แม่ป่วยมีอาการทางจิต เข้าใจว่ามีคนติดกล้องแอบดูตลอดเวลา เพราะเจ็บปวดจากครอบครัวของพ่อในอดีต ขอคำแนะนำทีค่ะ

สวัสดีค่ะ 
ขออนุญาตใช้ช่องทางนี้ในการปรึกษาหาทางออกของปัญหาครอบครัวค่ะ
(ขอความกรุณาไม่นำกระทู้ไปแชร์ต่อในเพจใดๆนะคะ)
เราอายุ 22 เพิ่งเรียบจบ และเริ่มงานประจำได้ 4 เดือนแล้ว 
ขอพูดถึงปัญหาคร่าวๆก่อนเลยนะคะ คือ  “แม่คิดว่ามีกล้องแอบดูติดอยู่ในบ้าน และได้ยินเสียงคนพูดคุยกันตลอดเวลา เสียงที่แม่ได้ยินคือเป็นเสียงของคนที่แม่คิดว่ามาติดกล้องแอบดูแม่ ทั้งในห้องน้ำ ห้องนอน ทุกๆส่วนของบ้าน”
 
จะขอเล่าที่มาที่ไปของปัญหาให้สั้นที่สุดค่ะ
แม่เคยเป็นคนที่มีเงินมาก่อนค่ะ เป็นเงินเก็บที่ได้มาจากการทำงาน เป็นจำนวนหลายล้านบาท และได้มาแต่งงานกับพ่อ ซึ่งพ่อมาจากครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะดี เรียกง่ายๆว่าเงินในการสร้างชีวิตครอบครัว มาจากแม่ทั้งหมด
แม่ได้ออกเงินสร้างบ้านของครอบครัวเรา ออกเงินจัดงานแต่งงาน เงินในการผ่าคลอดเราและน้องชาย ซื้อรถ ซื้อทุกอย่างเพื่อสร้างครอบครัว อีกทั้งตอนก่อนจะแต่งงานกัน พ่อได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่ว่าไปถึงแล้วพ่อไม่มีเงิน แม่ก็ได้ส่งเงินไปจำนวนหลายแสนเพื่อช่วยเหลือพ่อให้ได้เรียนจนจบ กลับมาจึงได้แต่งงานกัน โดยแม่ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่มีโอกาสได้ทำงานจากคอนเนกชั่นที่ดีจึงทำให้สามารถหาเงินจำนวนหลายล้านบาทมาได้
การแต่งงานนี้แม่อาจจะคิดว่าแม่ได้เก็บเงินมาเพื่อช่วยลงทุนชีวิตครอบครัว ต่อไปในอนาคตแม่ก็อยากฝากชีวิตไว้กับพ่อ ให้พ่อเป็นเสาหลักของครอบครัวเรา โดยแม่จะเป็นแม่บ้านที่คอยคนดูแลความเป็นอยู่ของเรา น้องชาย และพ่อเอง และแม่ก็ทำหน้าที่ดูแลทุกคนในบ้านได้อย่างดีมาตลอด ไม่เคยขาดตกบกพร่องใดๆเลยค่ะ
พูดง่ายๆว่าแม่นำเงินทั้งหมดที่มี เทหน้าตักสร้างครอบครัวและจะฝากฝั่งชีวิตที่เหลือไว้กับพ่อ
 
ต่อมาหลังจากพ่อกับแม่แต่งงานกัน แม่ได้เข้าไปสร้างบ้านอยู่ในรั้วเดียวกับครอบครัวของพ่อ เพราะพ่อให้เหตุผลว่าถ้าแต่งงานก็ไม่อยากย้ายออกจากบ้านเพราะปู่กับย่าแก่แล้ว อยากมีครอบครัวและอยู่ดูแลครอบครัวตัวเองด้วย พ่อและแม่จึงได้ตัดสินใจ”สร้าง”บ้านอยู่ในรั้วเดียวกับครอบครัวของพ่อค่ะ 
 
ซึ่งอยู่ได้ไม่นาน แม่ก็ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของคนในครอบครัวพ่อ ย่าและน้องชายของพ่อ ซึ่งทำได้กับแม่ไว้แย่มากๆ (ถ้าให้เล่าตรงนี้คือไม่สามารถเล่าได้หมดค่ะ แต่ขอสรุปว่าเป็นการกระทำที่ทำให้แม่เราเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน ทั้งการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว คำพูดที่ทำร้ายจิตใจและคนในครอบครัวของพ่อที่ชอบมาประจบขอนเงินจากแม่ กลั้นแกล้งต่างๆ อีก9ล9ค่ะ)
ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ค่ะ ทั้งที่แม่ดีกับทุกคนในครอบครัว มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทุกคน คิดหวังดีกับทุกคน แต่ก็ยังโดนแบบนั้น
 
