วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 ช่วงเวลาประมาณ 13.00 ขณะที่ผมนอนเล่นมือถือ แล้วลุกขึ้นมาเพื่อไปเข้าห้องน้ำ อยู่ดีๆผมก็ควบคุมการเคลื่อนไหวตัวเองไม่ได้ การเดินผิดปกติ มีอาการแบบบ้านหมุน สับสน มึนงง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จึงนอนพักลงมาซักพักนึง เมื่อรู้สึกดีขึ้นก็ออกไปหาซื้อยาตามร้านขายยาเพื่อรับประทาน ในวันถัดมายังคงมีอาการมึนและวิงเวียนแบบผิดปกติจึงได้ไปโรงพยาบาล ซึ่งจากการคัดกรอง ก็ให้เข้าพบแพทย์เฉพาะทาง เรื่องหู คอ จมูก จากการตรวจหมอวินิจฉัยว่าเป็นอาการของแคลเซียมในหูเคลื่อนที่ซึ่งหมบอกว่าใช้เวลาซักระยะ พักผ่อน ไม่เครียดแล้วจะค่อยๆ ดีขึ้น หลังจากนั้นมาอาการก็ค่อยๆ แย่ลง ดีขึ้นบ้าง แล้วก็แย่ลงสลับกันไป ผมไปหาหมอเฉพาะทางที่ รพ.หูตาคอจมูก มีการทดสอบการได้ยิน ซึ่งผิดปกติเล็กน้อย ไม่มีนัยยะ
สำคัญใดๆ ที่เกี่ยวกับอาการมึนหัว ถ้านึกไม่ออกว่ามึนยังไง ลองปั่นจิ้งหรัด 5 ครั้ง แล้วลุกขึ้นมายืน นั่นคืออาการที่ผมเป็นมาตลอดช่วงปีกว่าๆ ไปหาหมอไม่ต่ำกว่า 10-20 ครั้ง MRI ผลปกติ ไม่มีเนื้องอกใดๆ โรงพยาบาลดังหมอเก่งๆ ผมไปมาหมด อาการก็ยังคงเสถียรแบบไม่หาย คงๆ ทรงๆ ที่เดิม จนถึงขนาดมีอาการซึมเศ้รา หมดความมั่นใจในการออกไปใช้ชีวิต อาการหนักๆก็คือ มองไกลๆหน่อยจะเห็นภาพเบลอ มองคนจะเห็นเป็นภาพซ้อน แยกร่างออกมาเป็น 2 คน เวลามีเสียงอะไรที่เกิดขึ้นแบบทันทีเช่น วางแก้วน้ำบนโต๊ะ หรือเสียงท่อมอเตอร์ไซค์ หรือแม้กระทั่งบางทีเวลาอยู่เฉยๆ ก็จะมีอาการเหมือนนั่งรถแล้วตกหลุม จะมีอาการกระสับกระส่ายสับสน เหมือนจะอยากอาเจียนในบางครั้ง ใจสั่นตอนกลางคืนในบางวันตอนตื่นนอนก็สั่นเหมือนแผ่นดินไหวเลยทีเดียว
จนวันนึงผมเซิร์ชอินเตอร์เนตเจอผู้มีอาการเช่นเดยวกันหลายคน และได้แนะนำให้ไปคลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่ง 2 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับยาก็แย่ลงมากตามที่คุณหมอบอกว่า ร่างกายต้องใช้เวลาปรับตัวกับการใช้ยา เนื่องจากมีการใช้งานระบบประสาท และพักผ่อนน้อยมาเป็นเวลาหลายปี โดย 2 อาทิตย์แรกที่รับยา ผมแทบจะกินอะไรไม่ได้เลย แค่เห็นอาหารแล้วก็อากจะอาเจียนออกมา แต่ถึงเวลามื้ออาหารก็หิวเหมือนจะเป็นลม ผมกินได้แค่นมเปรี้ยว ขนมปังทาแยมสตรอเบอรี่ ภายใน2สัปดาห์น้ำหนักผมลดลงถึง 5 กิโล การใช้ชีวิตก่อนหน้านั้น ผมนอนแทบจะไม่หลับสนิทเลยมาหลายปี ชีวิตประจำวันคือ ทำงาน เลิกงานเตะบอล เลิกเตะบอลกินเบียร์ นอนเที่ยงคืนตีหนึ่งตื่น 6โมงไปทำงาน เป็นอย่างนี้อยู่หลายปี จนวันนึงร่างกายมันพัง โดยก่อนหน้าก็มีสัญญานบอกบ้างแต่ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกตอของคนที่อายุเข้าสู่วัย 35 ปี ผ่านไปหลายเดือนกว่าที่จะเริ่มรู้สึกดีขึ้นบ้าง โดยคุณหมอจ่ายยานอนหลับ และคลายเครียด ปรับยาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วง สิงหาคม เป็นเดือนที่ผมรักษา
