ในช่วง 400 ปีที่ผ่านมา ประเพณีคริสต์มาสในสหรัฐอเมริกามีต้นกำเนิดที่ผสมผสานหลายอย่างกับประเพณีที่มาจากสหราชอาณาจักร สแกนดิเนเวีย อิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และล่าสุดสเปนกับแคริบเบียน และหนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของอาหารค่ำวันคริสต์มาสสำหรับหลายครอบครัวคือ ไก่งวง อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าไก่งวงเริ่มต้นจากที่ใด หรือทำไมไก่งวงจึงเป็นอาหารหลักที่นิยมมากที่สุดในวันคริสต์มาส แทนที่จะเป็นห่าน ไก่ หรือเนื้อวัว
แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่า Benjamin Franklin เคยมีแนวคิดให้ไก่งวงเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของสหรัฐอเมริกาแทนนกอินทรีหัวล้าน ซึ่งมีการอภิปรายเรื่อง
ไก่งวงกับนกอินทรีอย่างกว้างขวาง แต่ปัจจุบันชาวอเมริกันรู้แล้วว่าไก่งวงเป็นหนึ่งในสายพันธ์ต่างด้าวกลุ่มแรก ที่ได้รับการเลี้ยงดูในอเมริกาอย่างน้อยเมื่อ 2,000 ปีก่อน และมีคุณค่าอย่างสูงจากวัฒนธรรมทางตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาและเมโซอเมริกา
ตั้งแต่ปี 1492 เมื่อนักสำรวจชาวยุโรปขึ้นฝั่งในอเมริกา พวกเขาต้องทึ่งกับสัตว์และพืชชนิดใหม่ที่พวกเขาค้นพบ โดยในระหว่างการเดินทางครั้งที่ 4 ของ Christopher Colombus ได้ค้นพบไก่งวงเป็นครั้งแรกเมื่อเข้าใกล้ชายฝั่งฮอนดูรัสในปี 1511 แต่คำอธิบายของเขาไม่ชัดเจนนัก ต่อมานักสำรวจชาวสเปนในอเมริกากลางได้ส่งไก่งวงกลับไปยังแคริบเบียน โดยไก่งวงตัวแรกไปถึงสเปนในปี 1519 หนึ่งปีต่อมาไก่งวงตัวแรกก็ถูกส่งต่อไปยังอิตาลี
จากนั้นในปี 1526 ไก่งวงตัวแรกถูกนำไปยังสหราชอาณาจักร โดยกะลาสีชื่อ William Strickland โดย King Henry VIII ของอังกฤษทรงเป็นบุคคลแรกที่รับประทานไก่งวงในวันคริสต์มาส จนเมื่อถึงปี 1557 ไก่งวงแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเรื่องธรรมดา ก่อนจะสิ้นศตวรรษที่ 16 มันไปไกลถึงเยอรมนี จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 ไก่งวงกลายเป็นอาหารมื้อค่ำแบบมาตรฐานสำหรับครอบครัวทั่วสหราชอาณาจักร
บันทึกฟอสซิลแสดงให้เห็นว่าพวกมันมีมาประมาณห้าล้านปีแล้ว โดยถูกเลี้ยงเป็นครั้งแรกในเม็กซิโกหลายศตวรรษก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้าทวีป
จนในศตวรรษที่ 16 ที่ผู้ตั้งถิ่นฐานได้นำนกตัวใหญ่เข้ามาทางเหนือซึ่งปัจจุบันคืออเมริกา และยังพาไปยุโรปที่ซึ่งพวกมันได้รับความนิยมอย่างมาก
และเมื่อมีการตั้งถิ่นฐานครั้งแรกตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกไก่งวงก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน
ตอนนั้น ไก่งวงที่นำมาเป็นอาหารที่หายากและแปลกใหม่ ด้วยเนื้อสีขาวที่ละเอียดอ่อน มันจึงเป็นที่นิยมในงานเลี้ยงอาหารค่ำอันทรงเกียรติ ทำให้นักเขียน François Rabelais ได้รวม poule d'Inde (แปลตามตัวอักษรว่า "ไก่จากอินเดีย" รวมกับชื่อไก่งวง dinde ในภาษาฝรั่งเศส) ไว้ในเมนูงานเลี้ยงในนวนิยายของเขาเรื่อง Gargantua ในปี 1534 สิบห้าปีต่อมา ไก่งวง 66 ตัวถูกเสิร์ฟในงานเลี้ยงที่จัดโดยเมืองปารีสเพื่อเฉลิมฉลองพิธีราชาภิเษกราชินีแห่งฝรั่งเศส Catherine de’ Medici
ความพิเศษของไก่งวงในเวลานั้น นอกจากจะปรากฏบนจิตรกรรมฝาผนังโรมันในปี 1523 แล้ว ในปี 1549 ภาพไก่งวงได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ L'histoire de la nature des oyseaux ของ Pierre Belon ยังมีรูปปั้นขนาดเท่าของจริงในปี1560 ภาพแรกของไก่งวงในตำราอาหารพิมพ์ในประเทศเยอรมนีในปี 1581 และในภาพวาดของจิตรกรชาวดัตช์ Pieter Claesz ในปี 1627 รวมถึงในแผนที่นิวอิงแลนด์ในศตวรรษที่ 17
ตลอดเวลาที่ไก่งวงแพร่หลายในยุโรปนั้น ตามที่นักประวัติศาสตร์ Andrew Smith ชี้ให้เห็น ไก่งวงไม่ใช่แค่อาหารสำหรับคนรวย พวกมันช่วยปัดเป่าความอดอยากในช่วงเวลาที่การผลิตทางการเกษตรไม่สอดคล้องกับการเติบโตของประชากร เนื่องจากไก่งวงเป็นสายพันธุ์ที่ทนทานและสามารถทนต่อสภาพอากาศที่แตกต่างกันได้ การที่ไก่งวงถูกนำมากินแทนวัวและไก่ เพราะชาวนาต้องการนมจากวัวของพวกเขาและต้องการให้ไก่ออกไข่มากกว่า ซึ่งในสมัยนั้นมีราคาแพงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น แทนที่จะฆ่าพวกมันตัวใดตัวหนึ่งในวันคริสต์มาส จึงใช้ไก่งวงแทนเพราะมันไม่ได้ให้ประโยชน์อย่างอื่น ทั้งยังช่วยปศุสัตว์ของพวกเขาเพื่อผลิตนมและไข่ได้มากขึ้น
ภาพประกอบจากตำราอาหารเยอรมันในปี 1581
ภายในเวลาประมาณร้อยปีที่พวกมันมาถึงยุโรป ไก่งวงถูกพบในฟาร์มตั้งแต่สเปนไปจนถึงสแกนดิเนเวีย ซึ่งนักสังเกตการณ์ชาวฝรั่งเศสกล่าวว่าอย่างน้อยที่สุดในปี 1594 ที่ผู้คนเลี้ยงไก่งวงพิเศษเหล่านี้ไว้ในคอกที่แน่นเพื่อขัดขวางการเคลื่อนไหว แต่จากปี 1667 พวกมันถูกเลี้ยงเป็นฝูงเหมือนแกะเป็นระยะทางไกลในนอร์ฟอล์ก ซัฟโฟล์ค และเทศมณฑลอื่นๆ จากนั้นจะถูกต้อนไปยังตลาดลอนดอนทีละหลายร้อยตัว
