ภูกระดึง ครั้งแรกของหนุ่มน้อย 56 ขวบ

               
 
               
               สวัสดีครับทุกๆท่าน วันนี้จะมาเล่าเรื่องการไปเที่ยวภูกระดึงครั้งแรกของผมในวัย 56 ปี ที่เพิ่งกลับมาวันเสาร์(18 ธค)นี้เอง  เหตุที่ต้องรอจนปูนนี้ถึงได้ขึ้นกับเขาก็เพราะหาเพื่อนขึ้นไม่ได้สักทีตั้งแต่ยังหนุ่ม เพื่อนๆมันก็ไปกันมาแล้ว พอทำงานก็ไม่มีเวลา มัวแต่หาเงิน พอแต่งงานชวนแฟนไปเธอก็ไม่ไหว จนลูกโตว่าจะไปด้วยกันเธอก็ติดเรียนอีก  จนคิดว่าไม่ได้ไปแน่ แต่ช่วงนี้ที่ทำงานดันมีเรื่องใหญ่ เครียดมาก เลยตัดสินใจกะทันหัน แล้วก็ไปเลย ใช้เวลาแค่ 2 สัปดาห์ในการจองที่พัก วางแผน เตรียมตัว เตรียมของ  ก็ไม่ยากทุกอย่างก็เอาเท่าที่มี ร่างกาย ผมออกกำลังมาต่อเนื่องไม่ห่วง แล้วก็หาข้อมูลในเนทจนเข้าใจกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ขึ้นจนลง ทำเรื่องลาให้เรียบร้อย แล้วก็รอวันเดินทาง
               เริ่มเดินทางจากทีทำงานสระบุรี เลิกงานแล้วก็ขับรถไปนอนค้างชัยภูมิ 1 คืน วิ่งเส้น 201 ถนนใช้ได้ 4 เลนตลอดทาง ขับรถง่าย ไปถึงก็ทุ่มกว่ากินข้าว เข้านอน ตี 4 กว่าตื่นมาเก็บของ ตี 5 ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปภูกระดึง ถึงเอา 07:00 จัดการเรื่องเอกสารต่างๆ กินข้าวเช้า เตรียมตัวขึ้นเขา แต่มีผิดแผนคือลูกหาบไม่พอ ขนาดผมเลือกขึ้นวันพฤหัสแล้วนะ เลยตัดใจแบกเป้เอง ดีว่าจัดของมาพอดีไม่มีเผื่อเลย น้ำหนักรวม 7 กิโล ระหว่างรอขึ้นภูก็ดูสภาพทั่วๆไป คนค่อนข้างเยอะ แต่ไม่แน่น ลานจอดรถยังว่างอยู่กว่าครึ่ง มีวัยรุ่น หนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีเด็กๆ สว. อยู่บ้าง สาวๆส่วนใหญ่จะจัดเต็มมากันเลย เสื้อขนเป็ด หมวกไหมพรม แต่งหน้าแน่น ดูแล้วเพลินดี เหมือนอยู่เกาหลี ผมก็เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าวิ่ง เตรียมลุย เตรียมร้อน 
                                                                   เริ่มเดินกันแล้ว