ที่คลินิกนี้ครบ 1 ปี ก็ตอบได้แค่ว่า ดีกว่าวันนี้ ของเมื่อปีที่แล้ว ผมเคยถามคุณหมอว่าอาการแบบนี้ จะเรียกว่าโรคอะไร คุณหมอตอบว่า ระบบประสาทอัตโนมัติแปรปรวน ทำงานผิดปกติ
ต่อมาผมได้ศึกษาเรื่องของน้ำมันกัญชา แล้วผมก็อ่านและศึกษามาระยะหนึ่งในเรื่องของการช่วยรักษาระบบประสาท และเคยสั่งมาใช้ ในราคา 1300 บาท ซึ่งเมื่อใช้แล้วรู้สึกว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ รสชาจะมีกลิ่นมิ้นท์แรง ไม่มีกลิ่นกัญชาเลย (ที่รู้เพราะสมัยเรียนเคยสูบกัญชาเพื่อสันทนาการ ไม่ได้ติดนะครับ) จนวันนึงทราบข่าวจากแม่ของผมเอง ว่าได้มีน้านำกัญชาสกัดเข้มข้นไปใช้รักษาแผลมะเร็งผิวหนังที่แก้มของคุณยาย แล้วแผลดีแห้งขึ้น
ผมเลยเกิดความสนใจและขอมาทดลองใช้ ซึ่งครั้งแรกที่หยดใต้ลิ้น ผมหยดนิดเดียว ประมาณครึ่งหลอดของตัวดูด และอมไว้ใต้ลิ้นประมาณ 20วินาทีแล้วดื่มน้ำตาม พอกัญชาเข้าปากผมรู้สึกได้เลยว่ากลิ่นใช่แน่นอน ผมก็ใช้มาเรื่อยๆ ประมาณ 1 เดือน โดยใช้ๆ เว้นๆ เพราะกลัวจะติด เช่น ใช้ 2 วัน เว้น 1 วัน ใช้ 1 วันเว้น 2 วันบ้างแล้วแต่ถ้าเป็นวันหยุดผมก็จะใช้ เผื่อได้หลับนานๆ ผลมที่ใช้มาสักประมาณ เดือน หมดไปเกือนๆครึ่งขวด ถ้าคิดเป็น CC หักลบจากที่ยายใช้ไป ไม่น่าจะเกิน 5 CC ผลที่ใช้ (วัดจากความร็สึกของตัวเอง)
ก็คงตอบได้ว่า ดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ คือ อาการมึนหัวน้อยลงแต่ยังไม่ถึงกับหายเป็นปกติ แต่ก็ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น สามารถใช้แรงได้มากขึ้น เคลื่อนที่เคลื่อน ไหวร่างกายได้ดีมากขึ้น เลยคิดว่าคงต้องทดลองใช้ต่อไปซักระยะ โดยคงปริมาณเท่าเดิม ไม่มากขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้ร่างกายติดสารเสพติดจากกัญชา หลังผ่านมาได้ 2 ปีกว่า อาการมึนงงยังคงเป็นอยู่แต่ก็ดีขึ้นมาบ้าง เป็น 2 ปีที่มีช่วงเวลาที่เลวร้ายแบบสุดๆ สลับกันไป จนถึงขั้นรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่แบบมึนหัวตลอดเวลาแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน รู้สึกชีวิตไร้ค่า หมดความหมาย เดินห้างไปไหนมาไหนก็จะมีอาการรบกวนตลอดเวลา
กัวซา ฝังเข็ม ก็ทำมาหมดแล้วตามที่มีคนแนะนำ กินยาต่างๆมากมายก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก
สิ่งหนึ่งที่ช่วยเยียวยาชีวิตเรื่อยมาคือการฟังธรรมะก่อนนอน ทำให้จิตใจสงบมากขึ้น ให้ผมได้รู้จักปล่อยวาง และจะทำอย่างไรเมื่อมีอาการ ก็คือ เรียนรู้อยู่กับมัน มึนให้รู้ว่ามึน อยู่กับลมหายใจตัวเอง ทุกครั้งเวลาเกิดอาการ พอตั้งสติก็จะพยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก ซึ่งก็ช่วยได้เยอะในการผลักตัวเองออกจากอาการดำดิ่ง ผ่านมา 2 ปีกว่า ผมเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เริ่มปรับใจเข้ากับมัน เลิกตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็น เลิกคิดว่าอยากจะกลับไปเตะฟุตบอล เลิกคิดว่าร่างกายจะต้องดีเหมือนเดิม และคิดว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ผมกลายเป็นคนที่ไม่ได้อยากตาย แต่ไม่กลัวตาย และพร้อมตายทุกช่วงเวลาแบบไม่มีอะไรต้องห่วงอีก และเหมือนเป็นการปลดปล่อยพันธนาการต่างให้หลุดไปด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนในชีวิตผมก็เข้ามาอีก เมื่อผมได้รู้จักกับยูทูปช่องหนึ่ง ที่จัดทำโดยหมอนัท ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น หมอนัทจะพูดเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอาการ สาเหตุที่เกิดขึ้น วิธีการแก้ไข มีการเรียบเรียงเรื่องราวอย่างมีเหตุมีผลตามหลักการแพทย์แผนไทย มีหลายๆคนที่มีลักษณะอาการคล้ายๆผมสอบถามคำถามเข้ามา และหมอนัทก็จะแนะนำให้ไปนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผมก็เลยไปลองดูโดยตั้งใจเริ่มจากร้านแถวบ้านเอาตั้งแต่ต้นซอยเลย และร้านแรกที่ผมเริ่มนวดผมก็รู้สึกว่าเกิดปฏิกริยาบางอย่างจากการนวดต่อร่างกายผม และจากการประมวลผลจากช่วงเวลาที่ผ่านมา และจากเรื่องที่ฟังจากหมอนัท ผมน่าจะเป็นอาการของออฟฟิศซินโดรมที่มีผลต่อระบบการไหลเวียนของเลือด ที่ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เนื่องจากกล้ามเนื้อที่รัดตึงมาก........เดี๋ยวมาต่อครับ
ออฟฟิศซินโดรม วัยกลางคน กับชีวิตที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
สำคัญใดๆ ที่เกี่ยวกับอาการมึนหัว ถ้านึกไม่ออกว่ามึนยังไง ลองปั่นจิ้งหรัด 5 ครั้ง แล้วลุกขึ้นมายืน นั่นคืออาการที่ผมเป็นมาตลอดช่วงปีกว่าๆ ไปหาหมอไม่ต่ำกว่า 10-20 ครั้ง MRI ผลปกติ ไม่มีเนื้องอกใดๆ โรงพยาบาลดังหมอเก่งๆ ผมไปมาหมด อาการก็ยังคงเสถียรแบบไม่หาย คงๆ ทรงๆ ที่เดิม จนถึงขนาดมีอาการซึมเศ้รา หมดความมั่นใจในการออกไปใช้ชีวิต อาการหนักๆก็คือ มองไกลๆหน่อยจะเห็นภาพเบลอ มองคนจะเห็นเป็นภาพซ้อน แยกร่างออกมาเป็น 2 คน เวลามีเสียงอะไรที่เกิดขึ้นแบบทันทีเช่น วางแก้วน้ำบนโต๊ะ หรือเสียงท่อมอเตอร์ไซค์ หรือแม้กระทั่งบางทีเวลาอยู่เฉยๆ ก็จะมีอาการเหมือนนั่งรถแล้วตกหลุม จะมีอาการกระสับกระส่ายสับสน เหมือนจะอยากอาเจียนในบางครั้ง ใจสั่นตอนกลางคืนในบางวันตอนตื่นนอนก็สั่นเหมือนแผ่นดินไหวเลยทีเดียว
