นาฬิกาแบบลูกตุ้มโบราณข้างผนัง เข็มชี้บอกเวลาเกือบสองทุ่มตรง แต่หัวใจของสกาวเดือน หญิงสาวผู้รอคอยบางอย่างเหมือนติดปีกบินลาวงหน้าไปถึงเที่ยงคืนแล้ว เพราะความรุ่มร้อนเป็นไฟนรกเผาผลาญ
สามีของเธอไม่เคยกลับบ้านเกินสองทุ่มตรงอันเป็นเวลามาตรฐานสากลประจำบ้าน ระบุให้สามีของเธอต้องรักษามาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อความสงบสุขของครอบครัว แต่ท่าทางไม่ใช่คืนนี้เสียแล้ว
เสียงรถยนต์และแสงไฟวูบวาบผ่านหน้าบ้าน เป็นเสี้ยวเศษฟางกลางมหาสมุทรกับการพยายามยึดเหนี่ยวว่า อาจเป็นรถของตะวัน อาจกำลังเลี้ยวรถเข้ามาในบ้านที่เธอเปิดประตูรอรับไว้แล้ว กับอาการเฝ้ามองอย่างกระสับกระส่ายของเธอ แต่แล้วเสียงรถยนต์และแสงไฟหน้ารถก็ผ่านไปอย่างไม่ไยดีชวนให้ใจหาย
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่มตรงดังกังวาน หญิงสาวเคยชอบเสียงนาฬิกาโบราณว่า ดังสดใสไพเราะในความรู้สึกแบบคลาสสิก แต่ตอนนี้เสียงบอกเวลาราวเป็นเสียงระเบิดถล่มลงทำลายทำร้ายความรู้สึกและหัวใจให้แตกละเอียดเป็นผุยผงไม่มีชิ้นดี สองทุ่มตรงแล้วตะวันหายไปไหน เวลากลางคืนตะวันก็ควรเก็บเนื้อเก็บตัว สุขสบายอยู่ในที่ของตะวันถึงจะถูก กลางคืนไม่ใช่เวลาของดวงตะวัน แต่เป็นช่วงเวลาของดวงจันทร์และดวงดาวมากกว่า
หญิงสาวหันรีหันขวางอย่างคนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะสามีของเธอไม่เคยกลับผิดเวลามาก่อน
จะต้องมีบางอย่างผิดปกติ!
อะไรกันทำให้ผู้ชายแสนดีคนหนึ่งกลับบ้านผิดเวลา ความคิดของสกาวเดือนเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างทีละน้อย...
งานสังสรรค์ก็ไม่ใช่ เพราะตะวันไม่ชอบงานกลางคืน...รถติดก็ไม่น่าใช่ เพราะเขาจะวางแผนการเดินทางอย่างดีเสมอ
แล้วอะไรกันทำให้ผู้ชายเปลี่ยนพฤติกรรม
ผู้หญิง คำแรกที่ทะลุพรวดขึ้นมายืนจังก้ากลางใจ ทำไมคำว่า ‘ผู้หญิง’ ถึงมีประสิทธิภาพร้ายกาจรุนแรงเด่นชัดเหลือเกิน พอโผล่พ้นขึ้นมาในกรอบของความคิด มันก็เริ่มแผ่กว้างขยายอาณาเขตไปรอบด้าน ราวคลื่นกรดกัดกร่อนมหายักษ์ถาโถมบ้าคลัง...ไม่มีอะไรจะน่าสงสัยมากกว่าเรื่องผู้หญิงอีกแล้ว ถ้าเป็นเรื่องอื่นยังพอว่า แต่เรื่องสามีนอกใจหลายรัก ให้ความรู้สึกเจ็บปวดชนิดพิเศษ อันบาดลึกร้าวลงไปในส่วนละเอียดอ่อนที่สุดของจิตใจ แต่ว่าจะต้องมีหลักฐานมายืนยัน ก่อนนำตัวจำเลยรักมาขึ้นศาลครอบครัว ไม่ใช่คิดเอง เออเอง เชื่อเอง ทำเอง แบบคนเป็นโรคประสาท ที่อาจนำพาตัวเองไปสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต ที่มีข่าวการหายตัวอย่างลึกลับของคนไข้หลายคน โดยหาสาเหตุไม่ได้
คนอย่างสกาวเดือน ยังคงอยากมีตัวคน อยากให้มีคนเข้าใจและยอมรับในตัวเธอ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในโรงพยาบาลบ้า
หลักฐาน ต้องหาหลักฐาน คนทำความผิดต่อให้ละเอียดรอบคอบปานใด ก็น่าจะหลงลืมทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้าง จะต้องมีพลาดกันบ้าง ความคิดพอปะทุหญิงสาวก็วิ่งปราดขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสองของบ้านทันที จัดการค้นแหลก ทั้งในลิ้นชักตู้ทุกใบ ใต้โซฟา ใต้เตียง ปลอกหมอน ที่นอน ชั้นวางหนังสือ กระเป๋าใหญ่เล็กทุกใบ หนังสือทุกเล่มถูกพลิกตรวจตราอย่างละเอียด
ไม่มีหลักฐานใด ๆ สามารถสื่อร่องรอยไปยังผู้ต้องสงสัยได้ จนสกาวเดือนเริ่มหมดแรงกับการค้นหาหลักฐานแบบมหาวินาศ ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนล้า ทั้งกายและใจ
ทันใดนั้นเองสายตาของหญิงสาวมองไปยังบริเวณหัวเตียงอย่างไม่ตั้งใจ แล้วต้องเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง
กรอบภาพขนาดแปดคูณสิบนิ้ว วางหราอยู่อย่างเด่นชัด เป็นภาพใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน.!