อย่างไรก็ตาม ไก่งวงบางตัวอาจเดินทางไปทั่วโลกแล้วในที่ที่ก่อนจะมีมนุษย์อาศัยอยู่อย่างถาวร เช่น เกาะ St.Helena ที่ห่างไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ มีการพบไก่งวงแบบปล่อยอิสระ โดยสันนิษฐานว่าในปี 1588 ลูกเรือชาวโปรตุเกสพบว่าบนเกาะมีสัตว์เนื้อเพียงเล็กน้อย จึงอาจทิ้งนกอเมริกันที่บินไม่ได้นี้ไว้ที่นั่นและเกาะอื่นๆ ตามรายทางขณะเดินทางไปอินเดียเพื่อจะได้มีอาหารตอนขากลับ แน่นอนว่าสถานที่เหล่านั้นต้องมีคนอาศัยอยู่ด้วย อย่างเช่น เมื่อกัปตัน Cook แวะที่ตาฮิติในปี 1777 เขาให้ไก่งวงและสัตว์เลี้ยงอื่นๆ แก่ชาวเกาะ ส่วนหนึ่งเป็นของขวัญ ส่วนหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่ามีอาหารเพียงพอสำหรับนักเดินทางคนอื่นๆ ที่จะแวะพัก
แม้ไก่งวงจะถูกนำไปทั่วยุโรป และเป็นที่ชัดเจนว่าได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจากประเทศต่างๆ แต่แหล่งกำเนิดที่แน่นอนของนกเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักวิจัยมีความกังวลว่าไก่งวงป่าอาจสูญพันธุ์ เนื่องจากจำนวนไก่งวงธรรมชาติส่วนใหญ่ได้ลดลงทั่วทั้งทวีป จากการล่ามากเกินไปและการสูญเสียถิ่นที่อยู่ บางองค์กรพยายามช่วยนกตัวนี้ผ่านโครงการเลี้ยงและปล่อย แต่แนวคิดฟาร์มล้มเหลว
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 1951 เมื่อนักชีววิทยาสัตว์ป่าใน South Carolina คิดค้นวิธีการจับไก่งวงป่าด้วยการยิงตาข่ายจากปืนใหญ่ ทำให้นักชีววิทยาสามารถนำพวกมันปล่อยสู่แหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ที่ไก่งวงป่าหายากหรือไม่มีอยู่ ภายในปี 1973 ประชากรไก่งวงป่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 2018 มีจำนวนเกือบ 7 ล้านตัว
ไก่งวงเป็นหนึ่งในสัตว์และพืชหลายชนิดที่ชาวยุโรปค้นพบในโลกใหม่เมื่อต้นปี 1492 มีไก่งวงป่าทั่วอเมริกาเหนือส่วนใหญ่ และชนพื้นเมือง
ที่ตอนนี้คือเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกาตะวันตกเฉียงใต้ได้เลี้ยงไว้ จากในอดีตที่ชาวสเปนพบพวกมันในคอกสัตว์ของชาวแอซเท็กในเม็กซิโก
และในปี 1555 Conrad Gessner ได้เขียนบรรยายถึงพวกมันไว้ใน Historiae Animalium เล่มที่สามในห้าเล่มของงานด้านสัตววิทยา
ที่มีชื่อเสียงของเขา จากปี 1551 - 1587
Cr.circulatingnow.nlm.nih.gov/
ไก่งวงถูกซื้อครั้งแรกในสหราชอาณาจักรในปี 1526 ก่อนเวลานี้ สำหรับมื้ออาหารวันคริสต์มาส คนใช้การกินห่าน หัวหมูป่า แม้กระทั่งนกยูง
โดยเฉพาะหัวหมูป่าดอง เป็นจานที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก การนำเสนอพร้อมแอปเปิ้ลที่คาบไว้และการตกแต่งด้วยสมุนไพรอย่างวิจิตรบรรจง
(ด้วยการหั่นหัวหมูป่าเป็นส่วนๆ ดองในเกลือเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ร่วมกับเนื้อจากในหัว ก่อนที่จะเย็บกลับรวมกันเป็นหมูป่าประเภทแฟรงเกนสไตน์)
Cr.