                          เริ่มเดินก็หลังเคารพธงชาติพอดี ออกจากด่านก็ขึ้นเนินกันเลย มุ่งสู่ซำแฮก ที่เขาว่า แฮ่ก สมชื่อ ผมก็ค่อยๆเดินตามสูตร ก้าวช้าๆ สั้นๆเหนื่อยก็หยุด ไม่แข่งกับใคร ก็เหนื่อยเอาเรื่องเดินๆอยู่ก็โผล่มาถึงซำแฮก อ้าว ถึงแล้วเหรอ ยังไม่ทันแฮกเลย  ได้ลองแตงโมที่เขาร่ำลือกัน ก็อร่อยชื่นใจดี พักกินแตงโมหมดก็เดินต่อ ใช้สูตรเดิม ไปเรื่อยๆ พักแทบทุกซำ ทีละ 2-3 นาทีแล้วก็เดินต่อ สังเกตว่าขนาดค่อยๆเดินแบบนี้ยังแซงเขาไปเรื่อยๆ สาวๆที่ใส่เสื้อขนเป็ดทั้งหลาย ยังไม่ถึงซำแฮกก็ถอดมาพันเอวบ้าง พาดบ่าบ้าง เหงื่อก็โซมกันทุกคน อากาศก็เย็นดี เดินๆก็ร้อน พอหยุดก็หนาว แต่ก็ดีกว่าอากาศร้อนตลอดเวลา เดินไปเรื่อยๆจนช่วงสุดท้ายซำแคร่ไปหลังแป ผมว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่โหดที่สุดแล้ว ชันมาก ไกล และร่างกายล้ามาจากช่วงแรก ผมยังแทบแย่ขาเหมือนจะเป็นตะคริว ทั้ง 2 ข้าง ต้องหยุดทุก 2-3 ขั้นบันได แต่เริ่มมีพวกเดินลงมา ช่วยให้กำลังใจตลอด ผมว่าช่วยได้เยอะจริงๆโดยเฉพาะที่ไปคนเดียวแบบผม ก็กัดฟันไต่บันไดมาได้จนพ้นขึ้นหลังแปได้ด้วยเวลา 3ชั่วโมงครึ่ง พอถึงก็นั่งพักขาสักครู่แล้วเดินไปถ่ายรูปกับเมเปิลที่กำลังแดงเต็มที่อยู่ต้นนึง ผมคงไปถึงชุดแรกๆ เพราะมีคนนั่งพักรอเพื่อนอยู่ไม่กี่คน พอขาหายล้าก็เดินทางราบต่อไปถึงลานกางเตนท์ อีก3 กม ใช้เวลารวม 4 :20 ชั่วโมง จัดการเบิกของจัดที่พักวางกระเป๋าไปหาข้าวเที่ยงกินก่อน แล้วค่อยกลับมาเอนหลังสักพัก บ่ายๆก็อาบน้ำตุนไว้ก่อนเผื่อกลางคืนจะหนาวมากหรือคนมาก พอได้อาบน้ำที่เย็นเหมือนน้ำแข็งก็สดชื่นขึ้นทันที แต่น้ำที่นี่เหมือนน้ำฝน ล้างสบู่ไม่ค่อยออกขนาดผมเอาสบู่นกแก้วไปใช้ยังแย่พวกเอาครีมอาบน้ำไปก็หนาวกันนานกว่าจะล้างออกหมด 
เจ้าถิ่นนอนเล่นอยู่หลังเตนท์

       ประมาณ 17:00 ก็ออกเดินไปผาหมากดูกดูพระอาทิตย์ตกดินตามสูตร สวยจริงๆครับ วันนั้นเมฆน้อย เห็นพระอาทิตย์ตกชัดมากเลย   พอพระอาทิตย์ตกก็เดินกลับกัน 2 กม กว่าๆ เดินกันเพลินๆ ไม่รีบ ถึงที่พักก็ไปหากินมื้อเย็น ส่วนใหญ่เขาจะกินหมูกะทะกัน มีทุกร้าน เห็นแล้วน่ากินมาก แต่เรามาคนเดียวก็กินอาหารจานเดียวไปก็แล้วกัน เหงาเหมือนกัน ไม่มีใครคุยด้วยเลย พออิ่มก็เดินมาเข้าเตนท์ ดู you tube ไป ดีว่าบนนี้คลื่นดีมากติดต่อสื่อสารสะดวกมาก แต่ไม่ดีตรงมีคนไม่รู้โทรมาตามงานนี่สิ กำลังเหนื่อยๆหนอยโทรมาได้ก็บอกไป ลา มาเที่ยว วันจันทร์ค่อยคุยกัน ก็มีโทรมาตามได้ทุกวัน ได้อย่างก็เสียอย่าง พอมืดก็โทรกลับบ้านรายงานตัวว่าเรียบร้อยดีไม่ต้องห่วง แล้วกินยาคลายกล้ามเนื้อนอน วันนี้รวมๆเดินไปประมาณ 14 กม บนภูอากาศก็ค่อนข้างหนาวแต่ถุงนอนกับผ้าห่มเอาอยู่ สบายมากแต่ดันนอนไม่ค่อยหลับ คงแปลกที่
              
