน้ำได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเห็นเพียงแอ่งน้ำหรือที่เรียกว่า “วังน้ำ” ที่พอเหลือน้ำไม่มาก ส่อเค้าสถานการณ์ภัยแล้งในประเทศไทยปีนี้จะรุนแรงมากขึ้นกว่าที่คิด เนื่องจากแม่น้ำยมเป็นแม่น้ำสายหลัก แต่กลับแห้งตั้งแต่ปลายปีและไม่มีน้ำต้นทุนในการกักเก็บแต่อย่างใด
ด้านนาย
ทัน กันอินต๊ะ เกษตรกรในพื้นที่ กล่าวว่า แม่น้ำยมแห้งขอดลงตั้งแต่ปลายปี โดยช่วงแรกของการทำนาเห็นว่าปริมาณน้ำมาก และหลังลงมือเพาะปลูกน้ำกลับแห้ง จึงต้องเร่งสูบน้ำไปเลี้ยงต้นข้าวกว่า 7 ไร่ โดยอาศัยสูบแหล่งน้ำผิวดินในแม่น้ำยมที่เหลืออยู่ ซึ่งต้องใช้เครื่องสูบน้ำ 2 ชุด ในการสูบ 2 ต่อ เพื่อดึงน้ำขึ้นมา และมีค่าน้ำมันเพิ่มมากขึ้นเท่าตัว
อย่างไรก็ตามสำหรับแม่น้ำยมได้ไหลผ่านพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.พิจิตร ได้แก่ สามง่าม โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง และโพทะเล รวมความยาว 124 กิโลเมตร และจากสถานการณ์แม่น้ำยมที่ลดระดับลงและแห้งขอดอย่างรวดเร็ว ส่อเค้าจะส่งผลกระทบกับประชาชนและเกษตรกรที่มีพื้นที่ตอนกลางท้ายเขื่อน จะต้องรับมือสถานการณ์ภัยแล้งไปตลอดจนช่วงฤดูฝน.
“ชลน่าน” รับหนังสือตัวแทนเครือข่าย 14 สถาบัน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_280488/
“ชลน่าน” รับหนังสือตัวแทนเครือข่าย 14 สถาบัน เสนอแนวทางการออกประกาศกฎระเบียบเพื่อบังคับใช้กับมหาวิทยาลัยในกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา
นาย
ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย น.ส.
สกุณา สาระนันท์ และนาย
นพ ชีวานันท์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รับยื่นหนังสือจากนาย
ฐิติ ชิวชรัตน์ ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายสภานิสิต นักศึกษา และเครือข่าย 14 สถาบัน เพื่อเสนอแนะแนวทางการออกประกาศ หรือกฎระเบียบเพื่อบังคับใช้กับมหาวิทยาลัยในกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ดังนี้
1. ขอให้ทบทวนมาตรการในการลดค่าเทอมของมหาวิทยาลัยรัฐและในกำกับของรัฐให้เป็นอย่างน้อยร้อยละ 20 และในกรณีที่ไม่สามารถเข้าไปใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัยได้ ขอให้ลดค่าเทอมเป็นอย่างน้อยร้อยละ 50 และขอให้พิจารณามาตรการในการลดค่าเทอมของมหาวิทยาลัยเอกชนเพิ่มเติม โดยขอให้มีการพิจารณาโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนในภาคปีการศึกษา 2564
เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของนิสิตและนักศึกษา เนื่องจากนิสิตและนักศึกษาต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น ทั้งจากการเรียนในรูปแบบออนไลน์ และจากค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงมากขึ้น และขอให้มีการขยายเวลาการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาจนกว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะหมดลง
2. ขอให้จัดมาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสมให้แก่นิสิตและนักศึกษา เช่น เร่งฉีดวัคซีนสำหรับนิสิตและนักศึกษาที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดส และวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับนิสิตและนักศึกษาที่ได้รับวัคชีนครบโดสมามากกว่า 16 สัปดาห์ขึ้นไป สนับสนุนชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง (Antigen Test Kit) ให้แก่นิสิตและนักศึกษาเพื่อทำการตรวจก่อนใช้พื้นที่มหาวิทยาลัย รวมทั้งเปิดพื้นที่ในมหาวิทยาลัยบางส่วนให้นิสิตและนักศึกษาใช้เรียนและจัดกิจกรรมโดยมีการเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นต้น