https://www.bbc.com/future/article/20211214-how-the-humble-turkey-became-a-christmas-staple / By Zaria Gorvett
Cr.
https://france-amerique.com/en/the-transatlantic-travels-of-an-american-bird/โดย Clement Thiery 2021
Cr.
https://news.blogs.lib.lsu.edu/2014/11/tom-turkey-transatlantic-traveler/
Cr.
https://www.squaremeal.co.uk/christmas-parties/christmas-party-ideas/why-do-we-eat-turkey-at-christmas_10022 (October 2021)
Cr.
https://www.thefactsite.com/why-do-we-eat-turkey-on-christmas-day/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
การเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของนกอเมริกัน " Turkeys "
แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่า Benjamin Franklin เคยมีแนวคิดให้ไก่งวงเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของสหรัฐอเมริกาแทนนกอินทรีหัวล้าน ซึ่งมีการอภิปรายเรื่อง
ไก่งวงกับนกอินทรีอย่างกว้างขวาง แต่ปัจจุบันชาวอเมริกันรู้แล้วว่าไก่งวงเป็นหนึ่งในสายพันธ์ต่างด้าวกลุ่มแรก ที่ได้รับการเลี้ยงดูในอเมริกาอย่างน้อยเมื่อ 2,000 ปีก่อน และมีคุณค่าอย่างสูงจากวัฒนธรรมทางตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาและเมโซอเมริกา
ตั้งแต่ปี 1492 เมื่อนักสำรวจชาวยุโรปขึ้นฝั่งในอเมริกา พวกเขาต้องทึ่งกับสัตว์และพืชชนิดใหม่ที่พวกเขาค้นพบ โดยในระหว่างการเดินทางครั้งที่ 4 ของ Christopher Colombus ได้ค้นพบไก่งวงเป็นครั้งแรกเมื่อเข้าใกล้ชายฝั่งฮอนดูรัสในปี 1511 แต่คำอธิบายของเขาไม่ชัดเจนนัก ต่อมานักสำรวจชาวสเปนในอเมริกากลางได้ส่งไก่งวงกลับไปยังแคริบเบียน โดยไก่งวงตัวแรกไปถึงสเปนในปี 1519 หนึ่งปีต่อมาไก่งวงตัวแรกก็ถูกส่งต่อไปยังอิตาลี
จากนั้นในปี 1526 ไก่งวงตัวแรกถูกนำไปยังสหราชอาณาจักร โดยกะลาสีชื่อ William Strickland โดย King Henry VIII ของอังกฤษทรงเป็นบุคคลแรกที่รับประทานไก่งวงในวันคริสต์มาส จนเมื่อถึงปี 1557 ไก่งวงแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเรื่องธรรมดา ก่อนจะสิ้นศตวรรษที่ 16 มันไปไกลถึงเยอรมนี จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 ไก่งวงกลายเป็นอาหารมื้อค่ำแบบมาตรฐานสำหรับครอบครัวทั่วสหราชอาณาจักร
ความพิเศษของไก่งวงในเวลานั้น นอกจากจะปรากฏบนจิตรกรรมฝาผนังโรมันในปี 1523 แล้ว ในปี 1549 ภาพไก่งวงได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ L'histoire de la nature des oyseaux ของ Pierre Belon ยังมีรูปปั้นขนาดเท่าของจริงในปี1560 ภาพแรกของไก่งวงในตำราอาหารพิมพ์ในประเทศเยอรมนีในปี 1581 และในภาพวาดของจิตรกรชาวดัตช์ Pieter Claesz ในปี 1627 รวมถึงในแผนที่นิวอิงแลนด์ในศตวรรษที่ 17