แล้วมาวางอยู่หัวเตียงได้อย่างไร..?
ตั้งแต่ตอนไหน..?
ใครเป็นคนนำมาวาง....?
คำตอบของโจทย์ไม่น่ายากเลย เธออยู่บ้านกับตะวันเพียงสองคนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เธอ ก็ต้องเป็นตะวัน แต่เขากล้าทำขนาดนี้เชียวหรือ แล้วทำเพื่ออะไร
หญิงสาวรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัวและความรู้สึก ความคิดสับสนวุ่นวายทั้งเสียใจเจ็บใจแค้นใจระคนกัน
“คุณทำแบบนี้ทำไม" เสียงสะอื้นจนตัวสะท้าน สามีผู้แสนดีทำไมถึงทำเรื่องร้ายกาจกับเธอได้ลงคอ ขนาดเธอยอมลงทุนลาออกจากงาน มารับงานแม่บ้านเต็มตัวเพื่อเตรียมใจเตรียมกาย รองรับทายาทสวรรค์ ซึ่งวางแผนการเอาไว้ว่าจะให้ออกมาสู่โลกภายนอกไม่เกินปีสองปีนี้ แต่ท่าทางจะกลับกลายเป็นทายาทอสูรไปเสียแล้ว
“ที่อันตรายที่สุด คือที่ปลอดภัยที่สุด”
ตะวันเคยพูดทีเล่นทีจริงกับเธอ...นั่นคงเป็นเหตุผลให้เขาวางหลักฐานสำคัญแบบจงใจไว้ตรงหัวเตียงนี่เอง แต่ก็น่าแปลกใจอยู่ดี...ปกติมีใครบ้างจะบ้าเข้าขั้น ถึงขนาดวางกรอบรูปผู้หญิงอื่นไว้โจ่งแจ้ง...จะต้องมีอะไรบางอย่างยังนึกไม่ออก
จับกรอบรูปขึ้นมาพิจารณา ตั้งใจจะขว้างสุดแรงลงบนพื้นห้องแต่แล้วก็ชะงัก นี่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งในการนำตัวจำเลยขึ้นศาลครอบครัว จะต้องเก็บไว้ให้ดี
เวลาผ่านไปพร้อมกับประกายไฟร้อนแรงปะทุขึ้นในใจมากขึ้นทุกที ตะวันยังไม่กลับบ้าน ยิ่งผิดปกติมากขึ้นไปอีก ทั้งสองอาจพากันไปแสดงความรักแสนหวานกัน อยู่มุมใดมุมหนึ่งของยามค่ำคืน หรือไม่อาจพากันวางแผนร้ายอะไรบางอย่าง และเรื่องจะต้องเลวร้ายแน่นอน บางทีรูปภาพตรงหัวเตียงจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนร้ายลึกด้วย
เมื่อสามีคิดตีจากภรรยาไปหาคนรักใหม่ เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง...พากันหนีไปอยู่ที่อื่น...? ข้อนี้เป็นไปไม่ได้...ตะวันลงหลักปักฐานทุ่มสุดตัวอยู่บ้านหลังนี้แล้ว เขาไม่มีทางหนีไปไหนได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไป
ตะวันจะต้องกลับมาบ้าน และมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่า จะต้องพาผู้หญิงคนอื่นเข้าบ้านมาด้วย พอความคิดพุ่งวูบหญิงสาวก็สะท้านเยือกขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างอันไม่ชอบมาพากล
ตะวันพยายามชักชวนให้เธอลาออกจากงาน แรกเธอเองก็ไม่ได้คิดอะไรแต่เริ่มรู้สึกว่ามีเจตนาบางอย่างแอบแฝง หลังจากลาออกจากงาน เธอก็แทบไม่พบปะผู้คนเลย ราวกับอยู่ตัวคนเดียว ถ้าเธอหายไปจากโลก ยังจะมีใครรู้
หรือว่าตะวันวางแผน แยกเธอออกมาจากสังคม จากผู้คนเพื่อจะได้กำจัดเธอออกจากชีวิตจากโลกอย่างแนบเนียนที่สุด พนักงานคนหนึ่งของบริษัทหายไป ไม่โผล่หน้ามาทำงานใครก็ต้องรู้ แต่แม่บ้านเก็บเนื้อเก็บตัวคนหนึ่งหายไปใครจะสนใจ โลกมีผู้คนมากมายเกินพอแล้ว