3. ขอให้จัดให้มีสัปดาห์พักผ่อน (Relax Week) ในปฏิทินการศึกษา โดยจัดทั้งสิ้น 2 ครั้งต่อภาคการศึกษาในช่วงก่อนการสอบกลางภาคครั้งหนึ่ง และก่อนการสอบปลายภาคอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้นิสิตและนักศึกษาได้มีสัปดาห์ว่าง สำหรับการผ่อนคลายจากภาระการเรียน และทบทวนบทเรียนก่อนการสอบ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยต้องดูแลเรื่องสุขภาพจิตของนิสิตและนักศึกษาอย่างใกล้ชิด โดยต้องมีนักจิตวิทยาประจำมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 1 คนต่อนิสิตและนักศึกษา 1,500 คน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมตามงานวิจัยด้านจิตวิทยา
อย่างไรก็ตาม นาย
ชลน่าน กล่าวภายหลังรับหนังสือว่ารัฐบาลควรพิจารณาในประเด็นที่นักศึกษาได้เสนอ เนื่องจากนักศึกษาได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่สภาผ่านกลไกของคณะ กมธ. โดยจะเชิญให้ตัวแทนนักศึกษามาให้ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การดำเนินแก้ไขต่อไป
กระทรวงแรงงานพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ 492 บาท มีปรับขึ้นแน่ แต่รอตัวเลข
https://www.prachachat.net/csr-hr/news-850329
กระทรวงแรงงานว่าค่าจ้างขั้นต่ำมีการปรับแน่ แต่ตัวเลขจะเป็น 492 บาทตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยเสนอหรือไม่นั้น หรือเป็นเท่าไหร่ยังตอบไม่ได้ แต่จะเร่งให้เร็วที่สุด
วันที่ 26 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้มีการยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลประกาศปรับค่าจ้าง พร้อมกับการควบคุมราคาสินค้าไม่ให้แพงเกินไป และการสร้างหลักประกันการทำงาน รวมทั้งกรณีอื่น ๆ เช่น เปลี่ยนมาตรการประกันสังคมที่เป็นธรรมแก่คนทำงาน ให้ใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ให้รัฐบาลวางนโยบายในการจ้างงาน พร้อมกับให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อย เป็นต้น
แบกภาระค่าครองชีพพุ่ง
คสรท. และ สรส. ระบุว่าได้ยืนข้อเสนอดังกล่าวให้รัฐบาลไปเมื่อนที่ 21 ธันวาคม 2564 เพราะค่าจ้างแรงงานของไทยมีราคาต่ำ การทำงานระยะสั้น ไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย ไร้หลักประกัน ทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ จึงไม่สามารถจุนเจือเลี้ยงดูครอบครัวได้เพียงพอ
อีกทั้งปัจจุบันราคาสินค้าอุปโภค บริโภค สาธารณูปโภค และสาธารณูปการ ได้ปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก เช่น หมู ไก่ ไข่ เนื้อ ข้าวสาร น้ำมันพืช ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าพาหนะเดินทาง ค่าทางด่วน และอื่น ๆ เกือบทุกรายการ
นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากรัฐบาลได้มีนโยบายสั่งการให้หน่วยงานของรัฐและเอกชน ปรับวิธีการทำงานโดยพนักงาน ลูกจ้าง ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ทำงานที่บ้าน (work from home) และให้นักเรียนนักศึกษาเรียนออนไลน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าอินเตอร์เน็ต และอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่บางส่วนถูกเลิกจ้าง ตกงาน ขาดรายได้ อยู่ในภาวะที่เดือดร้อนกันอย่างถ้วนหน้าทั่วประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะเยียวยาช่วยเหลือ แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้น ๆ