                                                                 พระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก สวยจริงๆ

                           วันที่๒ ตื่นแต่ตี๔ ตามปกติของสว แล้วก็เตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นอุณหภูมิเช้านี้ 9 องศา สะใจดี ออกเดินไปตี๕กว่าๆ เดินไปกิโลกว่าๆก็ถึงแล้ว เดินไปไม่เห็นอะไรเลย มืดสนิดจนไปถึงจุดก็นั่งรอไป วันนี้ก็ยังโชคดีไม่มีเมฆเห็นพระอาทิตย์ ขึ้นเต็มตาจริงๆ มีทะเลหมอกบางๆให้ดูด้วย   แล้วก็เดินกลับมากินข้าวเช้า ก่อนออกไปเดินรอบใหญ่ไปสายน้ำตกไปดูเมเปิลที่เขาว่ากำลังแดงได้ที่ แล้วต่อไปผาหล่มสัก ถ่ายรูปกับหินดาราแล้วก็เดินกลับ
    

                                                พระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น สวย มีทะเลหมอกบางๆให้ดูด้วย นักท่องเที่ยว เพียบ

      
เมเปิลวันนี้แดงได้ที่ แดงสะใจ ทั้งบนต้นและที่ร่วงลงมาแดงเต็มพื้น สาวๆกร๊ดกร๊าดกันใหญ่ ถ่ายรูปกันไม่ยั้ง ตากล้องก็ถ่ายกันเข้าไปสิ เห็นแล้วก็ขำดี น้ำตกต่างๆไม่มีน้ำแล้ว แต่เมเปิลมีจุดใหญ่อยู่สองที่คือน้ำตกเพ็ญพบใหม่ กับน้ำตกถ้ำใหญ่ ซึ่งเป็นทางเข้า ออก ของเส้นทางสายน้ำตก ไม่มีทางลัด ทางอ้อมเลย ต้องเดินผ่านน้ำตกระหว่างทางทุกที่ วิวระหว่างทางก็เป็นป่าต้องมุด ไต่ ไปเกือบตลอดทาง ก็สนุกดี ไม่โหด

                                            
                               วันนี้เมฆมาก แสงไม่ดี ถ่ายรูปมาไม่ค่อยสวย ทั้งที่ของจริงแดงสะใจมาก

          พอออกจากเส้นน้ำตกก็เดินไปผาหล่มสัก ก็เดินไปเรื่อยๆ ชมวิวไป จะเป็นทุ่งโล่ง ป่าสน สักพักใหญ่ๆก็ถึงผาหล่มสัก กำลังคิดว่าจะไปถ่ายรูปยังไงดีก็เจอน้องคนนึงที่เจอกันเมื่อวาน แกมาทักผมก็จำไม่ได้แล้ว แกเลยช่วยถ่ายรูปให้ ขอบคุณมากๆเลย ไม่งั้นก็หมดปัญญาเหมือนกัน รีบถ่ายรูป เกรงใจคนรอคิวแล้วก็ไปกินข้าวเที่ยงเติมพลังเสียหน่อยก่อนเดินกลับ  รวมวันนี้เดินไป 23 กม ก็ล้านิดหน่อย กับมีเท้าพองจุดนึง อาบน้ำล้างเหงื่อเสียจะได้สบายตัว
    