ไม่น่าเป็นไปได้...แต่ยิ่งคิดยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้นทุกที
เป็นไปได้ว่า ตะวันพยายามให้เธอสับสนหวาดกลัว คนอย่างเขาจะไม่ลงมือกำจัดเธอด้วยตนเองแน่นอน เพราะตะวันอย่างไรก็ไม่โหดกลางแจ้งขนาดนั้น เขาจะต้องจ้างวานคนอื่นมากกว่าจะลงมือด้วยตัวเอง ทำไมเธอจะไม่รู้นิสัยบางอย่างของสามีตัวเองดี
หญิงสาวเริ่มจิตตก เธอจะต้องติดต่อกับใครบางคน...พูดคุยปรึกษากับใครสักคน..อย่างน้อยจะได้อุ่นใจ โทรศัพท์อยู่ในกระเป๋าถือวางอยู่โซฟาห้องนั่งเล่นชั้นล่าง สกาวเดือนเผ่นตัวปลิวลงมาแต่แล้วต้องยืนชะงักเมื่อเท้าแตะพื้นชั้นล่าง
ประตูเข้าบ้านเปิดอ้าเอาไว้ เธอแน่ใจว่าก่อนขึ้นมารื้อสิ่งของ ได้จัดการปิดประตูไว้เรียบร้อย ไม่มีทางว่าคนอย่างสกาวเดือนจะเผลอลืมเปิดประตูหน้าบ้านทิ้งเอาไว้แน่นอน เพราะไม่ใช่นิสัยคนหวาดระแวงของเธอ
จะต้องมีใครสักคนเข้ามาในบ้าน และใครคนนั้นกำลังเล่นสงครามจิตกับเธออยู่ราวแมวหยอกหนู ก่อนขย้ำกัดกินเป็นอาหารในท้ายที่สุด
“ตะวัน คุณเหรอ..”
หญิงสาวแข็งใจร้องถามออกไปเสียงดัง ทั้งที่ไม่เชื่อว่าจะมีการตอบรับใด ๆ แต่เป็นการใช้เสียงดัง ข่มความประหวั่นพรั่นพรึงของตัวเองมากกว่า
ไม่มีเสียงตอบรับจริง ๆ มีเพียงสายลมเย็นพัดแผ่วเข้ามาทางประตูหน้าบ้าน สายลมอันเยือกเย็นจนน่าขนลุก แสงไฟหน้ารถวิ่งผ่านไปมา ยังคงสาดวูบวาบเข้ามาให้เห็นเป็นระยะ ไม่มีรถคันไหนเลี้ยวเข้ามาในเขตบ้าน แน่แล้วว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับใครบางคนผู้ซ่อนตัวอยู่ในบ้านด้วยเจตนาร้าย
หญิงสาวถอยหลังกรูดอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าเดินไปปิดประตูบ้าน เพราะถ้ามีคนเปิดออกได้ ใครคนนั้นต้องเข้ามาอยู่ในบ้านเรียบร้อย เธอไม่มีอาวุธอะไรจะไปสู้รบปรบมือกับผู้บุกรุก คิดว่ามีอะไรไม่ดีก็จะรีบเผ่นออกทางประตู แต่ระยะทางไปประตูหน้าบ้านดูยืดยาวจนไม่น่าปลอดภัย เธอนึกถึงห้องครัว...อยู่ใกล้ๆ นี่เอง ในครัวมีมีดทำครัว พอจะใช้เป็นอาวุธได้แต่ถ้าหากว่าผู้บุกรุกรอจังหวะอยู่ในครัวล่ะ
ไม่มีทางเลือก เป็นไงเป็นกัน... เชื่อว่ามันคงไม่ลงมือในเวลานี้ มันอาจอยากเล่นกับความกลัวของเหยื่อ จนพอใจจึงจะลงมือก็เป็นได้
สกาวเดือนล่าถอยมาถึงห้องครัว และโล่งใจได้ข้อหนึ่งว่า ไม่มีใครอยู่ในห้องครัว เธอเลือกมีดทำครัวเล่มยาวคืบกว่าเป็นอาวุธ ถ้าจ้วงแทงแรง ๆ ตรงจุดสำคัญก็คงสามารถล้มผู้บุกรุกได้
พอมีมีดในมือใจก็เริ่มชื้นขึ้นบ้าง อย่างน้อยได้สู้แค่ตาย และจะต้องกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือให้ได้ หรือไม่ก็เดินออกไปทางประตู
ประตูที่ปิดสนิท..!