ภาคเกษตรกรรายย่อยก็ต้องเผชิญภัยพิบัติธรรมชาติไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ รวมทั้งราคาผลผลิตเองที่พอจะผลิตขายเลี้ยงชีพได้ราคาก็ตกต่ำ โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก จึงฝากความหวังที่เหลืออยู่กับการรอเงินจากสามี ภรรยา ลูก และหลาน ที่เข้ามาขายแรงงานในภาคอุตสาหกรรม และบริการในเมือง
ขอค่าจ้างขั้นต่ำ 492 บาททั้งประเทศ
คสรท. และ สรส. ระบุด้วยว่าที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการปรับค่าจ้าง พร้อมกับการควบคุมราคาสินค้าไม่ให้แพงเกินไป ซึ่งประชาชนต่างรับรู้ทั่วกันดังที่ปรากฏเป็นข่าวทุกวันจนเป็นคำกล่าวว่า “ข้าวของแพงแต่ค่าแรงแสนจะต่ำ”
“เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ข้อเสนอที่จำเป็นต้องทำ คือ การขอให้รัฐบาลประกาศปรับค่าจ้างขั้นต่ำ โดยค่าจ้างที่เสนอในปีนี้เป็นตัวเลขและข้อมูลที่ คสรท. ได้ทำการสำรวจค่าใช้จ่ายจากคนงานในพื้นที่ต่าง ๆ ประมาณ 3,000 คน ครอบคลุมภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ”
ประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายรายวันที่เป็นค่าอาหาร 3 มื้อ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ประกอบด้วย ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเลี้ยงดูครอบครัว บุพการี เป็นตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 492 บาท
ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) จำนวนเงินที่คนไทยจะเพียงพอเลี้ยงครอบครัวได้อยู่ที่ 712 บาทต่อวัน (ข้อมูลปี 2560) แต่ด้วยข้อกังวลในเงื่อนไขและสถานการณ์ต่าง ๆ คสรท. และ สรส. จึงได้ประชุมร่วมกันและเสนอตัวเลขการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2565 ในราคาวันละ 492 บาท ให้เท่ากันทั้งประเทศ และให้รัฐบาลประกาศโครงสร้างค่าจ้างเพื่อสะท้อนการปรับค่าจ้างในแต่ละปีอย่างเป็นระบบ
รมว.แรงงาน พิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2565 นาย
สาวิทย์ แก้วหวาน ตัวแทน คสรท. และ สรส. และคณะ ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นาย
สุชาติ ชมกลิ่น ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน เพื่อหารือเรื่องความคืบหน้าการขอปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยมีนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมด้วย
นาย
สุชาติกล่าวว่า จากการหารือกับ คสรท. และ สรส. ตามที่ได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลประกาศปรับค่าจ้างนั้น ได้ให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานไปพิจารณาศึกษาในรายละเอียดถึงการจัดทำโครงสร้างอัตราค่าจ้างขั้นต่ำว่ามีความเหมาะสมหรือเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ด้านนาย
สาวิทย์กล่าวว่า ขอชื่นชมท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานจากผลกระทบโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา และในวันนี้ที่ต้อนรับและได้เปิดโอกาสให้คณะคสรท. และ สรส. เข้าพบ เพื่อรับฟังสภาพปัญหาเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามความช่วยเหลือตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อให้แรงงานได้รับความคุ้มครองที่พึงจะได้รับ
ปรับขึ้นแน่ แต่รอตัวเลข
คสรท.สรุปประเด็นการเข้าพบ รมว.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีดังนี้
1. เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำมีการยืนยันว่าปรับแน่ แต่ตัวเลขจะเป็น 492 บาทตามที่ คสรท. เสนอหรือไม่นั้น หรือเป็นเท่าไหร่ยังตอบไม่ได้ แต่จะเร่งให้เร็วที่สุด