ตลอดเวลาที่ไก่งวงแพร่หลายในยุโรปนั้น ตามที่นักประวัติศาสตร์ Andrew Smith ชี้ให้เห็น ไก่งวงไม่ใช่แค่อาหารสำหรับคนรวย พวกมันช่วยปัดเป่าความอดอยากในช่วงเวลาที่การผลิตทางการเกษตรไม่สอดคล้องกับการเติบโตของประชากร เนื่องจากไก่งวงเป็นสายพันธุ์ที่ทนทานและสามารถทนต่อสภาพอากาศที่แตกต่างกันได้ การที่ไก่งวงถูกนำมากินแทนวัวและไก่ เพราะชาวนาต้องการนมจากวัวของพวกเขาและต้องการให้ไก่ออกไข่มากกว่า ซึ่งในสมัยนั้นมีราคาแพงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น แทนที่จะฆ่าพวกมันตัวใดตัวหนึ่งในวันคริสต์มาส จึงใช้ไก่งวงแทนเพราะมันไม่ได้ให้ประโยชน์อย่างอื่น ทั้งยังช่วยปศุสัตว์ของพวกเขาเพื่อผลิตนมและไข่ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไก่งวงบางตัวอาจเดินทางไปทั่วโลกแล้วในที่ที่ก่อนจะมีมนุษย์อาศัยอยู่อย่างถาวร เช่น เกาะ St.Helena ที่ห่างไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ มีการพบไก่งวงแบบปล่อยอิสระ โดยสันนิษฐานว่าในปี 1588 ลูกเรือชาวโปรตุเกสพบว่าบนเกาะมีสัตว์เนื้อเพียงเล็กน้อย จึงอาจทิ้งนกอเมริกันที่บินไม่ได้นี้ไว้ที่นั่นและเกาะอื่นๆ ตามรายทางขณะเดินทางไปอินเดียเพื่อจะได้มีอาหารตอนขากลับ แน่นอนว่าสถานที่เหล่านั้นต้องมีคนอาศัยอยู่ด้วย อย่างเช่น เมื่อกัปตัน Cook แวะที่ตาฮิติในปี 1777 เขาให้ไก่งวงและสัตว์เลี้ยงอื่นๆ แก่ชาวเกาะ ส่วนหนึ่งเป็นของขวัญ ส่วนหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่ามีอาหารเพียงพอสำหรับนักเดินทางคนอื่นๆ ที่จะแวะพัก
แม้ไก่งวงจะถูกนำไปทั่วยุโรป และเป็นที่ชัดเจนว่าได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจากประเทศต่างๆ แต่แหล่งกำเนิดที่แน่นอนของนกเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักวิจัยมีความกังวลว่าไก่งวงป่าอาจสูญพันธุ์ เนื่องจากจำนวนไก่งวงธรรมชาติส่วนใหญ่ได้ลดลงทั่วทั้งทวีป จากการล่ามากเกินไปและการสูญเสียถิ่นที่อยู่ บางองค์กรพยายามช่วยนกตัวนี้ผ่านโครงการเลี้ยงและปล่อย แต่แนวคิดฟาร์มล้มเหลว
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 1951 เมื่อนักชีววิทยาสัตว์ป่าใน South Carolina คิดค้นวิธีการจับไก่งวงป่าด้วยการยิงตาข่ายจากปืนใหญ่ ทำให้นักชีววิทยาสามารถนำพวกมันปล่อยสู่แหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ที่ไก่งวงป่าหายากหรือไม่มีอยู่ ภายในปี 1973 ประชากรไก่งวงป่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 2018 มีจำนวนเกือบ 7 ล้านตัว
Cr.https://france-amerique.com/en/the-transatlantic-travels-of-an-american-bird/โดย Clement Thiery 2021
Cr.https://news.blogs.lib.lsu.edu/2014/11/tom-turkey-transatlantic-traveler/
Cr.https://www.squaremeal.co.uk/christmas-parties/christmas-party-ideas/why-do-we-eat-turkey-at-christmas_10022 (October 2021)
Cr.https://www.thefactsite.com/why-do-we-eat-turkey-on-christmas-day/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)