หัวใจของหญิงสาวตกวูบลงอีกครั้ง เพราะจำได้แม่นยำว่าประตูได้เปิดอ้าทิ้งเอาไว้เมื่อครู่ แล้วมันปิดเองได้อย่างไรกัน
จะต้องมีใครสักคนปิดประตูขังเธอเอาไว้ในบ้าน และอาจกำลังยิ้มเย้ยหยันอย่างสาแก่ใจ
ชั้นล่างยังคงมีแสงไฟส่องสว่าง แต่บรรยากาศแปรเปลี่ยนไปในทางน่าสะพรึงกลัวแบบอธิบายไม่ถูก ความหนักอึ้งไร้สภาพแผ่ซ่านไปทั่ว ใครบางคนหรืออะไรบางอย่างจ้องเล่นงานเธออยู่ภายในบ้านอย่างเลือดเย็น
กลางพื้นห้องหน้าชั้นวางโทรทัศน์จอใหญ่ มีของเหลวเปรอะเป็นทาง เธอเพิ่งสังเกตเห็น ไม่ต้องเสียเวลาตรวจดูก็รู้ว่าเป็นกองเลือดราวกับว่ามีใครบางคนเพิ่งเอามาราดเทเอาไว้ข่มขวัญ
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ...” หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง นี่มันบ้านของเธอจะให้ใครมาหยามย่ำได้อย่างไรกัน
เงาดำคล้ายหมอกควันสองกลุ่มเริ่มปรากฏตัวก่อรูปร่างเคียงคู่กันขึ้นทีละน้อยตรงเชิงบันได กลุ่มควันดำคล้ายมีชีวิตจากอาการขยับไหวไปมาอย่างน่าขนลุก สกาวเดือนอ้าปากค้าง สิ่งที่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่ในไม่ใช่มนุษย์อย่างที่คิดไว้ในตอนแรก รูปลักษณ์วิปริตตรงเชิงบันไดมันเป็นอะไรกันแน่
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม พวกมันพากันเริ่มพากันเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาทุกที พร้อมกับเสียงซ่าเหมือนเสียงวิทยุรับคลื่นไม่ชัดผสมเสียงหึ่งของฝูงผึ้งมหาศาล
หญิงสาวร้องสุดเสียง คราวนี้เป็นการร้องแบบตกใจกลัวจริง ๆ รวบรวมสติวิ่งปราดไปยังประตูหน้าบ้าน พยายามเปิดประตูออกแบบไม่คิดชีวิต แต่ประตูบ้านได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผนังไปเสียแล้ว มันไม่สามารถเปิดออกได้ สกาวเดือนนึกถึงประตูหลังบ้านถัดจากห้องครัว จึงรีบวิ่งเฉียดผ่านเงาดำอันน่ากลัวไปอย่างหวุดหวิดแล้วเธอก็ถึงประตูหลังบ้านจนได้ในสภาพใจเต้นระทึก
ในความน่ากลัวราวฝันร้าย ยังมีโชคดีเข้าข้างอยู่ เพราะประตูหลังบ้านเปิดออกอย่างง่ายดายราวเป็นประตูสู่สวรรค์ หญิงสาวไม่รอช้า หลังจากวิ่งลัดเลาะไปบริเวณข้างบ้านหญิงสาวก็ออกมายืนหอบอยู่ข้างถนนหน้าบ้านของตัวเองอย่างหวาดกลัวสับสนและมึนงงสติแตกกับเรื่องบ้านรก ที่เพิ่งผ่านมาอย่างน่าขนลุก
ตัวบ้านยังเปิดไฟสว่าง รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างคลื่นไหวไปมาอยู่ในบ้าน ทำให้ไม่กล้ากลับเข้าไปในบ้านที่เคยอบอุ่นปลอดภัยกลับกลายเป็นบริเวณสยองอันตรายน่ากลัวไปเสียแล้ว
หญิงสาวพยายามมองหาผู้คนที่อาจพอช่วยเหลือได้ อย่างน้อยควรมีใครสักคนบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่... แล้วก็เจอจริง ๆ
ริมถนนเธอมองเห็นตะวัน สามีคนดีกำลังเดินตรงมาอย่างไม่รีบร้อน เหมือนไม่ได้เดือดร้อนใส่ใจอะไร และสำคัญคือเขาพาผู้หญิงเดินเคียงข้างมาด้วยคนหนึ่ง
ใช่แล้ว..เป็นอย่างที่คิด เขานั่นเองอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด
.