2. สำหรับเรื่องการทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั้งประเทศ จะพยายามไปหาแนวทางให้ แล้วจะมีการสั่งตั้งคณะทำงาน เพื่อดำเนินการเรื่องโครงสร้างค่าจ้าง เพื่อจะได้เลิกถกเถียงเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างแรกเข้า จากนั้นจะปรับขึ้นโดยอัตโนมัติทุกปี
3. จะสั่งการให้ข้าราชการหาตัวเลขลูกจ้างในภาคราชการทุกกระทรวงทั่วประเทศ ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้มีค่าจ้างที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ซึ่งเรื่องนี้ คสรท. เสนอว่า ลูกจ้างภาครัฐเกือบทั้งหมดเป็นลูกจ้างชั่วคราว เหมางาน แต่ได้ค่าจ้างต่ำ ไม่มีสวัสดิการใด ๆ โดยเมื่อไปเรียกร้องผลักดันหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องอ้างว่า ข้าราชการและลูกจ้างภาครัฐไม่อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายแรงงานทุกฉบับ
4. เรื่องการเบิกจ่ายเงินลาคลอดบุตรที่คณะรัฐมนตร (ครม.) มีมติเพิ่มขึ้นจาก 90 วัน เป็น 98 วันนั้น ตอนนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามในการแก้ไขกฎหมายประกันสังคมแล้ว และส่งให้ ครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้า และจะเสนอต่อรัฐสภาเพื่อประกาศบังคับใช้ต่อไป โดยสาระคือ สำนักงานประกันสังคมจ่าย 4 วัน นายจ้างจ่าย 4 วัน ส่วนการให้สามีลาช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตร 15 วันนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานขอเวลาไปศึกษา
JJNY : ปีนี้แล้งรุนแรงกว่าที่คิด│ชลน่านรับหนังสือเครือข่าย14สถาบัน│ก.แรงงานพิจารณาค่าแรง 492 บ.│น้ำมันปาล์มพุ่งแตะ 70 บ.
https://www.dailynews.co.th/news/702957/
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานสภานการณ์ของแม่น้ำยม หมู่ที่ 3 บ้านวังเทโพ ต.บลวังจิก อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร มีสภาพแห้งสนิท จนเห็นเนินดิน และผืนทรายในท้องแม่น้ำ ตลอดลำน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ส่งสัญญาณภัยแล้งรุนแรง นอกจากนี้ปริมาณน้ำที่ไม่เพียงพอ ยังส่งผลกระทบกับระบบนิเวศทางธรรมชาติสัตว์น้ำ ต่างขาดน้ำตาย ส่วนเกษตรกรและประชาชน ทังสองริมฝั่งแม่น้ำ ขาดน้ำทำการเกษตรและอุปโภคบริโภค
ขณะที่ระดับน้ำแม่น้ำยมบริเวณท้ายเขื่อนไฮดรอลิก อ.สามง่าม พบว่าระดับน้ำได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเห็นเพียงแอ่งน้ำหรือที่เรียกว่า “วังน้ำ” ที่พอเหลือน้ำไม่มาก ส่อเค้าสถานการณ์ภัยแล้งในประเทศไทยปีนี้จะรุนแรงมากขึ้นกว่าที่คิด เนื่องจากแม่น้ำยมเป็นแม่น้ำสายหลัก แต่กลับแห้งตั้งแต่ปลายปีและไม่มีน้ำต้นทุนในการกักเก็บแต่อย่างใด
ด้านนายทัน กันอินต๊ะ เกษตรกรในพื้นที่ กล่าวว่า แม่น้ำยมแห้งขอดลงตั้งแต่ปลายปี โดยช่วงแรกของการทำนาเห็นว่าปริมาณน้ำมาก และหลังลงมือเพาะปลูกน้ำกลับแห้ง จึงต้องเร่งสูบน้ำไปเลี้ยงต้นข้าวกว่า 7 ไร่ โดยอาศัยสูบแหล่งน้ำผิวดินในแม่น้ำยมที่เหลืออยู่ ซึ่งต้องใช้เครื่องสูบน้ำ 2 ชุด ในการสูบ 2 ต่อ เพื่อดึงน้ำขึ้นมา และมีค่าน้ำมันเพิ่มมากขึ้นเท่าตัว
อย่างไรก็ตามสำหรับแม่น้ำยมได้ไหลผ่านพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.พิจิตร ได้แก่ สามง่าม โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง และโพทะเล รวมความยาว 124 กิโลเมตร และจากสถานการณ์แม่น้ำยมที่ลดระดับลงและแห้งขอดอย่างรวดเร็ว ส่อเค้าจะส่งผลกระทบกับประชาชนและเกษตรกรที่มีพื้นที่ตอนกลางท้ายเขื่อน จะต้องรับมือสถานการณ์ภัยแล้งไปตลอดจนช่วงฤดูฝน.