                                                         มีรูปไปอวดแล้ว ขอบคุณน้องที่ช่วยถ่ายรูปให้

        วันสุดท้ายรีบตื่นเอาของไปชั่งจองลูกหาบตั้งแต่ 06:00 แล้วไปกินข้าวเช้า กลับมาคืนเครื่องนอน แล้วก็เดินลง ขาลงตัวเบา ลงไปถึงข้างล่างใช้เวลาแค่ 2:55 ชม  เดินไปก็คอยให้กำลังใจพวกขาขึ้นเหมือนที่เราเคยได้รับจากพวกที่ลงไปตอนเราขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ดีนะ เดินมาเจอกระเป๋าผมที่ซำบอนก่อนถึงซำแฮกก็เลยขอเขามาแบกเองจะได้ไม่ต้องรอ แล้วก็จ่ายตังไปเลย ขาลงนี่ไม่เหนื่อยแต่เกร็งหน้าขา น่อง ตลอด ต้องคอยระวังไม่ให้ลื่น อันตรายกว่าขาขึ้น ลงไปถึงข้างล่างนี่ขาสั่นเลย นั่งพักล้างหน้าล้างเท้าเสร็จก็ขับรถถกลับบ้านอีก 400 กว่ากิโล ก็ ๕ ชั่วโมงได้ โชคดีไม่ปวดขา        ไม่มีตะคริวมารบกวนเลย กลับถึงบ้าน กินข้าว กินยา นอน สลบ ตื่นมาวันอาทิตย์ปวดขามากๆ เดินย่องแย่ง ลงบันไดต้องเอามือเกาะราวบันไดถึงลงมาได้ เลยนอนมันทั้งวัน

    
ถึงปลายทางแล้ว จะได้กลับบ้านแล้ว
สรุป
๑ ภูกระดึง สวยมาก ควรจะต้องไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต รสชาติของการเดิน ความเหนื่อย ล้า ท้อ เจ็บปวด ความสุขเมื่อเดินถึงจุดหมาย ความสวยงามของแต่ละที่ มันจะอยู่กับเราไปตลอด      เพื่อนๆน้องๆที่ไปกันมาเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้อย่างดี
๒ คนธรรมดาทั่วไปสามารถขึ้นได้แทบทุกคน แต่อยากให้เตรียมร่างกายให้ดี เพราะขึ้นได้แต่บาดเจ็บ ล้า จนไปไหนต่อไม่ไหว มันก็เสียดายโอกาส ที่เห็นมีตั้งแต่เด็กขวบนึงที่แม่ใส่เป้แบกขึ้นไป ต้องหยุดให้นมกลางทางก็มี เด็ก 5-6 ขวบมากับพ่อแม่ ตา ยาย ก็มี สว.แบบเกิน 60 ก็มี แต่ขึ้นมาแบบไหน อาการเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่เตนท์ข้างๆผมขึ้นมาได้แล้วแต่ไปต่อไม่ไหวต้องนอนเฝ้าเตนท์ก็มี
3 น้ำใจ ไมตรีจิต บนภูกระดึง หาได้ง่ายและมีคุณค่ามาก เดินสวนกันก็จะยิ้มให้กัน ทักทายกัน ให้กำลังใจกัน เป็นเรื่องปกติ  ผมไปคนเดียวถึงจุดถ่ายรูปก็จะมีคนอาสามาถ่ายรูปให้ตลอด ยังไม่ทันอ้าปากขอเลย บางคนก็ใช้กล้องอย่างดีของเขาถ่ายให้แล้ว airdrop รูปมาให้เลย  รูปที่ได้ก็สวยมากและมีน้ำใจมากมายอยู่เบื้องหลังรูปถ่ายนั้นๆ
4 ถ้าเลือกได้แนะนำให้ไปวันธรรมดา ช่วง อังคารถึงพฤหัส คนจะน้อย ลูกหาบน่าจะเหลือ น้ำน่าจะมีมากพอ วันหยุดยาวไม่แนะนำเลย 

                     หลักๆก็คงมีประมาณนี้ละครับ สำหรับผมคงพอแล้ว แต่ไม่แน่ถ้ามีเพื่อนชวนไปก็อาจจะไปอีกหนเพราะชอบทุกอย่างของที่นี่ อยากขึ้นไปนั่งกินหมูกะทะ นั่งเม้ากับพื่อนๆ  แต่ถ้าคนเดียวนี่ไม่มีอีกแล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่