ซึ่งเราได้เกิดและเติบโตในบ้านหลังที่แม่ได้สร้างไว้ในรั้วเดียวกับครอบครัวของพ่อ จนถึงช่วงอนุบาล แม่ทนไม่ไหวจึงได้ขอย้ายทั้งครอบครัวออกมา (แม่ทนอยู่ไม่ได้ จึงได้โทรไปขอคำปรึกษาจากพี่สะใภ้ คำเตือนจากพี่สะใภ้ของแม่ได้บอกว่า ถ้าอยากรักษาครอบครัว ให้เอาตัวเองกับครอบครัวย้ายออกมา อย่าเสียดายเงินที่ตัวเองออกเงินสร้าง ที่พี่สะใภ้ของแม่พูดแบบนี้เพราะว่าพี่สะใภ้ของแม่เคยโดนพฤติกรรมที่ไม่ดีจากคนในครอบครัวของพ่อมาก่อนค่ะ ) 
 
*แม่เคยบอกว่าตั้งแต่อยู่บ้านหลังนั้นมาแม่ไม่มีความสุข ทั้งๆที่มีพ่ออยู่ด้วย พ่อก็คอยชอบสร้างแต่เรื่องปวดหัวมาให้ ไม่ค่อยใส่ใจดูแลแม่เท่าไหร่ รถที่แม่ซื้อมาพ่อก็จะเอาไว้ขับไปทำงานไปเที่ยวตลอด ตอนกลางวันแม่อยู่บ้านเลี้ยงเรากับน้อง ก็ไม่สามารถไปไหนได้เลย แม้แต่จะออกไปซื้อข้าวกิน เพราะรถที่ตัวเองซื้อมาพ่อก็เอาไปใช้ แถมยังเอารถของแม่ขับไปรับแฟนเก่า ไปมีกิ้ก ไปกินเหล้าสำมะเรเทเมากลับบ้านเมามาดึกๆดื่นๆทุกวัน (ก่อนแต่งงานพ่อบอกกับแม่ว่าพ่อพร้อมจะมีครอบครัวแล้ว พ่อเที่ยวจนเบื่อแล้ว อยากสร้างครอบครัวแล้ว) แต่พอแม่ตัดสินใจมาสร้างครอบครัวจริงๆ พ่อกลับผิดคำพูดและปล่อยให้แม่แบกรับปัญหาอยู่คนเดียว ไหนจะปัญหาจากพฤติกรรมของคนในครอบครัวของพ่อที่แม่ต้องเจอทุกๆวัน
 
จากนั้นครอบครัวเราก็ย้ายออกมาซื้อตึกแถว ที่อยู่ห่างจากบ้านเก่าประมาณ2กม อยู่กันเอง 4คนพ่อแม่ลูก โดยมีการแวะเวียนเข้าไปเพื่อเยี่ยมปู่เยี่ยมย่าในบ้านหลังนั้นบ้างบางโอกาส
ณ ตอนนั้น ที่ย้ายออกมา พ่อพูดว่า ไม่มีใครอยู่ในรั้วบ้านหลังนั้นได้หรอก เพราะใครกี่คนที่มาอยู่ก็มีปัญหากับพฤติกรรมของคนในครอบครัวนั้นและหนีออกไปกันหมด แม่เราจึงเจ็บใจมาถึงทุกวันนี้ ว่าทำไมพ่อรู้แบบนี้ยังให้แม่ไปออกเงินสร้างบ้านในรั้วบ้านนั้น 
 
ซึ่งปัญหาก็คือพฤติกรรมของคนในครอบครัวของพ่อก็ยังไม่จบ เวลาเรากับน้องชายเข้าไปเล่นที่บ้านนั้น ก็จะชอบโดนอา ฝากเรากับน้องมาบอกแม่ ยกตัวอย่างเช่น “ถ้าแม่มีปัญหาอะไรก็บอกให้เข้ามาได้เลยนะ” ตอนนั้นเรากับน้องยังเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไรมาก ก็มาบอกแม่ตามที่เค้าฝากมา แม่เราก็งงว่าไปทำอะไรให้ แม่เราก็ย้ายออกมาอยู่เองเฉยๆ ไม่ได้เข้ามายุ่งย่ามอะไร ทำไมต้องฝากเด็กมาบอก ทำเหมือนอวดเก่ง พอแม่เราขับรถเข้าไปถามว่าคือยังไง อาก็จะหลบหน้าหนี บอกไม่มีอะไร เป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก็คือตั้งแต่ย้ายออกมา ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ลงรอยกัน
 หลักๆปัญหาทั้งหมดนี้ก็จะมาจากอาคนนี้และย่า  ปัญหาเยอะมากจริงๆค่ะ เช่นอาชอบขโมยของไปใช้ ชอบขอเข้ามาอยู่ในบ้านที่แม่เราสร้าง เวลาที่แม่เราไม่อยู่ โดนยืมเงินแล้วไม่คืน โดนคำพูดไม่ดีจากย่า ต่างๆนาๆ เคยโดนด่าว่าเป็นโสเภณีบ้าง ทั้งๆที่แม่ก็ไม่เข้าใจว่าไปทำอะไรให้
 
พอเราขึ้นชั้นอนุบาลเราและน้องชายได้เรียนโรงเรียนนานาชาติแถวบ้าน ซึ่งค่าเทอมค่อนข้างแพง และ ณ เวลานั้น เงินของแม่ที่แม่เก็บมาสร้างครอบครัวของเราก็กำลังจะหมด เรากับน้องชายจึงได้เปลี่ยนจากโรงเรียนนานาชาติ มาเรียนโรงเรียนประถมธรรมดา เพราะพ่อกับแม่รู้สึกว่าสู้ราคาที่ต้องจ่ายไม่ไหว จำได้ว่าช่วงนั้นครอบครัวเราก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ค่ะ เริ่มเป็นหนี้บัตรเครดิต เป็นหนี้รถที่พ่อเอาไปเข้าไฟแนนซ์
(เงินของแม่หมดจากอะไรเราก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่รู้ก็คือหมดไปกับอะไรที่ไร้สาระ เช่น เพื่อนพ่อเคยเอ่ยปากยืมเงินจากพ่อ ซึ่งพ่อก็ต้องมาขอจากแม่ เพราะพ่อไม่มีเงิน พ่อมาตามตื้อว่าให้เพื่อนเขายืมเถอะ เพื่อนคนนี้เชื่อใจ ไว้ใจได้ ซึ่งตอนนั้นแม่ก็ท้องน้องชายเรา กำลังจะคลอด ก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน แต่พ่อก็ไม่ได้นึกถึงครอบครัวตัวเอง สุดท้ายแม่ก็ต้องให้เงินพ่อไปให้เพื่อนยืม โดยพ่อบอกเพื่อนว่าเอามาจากปู่แต่จริงๆคือเงินของแม่ สรุปก็คือเพื่อนพ่อก็ไม่ได้ใช้คืน เงินหลายแสนค่ะ แม่เราก็ผิดที่เชื่อใจพ่อมากเกินไปด้วย ) ส่วนมากจะหมดเงินกับอะไรแบบนั้น อาก็มาขอยืมเงินแม่เรา โดยเอ่ยปากว่า อย่าบอกพ่อนะเรื่องที่อามายืมเงิน สุดท้ายเงินนั้นก็ไม่ได้คืน แม่เราก็ผิดที่ขี้สงสาร เห็นว่าเป็นคนในครอบครัว 
 
พอเงินเริ่มหมด บ้านเราเริ่มเป็นหนี้ ครอบครัวเราก็แย่ลงเรื่อยๆ เงินเดือนของพ่อก็เอาไปจ่ายหนี้ซะหมด จึงไม่ค่อยเหลือใช้ บ้านเราจากที่เคยมีเงิน ก็กลายเป็นครอบครัวที่ไม่มีเงิน ไม่มีเงินเก็บเลย แม้แต่500บาท เคยนอนเรียงกัน4คน ไม่มีเงินกินข้าว ต้องรอญาติโอนมาช่วยค่าข้าวทีละ 500บ้าง 1000บ้าง 
จากนั้นบ้านตึกแถวที่เราอยู่ก็โดนตัดน้ำตัดไฟ เพราะไม่มีเงินจ่าย เรา4คนก็เลยต้องพากันกลับมาอยู่บ้านหลังที่แม่เคยสร้างไว้ในรั้วครอบครัวพ่อชั่วคราว ระหว่างที่หาเงินมาจ่ายค่าไฟ
 
มีอยู่วันนึงที่บ้านพ่อและแม่ขับรถกลับออกดูไปบ้านเก่าที่โดนตัดน้ำตัดไฟอยู่ ว่าเป็นยังไงบ้าง ก่อนหน้านั้น พ่อกับแม่เรารู้สึกแปลกๆ คิดว่าของในบ้านเรามันขยับ มันไม่อยู่ที่เดิม เหมือนมีคนแอบเข้ามาในห้อง วันนั้นพ่อกับแม่ได้เปิดโน๊ตบุ๊คและกดอัดเสียงทิ้งไว้ ปรากฏว่าอาเรา พาคนในซอยเข้ามาเดินในบ้านของเรา เข้ามาดูของ ดูความเป็นอยู่ ในห้องนอนของครอบครัวเรา  พ่อและแม่เราจับได้ว่าคนที่พาคนอื่นเข้ามาคืออาของเรา 
 โดยปกติอาเรา จะเป็นคนดูแลบ้าน ดูแลปู่และย่า และอาเราได้ติดกล้องวงจรปิดไว้ทั่วบ้านอยู่แล้ว โดยเขาให้เหตุผลว่าติดไว้ดูแลปู่กับย่า ดังนั้นในบ้านปู่กับย่าจึงมีกล้องวงจรปิดที่สามารถดูผ่านโทรศัพท์มือถือได้ตลอดเวลา 
 
หลังจากวันที่พ่อกับแม่เราจับได้ว่าอาพาคนเข้ามา ขึ้นมาบนบ้านเรา แม่เราก็เริ่มระแวงว่าอาขึ้นมาติดกล้องแอบดูไว้ในห้องนอนหรือเปล่า เพราะแม่เป็นคนห่วงพื้นที่ส่วนตัวมาก จึงระแวงมากๆจากเหตุการณ์นั้นที่จับได้
ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจเหตุผล ว่าทำไมอาต้องพาคนในซอยขึ้นมาเดินในบ้านของเรา ห้องนอนของเรา ทั้งๆที่ล็อคประตูแล้วก็ยังสะเดาะเข้ามาได้  ไม่รู้ว่าเข้ามาด้วยเหตุผลอะไร
(โดยปกติอาเราจะมีนิสัยที่ชอบเข้ามายุ่งในเรื่องส่วนตัว พื้นที่ส่วนตัวของบ้านเราอยู่แล้ว อาชอบยกหูโทรศัพท์แอบฟังเวลามีใครใช้โทรศัพท์ในบ้าน ชอบตามสืบตามดูทุกเรื่องราวของทุกคนที่มาเกี่ยวดองกับครอบครัวเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วค่ะ)
จากนั้นพอจ่ายค่าไฟที่บ้านตึกแถวเรียบร้อยแล้ว เรา4คนก็กลับออกมาอยู่ที่ตึกแถวปกติ แม่เราก็เริ่มมีอาการระแวงว่า อาตามมาติดกล้องที่บ้านหลังนี้อีกมั้ย จากนั้นแม่ก็เริ่มได้ยินเสียงออกมาจากแอร์ จากฝ้าเพดาน แม่เราก็รื้อหากล้องแอบดูที่ว่านั่นทั่วบ้าน แต่สุดท้ายแล้วมันหาไม่เจอ แต่แม่เรายืนยันว่าได้ยินเสียง อาเราและคนในซอยนั้นพูดจริงๆ พูดแอบดู แอบส่อง แอบดูในห้องน้ำ แอบดูพฤติกรรมของแม่และครอบครัวเรา แม่ได้ยินเสียงว่าตัวแม่โดนคนเหล่านั้นด่าทออยู่และนินทาอยู่
 แม่เราก็เริ่มด่ากลับไป กลายเป็นว่าแม่เราพูดด่าโต้ตอบกับเสียงที่ได้ยินนั้น เป็นการด่าครอบครัวพ่อที่มารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของครอบครัวเรา จากนั้นพ่อเราทนไม่ไหว ที่ได้ยินแม่ด่าครอบครัวตัวเองตลอดเวลา พ่อกับแม่จึงได้เลิกกันในตอนนั้น
พ่อได้ย้ายออกจากบ้านเราและกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเอง โดยพ่อไม่ได้ส่งเสียเงินให้แม่ต่อ ทั้งๆที่เรากับน้องกำลังเรียน และค่าใช้จ่ายภายในบ้าน หนี้ ก็ยังคงมีอยู่ 
จากนั้นแม่เราก็มีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ตะโกนด่ากลับไปจากเสียงที่แม่บอกว่าแม่ได้ยินตลอดเวลา ทุกการกระทำที่แม่ทำ แม่จะได้ยินเสียงนั้นตลอด เวลานอน เวลาอาบน้ำ เวลาทำกับข้าว แม่เราจะเป็นคนที่พูดและด่ากลับตลอดเวลา เพราะแม่บอกว่าแม่ได้ยินเสียงตลอดเวลา เป็นเสียงของอาและคนในซอยนั้นที่เคยแอบขึ้นมาบ้านของเรา 
พ่อกับแม่เลิกกันได้2ปี ก็ไปหย่ากัน แม่เล่าว่าพ่อได้บอกว่าเขาไม่พร้อมเลี้ยงดูเราและน้อง ให้เราและน้องอยู่กับแม่ ซึ่งพ่อเราก็รู้ว่า แม่ไม่มีรายได้ แต่เค้าก็บอกว่าไม่พร้อมเลี้ยงดู เรากับน้องจึงได้อยู่กับแม่กัน3คน ด้วยเงินช่วยเหลือจากญาติพี่น้องที่เห็นใจเรา3คน 
จากนั้นแม่เราก็ได้ขายตึกนั้นทิ้ง เพื่อเอาเงินใช้หนี้ (หนี้ที่กู้มาจากญาติของแม่ เพื่อใช้ร่วมกันทั้งพ่อและแม่) โดยพ่อตัดปัญหานั้นทิ้งและแยกตัวลอยลำออกไปอยู่คนเดียว แม่เราก็ทำอะไรไม่ได้จึงต้องใช้หนี้นั้นลำพังโดยการขายบ้านตึกแถวนั้นทิ้ง อีกทั้งรถที่แม่ซื้อไว้เป็นรถครอบครัวของเรา พ่อเราก็เอาไป แม่ขอคืนไม่ได้เพราะตอนนั้นที่แม่ซื้อ พ่อเอ่ยปากว่าอยากใส่ชื่อรถเป็นชื่อตัวเอง จะได้เป็นคนที่ดูมีเครดิต ตอนนั้นแม่ไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาแบบนี้ อีกทั้งพ่อเป็นคู่ชีวิต เป็นคนในครอบครัว เป็นหัวน้าครอบครัวของเรา จึงยอมให้พ่อใส่ชื่อตัวเองลงไป ทั้งๆที่เป็นเงินของแม่ 
พูดได้ว่าแม่สูญเสียทุกอย่าง ทั้งบ้านที่ตัวแม่ออกเงินสร้างในรั้วบ้านพ่อ ทั้งรถที่เป็นเงินของแม่ และเงินต่างๆที่เสียไป แม่หมดตัวค่ะ
 
แม่เราโปะหนี้จนหมด มีเงินเหลือจากการขายตึกอยู่แค่พอจะซื้อคอนโดห้องเล็กๆอยู่กัน เรา3คนก็ได้ไปเบียดกันอยู่ในคอนโดนั้น
(ที่ต้องซื้อคอนโดเพราะ เรากับน้องยังเรียนอยู่ แม่ไม่มีรถแล้ว ไม่สามารถซื้อบ้านที่ทำเลสะดวกต่อการเดินทางไปโรงเรียนได้ เนื่องจากเงินเหลือจำกัด และไม่มีรถใช้อีกแล้ว เงินที่เหลือจึงทำได้แค่ซื้อคอนโดที่อยู่ใกล้ๆถนนที่เราและน้องสามารถขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนเองได้)
พอเรา3คนย้ายมาอยู่ที่คอนโด คิดว่าปัญหาเรื่องที่แม่ได้ยินเสียงจะจบ แต่ไม่เลยค่ะ แม่ได้ยินเสียงนั้นตลอดเวลา และแม่ยังเข้าใจว่าอาตามมาติดกล้องแอบดูอยู่ที่คอนโดนี้อีก จากวันนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ เราและแม่ก็ยังอยู่ที่คอนโดนี้ และแม่ก็ยังคงได้ยินเสียงคนตามแอบดูอยู่ตลอด เป็นเวลา 8 ปีแล้วค่ะ
ในคอนโดเป็นแค่ห้อง 28 ตารางเมตร ไม่มีห้องแยก เราและน้องจะต้องตื่นเพราะเสียงของแม่ที่กำลังด่าคนในกล้อง และหลับไปกับเสียงด่าของแม่ตลอด จนเคยชินกับมันแล้วค่ะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
1 แม่มีบัตรทองรึเปล่า

2 ถ้ายังลังเลลองโทรไปปรึกษาที่ สายด่วนสุขภาพจิต 1323
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่