“ชลน่าน” รับหนังสือตัวแทนเครือข่าย 14 สถาบัน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_280488/
“ชลน่าน” รับหนังสือตัวแทนเครือข่าย 14 สถาบัน เสนอแนวทางการออกประกาศกฎระเบียบเพื่อบังคับใช้กับมหาวิทยาลัยในกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา
นายชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย น.ส.สกุณา สาระนันท์ และนายนพ ชีวานันท์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รับยื่นหนังสือจากนายฐิติ ชิวชรัตน์ ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายสภานิสิต นักศึกษา และเครือข่าย 14 สถาบัน เพื่อเสนอแนะแนวทางการออกประกาศ หรือกฎระเบียบเพื่อบังคับใช้กับมหาวิทยาลัยในกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ดังนี้
1. ขอให้ทบทวนมาตรการในการลดค่าเทอมของมหาวิทยาลัยรัฐและในกำกับของรัฐให้เป็นอย่างน้อยร้อยละ 20 และในกรณีที่ไม่สามารถเข้าไปใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัยได้ ขอให้ลดค่าเทอมเป็นอย่างน้อยร้อยละ 50 และขอให้พิจารณามาตรการในการลดค่าเทอมของมหาวิทยาลัยเอกชนเพิ่มเติม โดยขอให้มีการพิจารณาโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนในภาคปีการศึกษา 2564
เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของนิสิตและนักศึกษา เนื่องจากนิสิตและนักศึกษาต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น ทั้งจากการเรียนในรูปแบบออนไลน์ และจากค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงมากขึ้น และขอให้มีการขยายเวลาการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาจนกว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะหมดลง
2. ขอให้จัดมาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสมให้แก่นิสิตและนักศึกษา เช่น เร่งฉีดวัคซีนสำหรับนิสิตและนักศึกษาที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดส และวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับนิสิตและนักศึกษาที่ได้รับวัคชีนครบโดสมามากกว่า 16 สัปดาห์ขึ้นไป สนับสนุนชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง (Antigen Test Kit) ให้แก่นิสิตและนักศึกษาเพื่อทำการตรวจก่อนใช้พื้นที่มหาวิทยาลัย รวมทั้งเปิดพื้นที่ในมหาวิทยาลัยบางส่วนให้นิสิตและนักศึกษาใช้เรียนและจัดกิจกรรมโดยมีการเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นต้น
3. ขอให้จัดให้มีสัปดาห์พักผ่อน (Relax Week) ในปฏิทินการศึกษา โดยจัดทั้งสิ้น 2 ครั้งต่อภาคการศึกษาในช่วงก่อนการสอบกลางภาคครั้งหนึ่ง และก่อนการสอบปลายภาคอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้นิสิตและนักศึกษาได้มีสัปดาห์ว่าง สำหรับการผ่อนคลายจากภาระการเรียน และทบทวนบทเรียนก่อนการสอบ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยต้องดูแลเรื่องสุขภาพจิตของนิสิตและนักศึกษาอย่างใกล้ชิด โดยต้องมีนักจิตวิทยาประจำมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 1 คนต่อนิสิตและนักศึกษา 1,500 คน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมตามงานวิจัยด้านจิตวิทยา
อย่างไรก็ตาม นายชลน่าน กล่าวภายหลังรับหนังสือว่ารัฐบาลควรพิจารณาในประเด็นที่นักศึกษาได้เสนอ เนื่องจากนักศึกษาได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่สภาผ่านกลไกของคณะ กมธ. โดยจะเชิญให้ตัวแทนนักศึกษามาให้ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การดำเนินแก้ไขต่อไป
กระทรวงแรงงานพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ 492 บาท มีปรับขึ้นแน่ แต่รอตัวเลข