จนวันนึงผมเซิร์ชอินเตอร์เนตเจอผู้มีอาการเช่นเดยวกันหลายคน และได้แนะนำให้ไปคลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่ง 2 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับยาก็แย่ลงมากตามที่คุณหมอบอกว่า ร่างกายต้องใช้เวลาปรับตัวกับการใช้ยา เนื่องจากมีการใช้งานระบบประสาท และพักผ่อนน้อยมาเป็นเวลาหลายปี โดย 2 อาทิตย์แรกที่รับยา ผมแทบจะกินอะไรไม่ได้เลย แค่เห็นอาหารแล้วก็อากจะอาเจียนออกมา แต่ถึงเวลามื้ออาหารก็หิวเหมือนจะเป็นลม ผมกินได้แค่นมเปรี้ยว ขนมปังทาแยมสตรอเบอรี่ ภายใน2สัปดาห์น้ำหนักผมลดลงถึง 5 กิโล การใช้ชีวิตก่อนหน้านั้น ผมนอนแทบจะไม่หลับสนิทเลยมาหลายปี ชีวิตประจำวันคือ ทำงาน เลิกงานเตะบอล เลิกเตะบอลกินเบียร์ นอนเที่ยงคืนตีหนึ่งตื่น 6โมงไปทำงาน เป็นอย่างนี้อยู่หลายปี จนวันนึงร่างกายมันพัง โดยก่อนหน้าก็มีสัญญานบอกบ้างแต่ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกตอของคนที่อายุเข้าสู่วัย 35 ปี ผ่านไปหลายเดือนกว่าที่จะเริ่มรู้สึกดีขึ้นบ้าง โดยคุณหมอจ่ายยานอนหลับ และคลายเครียด ปรับยาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วง สิงหาคม เป็นเดือนที่ผมรักษา
ที่คลินิกนี้ครบ 1 ปี ก็ตอบได้แค่ว่า ดีกว่าวันนี้ ของเมื่อปีที่แล้ว ผมเคยถามคุณหมอว่าอาการแบบนี้ จะเรียกว่าโรคอะไร คุณหมอตอบว่า ระบบประสาทอัตโนมัติแปรปรวน ทำงานผิดปกติ
ต่อมาผมได้ศึกษาเรื่องของน้ำมันกัญชา แล้วผมก็อ่านและศึกษามาระยะหนึ่งในเรื่องของการช่วยรักษาระบบประสาท และเคยสั่งมาใช้ ในราคา 1300 บาท ซึ่งเมื่อใช้แล้วรู้สึกว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ รสชาจะมีกลิ่นมิ้นท์แรง ไม่มีกลิ่นกัญชาเลย (ที่รู้เพราะสมัยเรียนเคยสูบกัญชาเพื่อสันทนาการ ไม่ได้ติดนะครับ) จนวันนึงทราบข่าวจากแม่ของผมเอง ว่าได้มีน้านำกัญชาสกัดเข้มข้นไปใช้รักษาแผลมะเร็งผิวหนังที่แก้มของคุณยาย แล้วแผลดีแห้งขึ้น
ผมเลยเกิดความสนใจและขอมาทดลองใช้ ซึ่งครั้งแรกที่หยดใต้ลิ้น ผมหยดนิดเดียว ประมาณครึ่งหลอดของตัวดูด และอมไว้ใต้ลิ้นประมาณ 20วินาทีแล้วดื่มน้ำตาม พอกัญชาเข้าปากผมรู้สึกได้เลยว่ากลิ่นใช่แน่นอน ผมก็ใช้มาเรื่อยๆ ประมาณ 1 เดือน โดยใช้ๆ เว้นๆ เพราะกลัวจะติด เช่น ใช้ 2 วัน เว้น 1 วัน ใช้ 1 วันเว้น 2 วันบ้างแล้วแต่ถ้าเป็นวันหยุดผมก็จะใช้ เผื่อได้หลับนานๆ ผลมที่ใช้มาสักประมาณ เดือน หมดไปเกือนๆครึ่งขวด ถ้าคิดเป็น CC หักลบจากที่ยายใช้ไป ไม่น่าจะเกิน 5 CC ผลที่ใช้ (วัดจากความร็สึกของตัวเอง)
ก็คงตอบได้ว่า ดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ คือ อาการมึนหัวน้อยลงแต่ยังไม่ถึงกับหายเป็นปกติ แต่ก็ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น สามารถใช้แรงได้มากขึ้น เคลื่อนที่เคลื่อน ไหวร่างกายได้ดีมากขึ้น เลยคิดว่าคงต้องทดลองใช้ต่อไปซักระยะ โดยคงปริมาณเท่าเดิม ไม่มากขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้ร่างกายติดสารเสพติดจากกัญชา หลังผ่านมาได้ 2 ปีกว่า อาการมึนงงยังคงเป็นอยู่แต่ก็ดีขึ้นมาบ้าง เป็น 2 ปีที่มีช่วงเวลาที่เลวร้ายแบบสุดๆ สลับกันไป จนถึงขั้นรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่แบบมึนหัวตลอดเวลาแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน รู้สึกชีวิตไร้ค่า หมดความหมาย เดินห้างไปไหนมาไหนก็จะมีอาการรบกวนตลอดเวลา
กัวซา ฝังเข็ม ก็ทำมาหมดแล้วตามที่มีคนแนะนำ กินยาต่างๆมากมายก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก
สิ่งหนึ่งที่ช่วยเยียวยาชีวิตเรื่อยมาคือการฟังธรรมะก่อนนอน ทำให้จิตใจสงบมากขึ้น ให้ผมได้รู้จักปล่อยวาง และจะทำอย่างไรเมื่อมีอาการ ก็คือ เรียนรู้อยู่กับมัน มึนให้รู้ว่ามึน อยู่กับลมหายใจตัวเอง ทุกครั้งเวลาเกิดอาการ พอตั้งสติก็จะพยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก ซึ่งก็ช่วยได้เยอะในการผลักตัวเองออกจากอาการดำดิ่ง ผ่านมา 2 ปีกว่า ผมเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เริ่มปรับใจเข้ากับมัน เลิกตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็น เลิกคิดว่าอยากจะกลับไปเตะฟุตบอล เลิกคิดว่าร่างกายจะต้องดีเหมือนเดิม และคิดว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ผมกลายเป็นคนที่ไม่ได้อยากตาย แต่ไม่กลัวตาย และพร้อมตายทุกช่วงเวลาแบบไม่มีอะไรต้องห่วงอีก และเหมือนเป็นการปลดปล่อยพันธนาการต่างให้หลุดไปด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนในชีวิตผมก็เข้ามาอีก เมื่อผมได้รู้จักกับยูทูปช่องหนึ่ง ที่จัดทำโดยหมอนัท ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น หมอนัทจะพูดเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอาการ สาเหตุที่เกิดขึ้น วิธีการแก้ไข มีการเรียบเรียงเรื่องราวอย่างมีเหตุมีผลตามหลักการแพทย์แผนไทย มีหลายๆคนที่มีลักษณะอาการคล้ายๆผมสอบถามคำถามเข้ามา และหมอนัทก็จะแนะนำให้ไปนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผมก็เลยไปลองดูโดยตั้งใจเริ่มจากร้านแถวบ้านเอาตั้งแต่ต้นซอยเลย และร้านแรกที่ผมเริ่มนวดผมก็รู้สึกว่าเกิดปฏิกริยาบางอย่างจากการนวดต่อร่างกายผม และจากการประมวลผลจากช่วงเวลาที่ผ่านมา และจากเรื่องที่ฟังจากหมอนัท ผมน่าจะเป็นอาการของออฟฟิศซินโดรมที่มีผลต่อระบบการไหลเวียนของเลือด ที่ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เนื่องจากกล้ามเนื้อที่รัดตึงมาก........เดี๋ยวมาต่อครับ