มุมมืดของหัวใจ
นาฬิกาแบบลูกตุ้มโบราณข้างผนัง เข็มชี้บอกเวลาเกือบสองทุ่มตรง แต่หัวใจของสกาวเดือน หญิงสาวผู้รอคอยบางอย่างเหมือนติดปีกบินลาวงหน้าไปถึงเที่ยงคืนแล้ว เพราะความรุ่มร้อนเป็นไฟนรกเผาผลาญ
สามีของเธอไม่เคยกลับบ้านเกินสองทุ่มตรงอันเป็นเวลามาตรฐานสากลประจำบ้าน ระบุให้สามีของเธอต้องรักษามาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อความสงบสุขของครอบครัว แต่ท่าทางไม่ใช่คืนนี้เสียแล้ว
เสียงรถยนต์และแสงไฟวูบวาบผ่านหน้าบ้าน เป็นเสี้ยวเศษฟางกลางมหาสมุทรกับการพยายามยึดเหนี่ยวว่า อาจเป็นรถของตะวัน อาจกำลังเลี้ยวรถเข้ามาในบ้านที่เธอเปิดประตูรอรับไว้แล้ว กับอาการเฝ้ามองอย่างกระสับกระส่ายของเธอ แต่แล้วเสียงรถยนต์และแสงไฟหน้ารถก็ผ่านไปอย่างไม่ไยดีชวนให้ใจหาย
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่มตรงดังกังวาน หญิงสาวเคยชอบเสียงนาฬิกาโบราณว่า ดังสดใสไพเราะในความรู้สึกแบบคลาสสิก แต่ตอนนี้เสียงบอกเวลาราวเป็นเสียงระเบิดถล่มลงทำลายทำร้ายความรู้สึกและหัวใจให้แตกละเอียดเป็นผุยผงไม่มีชิ้นดี สองทุ่มตรงแล้วตะวันหายไปไหน เวลากลางคืนตะวันก็ควรเก็บเนื้อเก็บตัว สุขสบายอยู่ในที่ของตะวันถึงจะถูก กลางคืนไม่ใช่เวลาของดวงตะวัน แต่เป็นช่วงเวลาของดวงจันทร์และดวงดาวมากกว่า
หญิงสาวหันรีหันขวางอย่างคนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะสามีของเธอไม่เคยกลับผิดเวลามาก่อน
จะต้องมีบางอย่างผิดปกติ!
อะไรกันทำให้ผู้ชายแสนดีคนหนึ่งกลับบ้านผิดเวลา ความคิดของสกาวเดือนเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างทีละน้อย...
งานสังสรรค์ก็ไม่ใช่ เพราะตะวันไม่ชอบงานกลางคืน...รถติดก็ไม่น่าใช่ เพราะเขาจะวางแผนการเดินทางอย่างดีเสมอ
แล้วอะไรกันทำให้ผู้ชายเปลี่ยนพฤติกรรม
ผู้หญิง คำแรกที่ทะลุพรวดขึ้นมายืนจังก้ากลางใจ ทำไมคำว่า ‘ผู้หญิง’ ถึงมีประสิทธิภาพร้ายกาจรุนแรงเด่นชัดเหลือเกิน พอโผล่พ้นขึ้นมาในกรอบของความคิด มันก็เริ่มแผ่กว้างขยายอาณาเขตไปรอบด้าน ราวคลื่นกรดกัดกร่อนมหายักษ์ถาโถมบ้าคลัง...ไม่มีอะไรจะน่าสงสัยมากกว่าเรื่องผู้หญิงอีกแล้ว ถ้าเป็นเรื่องอื่นยังพอว่า แต่เรื่องสามีนอกใจหลายรัก ให้ความรู้สึกเจ็บปวดชนิดพิเศษ อันบาดลึกร้าวลงไปในส่วนละเอียดอ่อนที่สุดของจิตใจ แต่ว่าจะต้องมีหลักฐานมายืนยัน ก่อนนำตัวจำเลยรักมาขึ้นศาลครอบครัว ไม่ใช่คิดเอง เออเอง เชื่อเอง ทำเอง แบบคนเป็นโรคประสาท ที่อาจนำพาตัวเองไปสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต ที่มีข่าวการหายตัวอย่างลึกลับของคนไข้หลายคน โดยหาสาเหตุไม่ได้
คนอย่างสกาวเดือน ยังคงอยากมีตัวคน อยากให้มีคนเข้าใจและยอมรับในตัวเธอ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในโรงพยาบาลบ้า
หลักฐาน ต้องหาหลักฐาน คนทำความผิดต่อให้ละเอียดรอบคอบปานใด ก็น่าจะหลงลืมทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้าง จะต้องมีพลาดกันบ้าง ความคิดพอปะทุหญิงสาวก็วิ่งปราดขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสองของบ้านทันที จัดการค้นแหลก ทั้งในลิ้นชักตู้ทุกใบ ใต้โซฟา ใต้เตียง ปลอกหมอน ที่นอน ชั้นวางหนังสือ กระเป๋าใหญ่เล็กทุกใบ หนังสือทุกเล่มถูกพลิกตรวจตราอย่างละเอียด
ไม่มีหลักฐานใด ๆ สามารถสื่อร่องรอยไปยังผู้ต้องสงสัยได้ จนสกาวเดือนเริ่มหมดแรงกับการค้นหาหลักฐานแบบมหาวินาศ ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนล้า ทั้งกายและใจ
ทันใดนั้นเองสายตาของหญิงสาวมองไปยังบริเวณหัวเตียงอย่างไม่ตั้งใจ แล้วต้องเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง
กรอบภาพขนาดแปดคูณสิบนิ้ว วางหราอยู่อย่างเด่นชัด เป็นภาพใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน.!
แล้วมาวางอยู่หัวเตียงได้อย่างไร..?
ตั้งแต่ตอนไหน..?
ใครเป็นคนนำมาวาง....?
คำตอบของโจทย์ไม่น่ายากเลย เธออยู่บ้านกับตะวันเพียงสองคนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เธอ ก็ต้องเป็นตะวัน แต่เขากล้าทำขนาดนี้เชียวหรือ แล้วทำเพื่ออะไร
หญิงสาวรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัวและความรู้สึก ความคิดสับสนวุ่นวายทั้งเสียใจเจ็บใจแค้นใจระคนกัน
“คุณทำแบบนี้ทำไม" เสียงสะอื้นจนตัวสะท้าน สามีผู้แสนดีทำไมถึงทำเรื่องร้ายกาจกับเธอได้ลงคอ ขนาดเธอยอมลงทุนลาออกจากงาน มารับงานแม่บ้านเต็มตัวเพื่อเตรียมใจเตรียมกาย รองรับทายาทสวรรค์ ซึ่งวางแผนการเอาไว้ว่าจะให้ออกมาสู่โลกภายนอกไม่เกินปีสองปีนี้ แต่ท่าทางจะกลับกลายเป็นทายาทอสูรไปเสียแล้ว
“ที่อันตรายที่สุด คือที่ปลอดภัยที่สุด”
ตะวันเคยพูดทีเล่นทีจริงกับเธอ...นั่นคงเป็นเหตุผลให้เขาวางหลักฐานสำคัญแบบจงใจไว้ตรงหัวเตียงนี่เอง แต่ก็น่าแปลกใจอยู่ดี...ปกติมีใครบ้างจะบ้าเข้าขั้น ถึงขนาดวางกรอบรูปผู้หญิงอื่นไว้โจ่งแจ้ง...จะต้องมีอะไรบางอย่างยังนึกไม่ออก
จับกรอบรูปขึ้นมาพิจารณา ตั้งใจจะขว้างสุดแรงลงบนพื้นห้องแต่แล้วก็ชะงัก นี่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งในการนำตัวจำเลยขึ้นศาลครอบครัว จะต้องเก็บไว้ให้ดี
เวลาผ่านไปพร้อมกับประกายไฟร้อนแรงปะทุขึ้นในใจมากขึ้นทุกที ตะวันยังไม่กลับบ้าน ยิ่งผิดปกติมากขึ้นไปอีก ทั้งสองอาจพากันไปแสดงความรักแสนหวานกัน อยู่มุมใดมุมหนึ่งของยามค่ำคืน หรือไม่อาจพากันวางแผนร้ายอะไรบางอย่าง และเรื่องจะต้องเลวร้ายแน่นอน บางทีรูปภาพตรงหัวเตียงจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนร้ายลึกด้วย
เมื่อสามีคิดตีจากภรรยาไปหาคนรักใหม่ เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง...พากันหนีไปอยู่ที่อื่น...? ข้อนี้เป็นไปไม่ได้...ตะวันลงหลักปักฐานทุ่มสุดตัวอยู่บ้านหลังนี้แล้ว เขาไม่มีทางหนีไปไหนได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไป
ตะวันจะต้องกลับมาบ้าน และมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่า จะต้องพาผู้หญิงคนอื่นเข้าบ้านมาด้วย พอความคิดพุ่งวูบหญิงสาวก็สะท้านเยือกขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างอันไม่ชอบมาพากล
ตะวันพยายามชักชวนให้เธอลาออกจากงาน แรกเธอเองก็ไม่ได้คิดอะไรแต่เริ่มรู้สึกว่ามีเจตนาบางอย่างแอบแฝง หลังจากลาออกจากงาน เธอก็แทบไม่พบปะผู้คนเลย ราวกับอยู่ตัวคนเดียว ถ้าเธอหายไปจากโลก ยังจะมีใครรู้
หรือว่าตะวันวางแผน แยกเธอออกมาจากสังคม จากผู้คนเพื่อจะได้กำจัดเธอออกจากชีวิตจากโลกอย่างแนบเนียนที่สุด พนักงานคนหนึ่งของบริษัทหายไป ไม่โผล่หน้ามาทำงานใครก็ต้องรู้ แต่แม่บ้านเก็บเนื้อเก็บตัวคนหนึ่งหายไปใครจะสนใจ โลกมีผู้คนมากมายเกินพอแล้ว
ไม่น่าเป็นไปได้...แต่ยิ่งคิดยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้นทุกที
เป็นไปได้ว่า ตะวันพยายามให้เธอสับสนหวาดกลัว คนอย่างเขาจะไม่ลงมือกำจัดเธอด้วยตนเองแน่นอน เพราะตะวันอย่างไรก็ไม่โหดกลางแจ้งขนาดนั้น เขาจะต้องจ้างวานคนอื่นมากกว่าจะลงมือด้วยตัวเอง ทำไมเธอจะไม่รู้นิสัยบางอย่างของสามีตัวเองดี
หญิงสาวเริ่มจิตตก เธอจะต้องติดต่อกับใครบางคน...พูดคุยปรึกษากับใครสักคน..อย่างน้อยจะได้อุ่นใจ โทรศัพท์อยู่ในกระเป๋าถือวางอยู่โซฟาห้องนั่งเล่นชั้นล่าง สกาวเดือนเผ่นตัวปลิวลงมาแต่แล้วต้องยืนชะงักเมื่อเท้าแตะพื้นชั้นล่าง
ประตูเข้าบ้านเปิดอ้าเอาไว้ เธอแน่ใจว่าก่อนขึ้นมารื้อสิ่งของ ได้จัดการปิดประตูไว้เรียบร้อย ไม่มีทางว่าคนอย่างสกาวเดือนจะเผลอลืมเปิดประตูหน้าบ้านทิ้งเอาไว้แน่นอน เพราะไม่ใช่นิสัยคนหวาดระแวงของเธอ
จะต้องมีใครสักคนเข้ามาในบ้าน และใครคนนั้นกำลังเล่นสงครามจิตกับเธออยู่ราวแมวหยอกหนู ก่อนขย้ำกัดกินเป็นอาหารในท้ายที่สุด
“ตะวัน คุณเหรอ..”
หญิงสาวแข็งใจร้องถามออกไปเสียงดัง ทั้งที่ไม่เชื่อว่าจะมีการตอบรับใด ๆ แต่เป็นการใช้เสียงดัง ข่มความประหวั่นพรั่นพรึงของตัวเองมากกว่า
ไม่มีเสียงตอบรับจริง ๆ มีเพียงสายลมเย็นพัดแผ่วเข้ามาทางประตูหน้าบ้าน สายลมอันเยือกเย็นจนน่าขนลุก แสงไฟหน้ารถวิ่งผ่านไปมา ยังคงสาดวูบวาบเข้ามาให้เห็นเป็นระยะ ไม่มีรถคันไหนเลี้ยวเข้ามาในเขตบ้าน แน่แล้วว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับใครบางคนผู้ซ่อนตัวอยู่ในบ้านด้วยเจตนาร้าย
หญิงสาวถอยหลังกรูดอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าเดินไปปิดประตูบ้าน เพราะถ้ามีคนเปิดออกได้ ใครคนนั้นต้องเข้ามาอยู่ในบ้านเรียบร้อย เธอไม่มีอาวุธอะไรจะไปสู้รบปรบมือกับผู้บุกรุก คิดว่ามีอะไรไม่ดีก็จะรีบเผ่นออกทางประตู แต่ระยะทางไปประตูหน้าบ้านดูยืดยาวจนไม่น่าปลอดภัย เธอนึกถึงห้องครัว...อยู่ใกล้ๆ นี่เอง ในครัวมีมีดทำครัว พอจะใช้เป็นอาวุธได้แต่ถ้าหากว่าผู้บุกรุกรอจังหวะอยู่ในครัวล่ะ
ไม่มีทางเลือก เป็นไงเป็นกัน... เชื่อว่ามันคงไม่ลงมือในเวลานี้ มันอาจอยากเล่นกับความกลัวของเหยื่อ จนพอใจจึงจะลงมือก็เป็นได้
สกาวเดือนล่าถอยมาถึงห้องครัว และโล่งใจได้ข้อหนึ่งว่า ไม่มีใครอยู่ในห้องครัว เธอเลือกมีดทำครัวเล่มยาวคืบกว่าเป็นอาวุธ ถ้าจ้วงแทงแรง ๆ ตรงจุดสำคัญก็คงสามารถล้มผู้บุกรุกได้
พอมีมีดในมือใจก็เริ่มชื้นขึ้นบ้าง อย่างน้อยได้สู้แค่ตาย และจะต้องกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือให้ได้ หรือไม่ก็เดินออกไปทางประตู
ประตูที่ปิดสนิท..!
หัวใจของหญิงสาวตกวูบลงอีกครั้ง เพราะจำได้แม่นยำว่าประตูได้เปิดอ้าทิ้งเอาไว้เมื่อครู่ แล้วมันปิดเองได้อย่างไรกัน
จะต้องมีใครสักคนปิดประตูขังเธอเอาไว้ในบ้าน และอาจกำลังยิ้มเย้ยหยันอย่างสาแก่ใจ
ชั้นล่างยังคงมีแสงไฟส่องสว่าง แต่บรรยากาศแปรเปลี่ยนไปในทางน่าสะพรึงกลัวแบบอธิบายไม่ถูก ความหนักอึ้งไร้สภาพแผ่ซ่านไปทั่ว ใครบางคนหรืออะไรบางอย่างจ้องเล่นงานเธออยู่ภายในบ้านอย่างเลือดเย็น
กลางพื้นห้องหน้าชั้นวางโทรทัศน์จอใหญ่ มีของเหลวเปรอะเป็นทาง เธอเพิ่งสังเกตเห็น ไม่ต้องเสียเวลาตรวจดูก็รู้ว่าเป็นกองเลือดราวกับว่ามีใครบางคนเพิ่งเอามาราดเทเอาไว้ข่มขวัญ
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ...” หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง นี่มันบ้านของเธอจะให้ใครมาหยามย่ำได้อย่างไรกัน
เงาดำคล้ายหมอกควันสองกลุ่มเริ่มปรากฏตัวก่อรูปร่างเคียงคู่กันขึ้นทีละน้อยตรงเชิงบันได กลุ่มควันดำคล้ายมีชีวิตจากอาการขยับไหวไปมาอย่างน่าขนลุก สกาวเดือนอ้าปากค้าง สิ่งที่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่ในไม่ใช่มนุษย์อย่างที่คิดไว้ในตอนแรก รูปลักษณ์วิปริตตรงเชิงบันไดมันเป็นอะไรกันแน่
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม พวกมันพากันเริ่มพากันเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาทุกที พร้อมกับเสียงซ่าเหมือนเสียงวิทยุรับคลื่นไม่ชัดผสมเสียงหึ่งของฝูงผึ้งมหาศาล
หญิงสาวร้องสุดเสียง คราวนี้เป็นการร้องแบบตกใจกลัวจริง ๆ รวบรวมสติวิ่งปราดไปยังประตูหน้าบ้าน พยายามเปิดประตูออกแบบไม่คิดชีวิต แต่ประตูบ้านได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผนังไปเสียแล้ว มันไม่สามารถเปิดออกได้ สกาวเดือนนึกถึงประตูหลังบ้านถัดจากห้องครัว จึงรีบวิ่งเฉียดผ่านเงาดำอันน่ากลัวไปอย่างหวุดหวิดแล้วเธอก็ถึงประตูหลังบ้านจนได้ในสภาพใจเต้นระทึก
ในความน่ากลัวราวฝันร้าย ยังมีโชคดีเข้าข้างอยู่ เพราะประตูหลังบ้านเปิดออกอย่างง่ายดายราวเป็นประตูสู่สวรรค์ หญิงสาวไม่รอช้า หลังจากวิ่งลัดเลาะไปบริเวณข้างบ้านหญิงสาวก็ออกมายืนหอบอยู่ข้างถนนหน้าบ้านของตัวเองอย่างหวาดกลัวสับสนและมึนงงสติแตกกับเรื่องบ้านรก ที่เพิ่งผ่านมาอย่างน่าขนลุก
ตัวบ้านยังเปิดไฟสว่าง รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างคลื่นไหวไปมาอยู่ในบ้าน ทำให้ไม่กล้ากลับเข้าไปในบ้านที่เคยอบอุ่นปลอดภัยกลับกลายเป็นบริเวณสยองอันตรายน่ากลัวไปเสียแล้ว
หญิงสาวพยายามมองหาผู้คนที่อาจพอช่วยเหลือได้ อย่างน้อยควรมีใครสักคนบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่... แล้วก็เจอจริง ๆ
ริมถนนเธอมองเห็นตะวัน สามีคนดีกำลังเดินตรงมาอย่างไม่รีบร้อน เหมือนไม่ได้เดือดร้อนใส่ใจอะไร และสำคัญคือเขาพาผู้หญิงเดินเคียงข้างมาด้วยคนหนึ่ง
ใช่แล้ว..เป็นอย่างที่คิด เขานั่นเองอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด
.