https://www.prachachat.net/csr-hr/news-850329
กระทรวงแรงงานว่าค่าจ้างขั้นต่ำมีการปรับแน่ แต่ตัวเลขจะเป็น 492 บาทตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยเสนอหรือไม่นั้น หรือเป็นเท่าไหร่ยังตอบไม่ได้ แต่จะเร่งให้เร็วที่สุด
วันที่ 26 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้มีการยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลประกาศปรับค่าจ้าง พร้อมกับการควบคุมราคาสินค้าไม่ให้แพงเกินไป และการสร้างหลักประกันการทำงาน รวมทั้งกรณีอื่น ๆ เช่น เปลี่ยนมาตรการประกันสังคมที่เป็นธรรมแก่คนทำงาน ให้ใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ให้รัฐบาลวางนโยบายในการจ้างงาน พร้อมกับให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อย เป็นต้น
แบกภาระค่าครองชีพพุ่ง
คสรท. และ สรส. ระบุว่าได้ยืนข้อเสนอดังกล่าวให้รัฐบาลไปเมื่อนที่ 21 ธันวาคม 2564 เพราะค่าจ้างแรงงานของไทยมีราคาต่ำ การทำงานระยะสั้น ไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย ไร้หลักประกัน ทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ จึงไม่สามารถจุนเจือเลี้ยงดูครอบครัวได้เพียงพอ
อีกทั้งปัจจุบันราคาสินค้าอุปโภค บริโภค สาธารณูปโภค และสาธารณูปการ ได้ปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก เช่น หมู ไก่ ไข่ เนื้อ ข้าวสาร น้ำมันพืช ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าพาหนะเดินทาง ค่าทางด่วน และอื่น ๆ เกือบทุกรายการ
นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากรัฐบาลได้มีนโยบายสั่งการให้หน่วยงานของรัฐและเอกชน ปรับวิธีการทำงานโดยพนักงาน ลูกจ้าง ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ทำงานที่บ้าน (work from home) และให้นักเรียนนักศึกษาเรียนออนไลน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าอินเตอร์เน็ต และอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่บางส่วนถูกเลิกจ้าง ตกงาน ขาดรายได้ อยู่ในภาวะที่เดือดร้อนกันอย่างถ้วนหน้าทั่วประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะเยียวยาช่วยเหลือ แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้น ๆ
ภาคเกษตรกรรายย่อยก็ต้องเผชิญภัยพิบัติธรรมชาติไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ รวมทั้งราคาผลผลิตเองที่พอจะผลิตขายเลี้ยงชีพได้ราคาก็ตกต่ำ โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก จึงฝากความหวังที่เหลืออยู่กับการรอเงินจากสามี ภรรยา ลูก และหลาน ที่เข้ามาขายแรงงานในภาคอุตสาหกรรม และบริการในเมือง
ขอค่าจ้างขั้นต่ำ 492 บาททั้งประเทศ
คสรท. และ สรส. ระบุด้วยว่าที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการปรับค่าจ้าง พร้อมกับการควบคุมราคาสินค้าไม่ให้แพงเกินไป ซึ่งประชาชนต่างรับรู้ทั่วกันดังที่ปรากฏเป็นข่าวทุกวันจนเป็นคำกล่าวว่า “ข้าวของแพงแต่ค่าแรงแสนจะต่ำ”
“เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ข้อเสนอที่จำเป็นต้องทำ คือ การขอให้รัฐบาลประกาศปรับค่าจ้างขั้นต่ำ โดยค่าจ้างที่เสนอในปีนี้เป็นตัวเลขและข้อมูลที่ คสรท. ได้ทำการสำรวจค่าใช้จ่ายจากคนงานในพื้นที่ต่าง ๆ ประมาณ 3,000 คน ครอบคลุมภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ”
ประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายรายวันที่เป็นค่าอาหาร 3 มื้อ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ประกอบด้วย ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเลี้ยงดูครอบครัว บุพการี เป็นตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 492 บาท
ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) จำนวนเงินที่คนไทยจะเพียงพอเลี้ยงครอบครัวได้อยู่ที่ 712 บาทต่อวัน (ข้อมูลปี 2560) แต่ด้วยข้อกังวลในเงื่อนไขและสถานการณ์ต่าง ๆ คสรท. และ สรส. จึงได้ประชุมร่วมกันและเสนอตัวเลขการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2565 ในราคาวันละ 492 บาท ให้เท่ากันทั้งประเทศ และให้รัฐบาลประกาศโครงสร้างค่าจ้างเพื่อสะท้อนการปรับค่าจ้างในแต่ละปีอย่างเป็นระบบ
รมว.แรงงาน พิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2565 นายสาวิทย์ แก้วหวาน ตัวแทน คสรท. และ สรส. และคณะ ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน เพื่อหารือเรื่องความคืบหน้าการขอปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยมีนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมด้วย
นายสุชาติกล่าวว่า จากการหารือกับ คสรท. และ สรส. ตามที่ได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลประกาศปรับค่าจ้างนั้น ได้ให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานไปพิจารณาศึกษาในรายละเอียดถึงการจัดทำโครงสร้างอัตราค่าจ้างขั้นต่ำว่ามีความเหมาะสมหรือเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ด้านนายสาวิทย์กล่าวว่า ขอชื่นชมท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานจากผลกระทบโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา และในวันนี้ที่ต้อนรับและได้เปิดโอกาสให้คณะคสรท. และ สรส. เข้าพบ เพื่อรับฟังสภาพปัญหาเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามความช่วยเหลือตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อให้แรงงานได้รับความคุ้มครองที่พึงจะได้รับ
ปรับขึ้นแน่ แต่รอตัวเลข
คสรท.สรุปประเด็นการเข้าพบ รมว.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีดังนี้
1. เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำมีการยืนยันว่าปรับแน่ แต่ตัวเลขจะเป็น 492 บาทตามที่ คสรท. เสนอหรือไม่นั้น หรือเป็นเท่าไหร่ยังตอบไม่ได้ แต่จะเร่งให้เร็วที่สุด
2. สำหรับเรื่องการทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั้งประเทศ จะพยายามไปหาแนวทางให้ แล้วจะมีการสั่งตั้งคณะทำงาน เพื่อดำเนินการเรื่องโครงสร้างค่าจ้าง เพื่อจะได้เลิกถกเถียงเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างแรกเข้า จากนั้นจะปรับขึ้นโดยอัตโนมัติทุกปี
3. จะสั่งการให้ข้าราชการหาตัวเลขลูกจ้างในภาคราชการทุกกระทรวงทั่วประเทศ ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้มีค่าจ้างที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ซึ่งเรื่องนี้ คสรท. เสนอว่า ลูกจ้างภาครัฐเกือบทั้งหมดเป็นลูกจ้างชั่วคราว เหมางาน แต่ได้ค่าจ้างต่ำ ไม่มีสวัสดิการใด ๆ โดยเมื่อไปเรียกร้องผลักดันหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องอ้างว่า ข้าราชการและลูกจ้างภาครัฐไม่อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายแรงงานทุกฉบับ
4. เรื่องการเบิกจ่ายเงินลาคลอดบุตรที่คณะรัฐมนตร (ครม.) มีมติเพิ่มขึ้นจาก 90 วัน เป็น 98 วันนั้น ตอนนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามในการแก้ไขกฎหมายประกันสังคมแล้ว และส่งให้ ครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้า และจะเสนอต่อรัฐสภาเพื่อประกาศบังคับใช้ต่อไป โดยสาระคือ สำนักงานประกันสังคมจ่าย 4 วัน นายจ้างจ่าย 4 วัน ส่วนการให้สามีลาช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตร 15 วันนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานขอเวลาไปศึกษา