ในปี 1853 สหรัฐอเมริกาก็มาเทียบท่า ที่ไหน? ญี่ปุ่นไง ทำไมล่ะ? ก็เปิดประเทศไง ผู้นำการเปิดประเทศนั้นก็คือกัปตันแมทธิวซี. เพอร์รี ที่เสนอให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศหรือไม่ก็เจอกับสงคราม เมื่อ 200 ปีก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นนั้นยังปิดประเทศอยู่และไม่มีการติดต่อจากโลกภายนอก เพราะตามที่ญี่ปุ่นนั้นเข้าใจ พวกต่างชาตินั้นค่อนข้างจะน่ารำคาญ
คำสั่งปิดประเทศนั้นมาจาก บากูฟุ หรือที่รู้จักกันในนามโชกุน บากูฟุ นั้นเป็นรัฐบาลกลางของญี่ปุ่นนำโดยโชกุนที่อาศัยอยู่ในเอโดะ ในทางเทคนิคแล้วเขาจะถูกเลือกโดยจักรพรรดิที่เกียวโตแต่ก็อย่างที่รู้กันว่าจักรพรรดิก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ญี่ปุ่นในขณะนั้นการรวมอำนาจเป็นกลางนั้นน้อยมาก โดยจะมีไดเมียวในแคว้นต่างๆที่สามารถกำหนดเก็บภาษีเองได้ และก็เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีอย่างมาก การขาดแคลนอาหารและรายได้ของกลุ่มพ่อค้าที่มากขึ้นทั้งๆที่อยู่ล่างสุดของระบบศักดินา
กัปตันแมทธิวซี. เพอร์รีได้รับการต้อนรับสู่โยโกฮาม่า
ทั้งหมดนี้รวมกับการมาถึงของสหรัฐอเมริกาโดยให้เวลา 1 ปีในการตอบตกลงแต่เขาก็ไม่ได้หล่อถึง 1 ปีแต่ใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือนแล้วก็กลับมาพร้อมกับเรือที่มากขึ้นทำให้ญี่ปุ่นต้องทำสนธิสัญญาการค้ากับสหรัฐอเมริกาหลังจากนั้นไม่นานก็ตามด้วยสหราชอาณาจักร ในปี 1858 ญี่ปุ่นได้มีสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศทางตะวันตกเช่นสหรัฐ สหราชอาณาจักร จักรวรรดิรัสเซีย เนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศส สนธิสัญญาเหล่านี้ทำให้โชกุนดูอ่อนแอ แย่ไปกว่านั้นโชกุนก็ยังตายโดยไม่มีทายาทไม่ต้องมีการหาทายาททำให้ ฮอทต้า มาซาโยชิ หาคำปรึกษากับจักรพรรดิโคเมเรื่องของสัญญาทางการค้าและทายาทของโชกุน
ผลตอบรับคืนจักรพรรดิโคเมปฏิเสธและฮอทต้าก็ลาออกด้วยความอับอาย ไดเมียวในแคว้น Chōshū ได้ออกมาต่อต้านโชกุนและในปี 1866 ญี่ปุ่นก็อยู่ในสภาวะวิกฤต โชกุนคนใหม่นาม โทกูงาวะ โยชิโนบุ ต้องการที่จะปราบแคว้น Chōshū แนะนำประเทศกลับสู่สภาวะปกติแต่ก็ต้องแพ้ไปเพราะไดเมียวในแคว้น Satsuma ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ ชัยชนะนี้ทำให้แคว้น Chōshū และ Satsuma นำทางไปที่เกียวโตและยึดเมืองไว้ได้ในปี 1867 และระหว่างนั้นจักรพรรดิใหม่ในนาม เมจิ ได้สถาปนาการฟื้นฟูพระราชอำนาจสมัยเมจิ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดสงครามโบชินซึ่งสายโชกุนก็แพ้ไปอย่างรวดเร็วด้วยการผนวกรวมความทันสมัยของกองทัพในเชิงอาวุธและยุทธวิธีรวมถึงความช่วยเหลือจากฝ่ายตะวันตก
หลังจากชนะสงครามจักรพรรดิเมจิย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตไปเอโดะเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียวซึ่งจะเป็นสถานที่ที่เขาบริหารประเทศญี่ปุ่นในช่วง 20 ถึง 30 ปีนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มมีนโยบายสร้างชาติโดยละทิ้งระบบศักดินาที่ล้าหลังและในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ก็ได้ถือกำเนิดพรรคการเมืองแลกในญี่ปุ่นโดยมีแนวคิดเกี่ยวกับการยึดเกาหลี กองทัพญี่ปุ่นก็อยู่ในช่วงปฏิรูปเช่นกัน โดยญี่ปุ่นจะสู้ป้ายธงเดียวกันในนามประเทศญี่ปุ่นโดยในเริ่มต้นเป็นกองทัพนี้มีแต่ซามูไรเท่านั้นแต่ก็ถูกปฏิรูปโดยจอมพลยามางาตะ อาริโตโมะ ซึ่งเสนอการเกณฑ์ทหารสำหรับชายญี่ปุ่นทุกคนที่อายุถึง 20 ปีและในเชิงเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่นก็มีโรงงานผุดขึ้นจำนวนมากที่จ่ายโดยรัฐบาลและมีทางรถไฟสายแรกในปี 1872 แต่ก็ยังต้องจ่ายเงินให้กับซามูไรจะได้เงินจากไดเมียวซึ่งเป็นอะไรที่เปลืองงบประมาณมากๆ โดยคร่าวๆงบประมาณครึ่งนึงต้องจ่ายให้กับซามูไร ทำให้ในปี 1871 รัฐบาลจึงเริ่มต้นที่จะไม่จ่ายเงินให้กับซามูไรทำให้ซามูไรไม่พอใจอย่างมากพวกเขาไม่ได้อยู่บนสุดของระบบศักดินา ไม่ได้รับเงินฟรีๆ ไม่แม้กระทั่งคนที่มียศศักดิ์เพราะให้ก็สามารถเป็นทหารรับราชการได้
เหตุการณ์นี้นำไปสู่กบฏซัตสึมะในปี 1877 ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นก็สามารถปราบลงได้อย่างง่ายดายแต่สิ่งที่เปลี่ยนโฉมญี่ปุ่นไปจริงๆ รัฐธรรมนูญปี 1889 ซึ่งทำให้รัฐบาลที่เหมือนชาติตะวันตกที่มีนายกรัฐมนตรีทำงานให้องค์จักรพรรดิและมีการเลือกตั้งซึ่งผู้หญิงไม่สามารถโหวตได้ และก็มีการเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรมเช่นกันเริ่มมีแนวคิดตั้งคำถามว่าการเป็นคนญี่ปุ่นนั้นต้องทำอะไรบ้าง รัฐบาลได้ตอบคำถามนี้โดยใส่เป็นระบบการศึกษาแบบใหม่และการเกณฑ์ทหารนั่นคือการเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ทันสมัยชาติหนึ่งในโลก สิ่งที่ชาติพัฒนาแล้วทำในตอนนั้นทำอะไร? คงจะรู้กันดี พวกเขามีจักรวรรดิ
นี่ทำให้เกิดช่วงเวลาขยายอาณานิคมในปี 1875 ญี่ปุ่นได้ยึดหมู่เกาะรีวกีวเกาะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือเกาะโอกินาว่าหลังจากนั้นญี่ปุ่นเอ็งความสนใจมาที่เกาหลีซึ่งเป็นหุ่นเชิดของประเทศจีนซึ่งรู้กันดีว่าเกาหลียังไงก็ต้องถูกยึดในวันหนึ่งเพราะฉะนั้นอยู่ในมือญี่ปุ่นจะดีกว่า ซึ่งเริ่มต้นจากการทําสนธิสัญญาการค้าที่ไม่เป็นธรรมส่งผลให้เกิดกบฏทงฮักทำให้จีนและญี่ปุ่นส่งทหารเข้าไปและเกิดการปะทะขึ้นทำให้เกิดสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง โดยญี่ปุ่นชนะไปอย่างง่ายดายเนื่องจากกองทัพที่ทันสมัยและกองเรือที่ใหญ่กว่าทำให้เกาหลีและไต้หวันไปอยู่ในมือญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นนั้นต้องการให้ชาติตะวันตกยอมรับว่าเท่าเทียมกันแต่มันก็ไม่เกิดขึ้นทั้งๆที่ญี่ปุ่นส่งทหารมาช่วยปราบกบฏนักมวยมากที่สุดมีเพียงชาติเดียวที่เห็นใจญี่ปุ่นคือสหราชอาณาจักรซึ่งได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันเขาทำให้สหราชอาณาจักรเป็นชาติแรกพี่ยอมรับการยึดเกาหลี และในปี 1905 ญี่ปุ่นก็ได้โจมตีรัสเซียแบบไม่ทันตั้งตัวที่พอร์ตอาเธอร์ทำให้เกิดสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นในปี 1905 ซึ่งรัสเซียก็แพ้ไปอย่างราบคาบ ทำให้รัสเซียต้องออกจากแมนจูเรียและญี่ปุ่นได้พื้นที่ทางเหนือจากเกาะฮอกไกโด
ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่นัมโพ, เกาหลี
แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากในช่วง 10 ปีจากนั้นยกเว้นถ้าคุณเป็นจักรพรรดิเมจิเอาเวลาที่คุณสวรรคตหรือถ้าคุณเป็นคนเกาหลีเพราะช่วงนั้นคุณกำลังโดนยึดในปี 1914 สหราชอาณาจักรเรียกญี่ปุ่นให้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นก็ใช้โอกาสหนีในการยึดหมู่เกาะทางทะเลแปซิฟิกได้อิทธิพลในจูเนียร์ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐนั้นแย่ลง หลักการช่วยเหลือในสงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นได้ถูกเชิญมาในการลงสนธิสัญญาแวร์ซายและการสถาปนาสันนิบาตชาติ ญี่ปุ่นขอให้สันนิบาตชาติมองทุกเชื้อชาติเท่ากัน ก็ถูกปฏิเสธโดยสหรัฐและสหราชอาณาจักรเพราะการที่สหราชอาณาจักรจะต้องมองคนอินเดียและแอฟริกาเท่ากันกับคนในหมู่เกาะซึ่งนั่นจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้แน่ๆ
ในปี 1920 สหราชอาณาจักรถอนตัวจากพันธมิตรกับญี่ปุ่นและในปี 1923 ก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งได้ฆ่าคนดีกว่า 150,000 คน รวมถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำและทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเมืองมากขึ้น ในปี 1926 จักรพรรดิโชวะหรือที่รู้จักกันในโลกตะวันตกว่าจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ได้ทำให้ลัทธิบูชาจักรพรรดิ์มีความรุนแรงมากขึ้น วันที่ 18 กันยายน 1931 เกิดเหตุการณ์ระวังระเบิดรางรถไฟที่แมนจูเรียทำให้ญี่ปุ่นได้ใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการบุกยึดแมนจูเรียและในปี 1936 ก็เกิดการรัฐประหารขึ้นแต่ก็ถูกปราบโดยจักรพรรดิซึ่งทำให้รู้ว่ากองทัพนั้นมีบทบาททางการเมืองมากที่สุดแล้ว ในปี 1937 เกิดการปะทะที่สะพานมาโคโปโลทำให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ฟูมิมาโระ โคโนเอะ ได้เสนอแผนการโจมตีและไม่กี่เดือนถัดไปญี่ปุ่นก็สามารถบุกยึดนานกิงและเกิดการสังหารหมู่นานกิงขึ้น
ในปี 1941 สหรัฐได้ยกเลิกการส่งออกน้ำมันให้ญี่ปุ่นทำให้ญี่ปุ่นได้ทำการโจมตีสหรัฐที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ซึ่งก็ได้ผลดีมากโดยสหรัฐได้เสียทหารไป 4,500 นายเมื่อเทียบกับฝ่ายญี่ปุ่นแค่ 65 นายและในเวลาเดียวกันญี่ปุ่นก็โจมตีอาณานิคมของอังกฤษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในปี 1942 ญี่ปุ่นก็ได้ยินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดโดยประเทศที่ถูกยึดญี่ปุ่นก็สรรหาผู้คนในประเทศมาปกครองซึ่งก็สนับสนุนขบวนการประกาศเอกราชหลังจบสงคราม
ภาพเรือ USS Arizona ที่กำลังจมในการโจมตีที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์
ก็ไม่ค่อยเข้าข้างญี่ปุ่นหลังจากอเมริกาได้นำแผนกระโดดข้ามเกาะรวมไปถึงการแพ้ยุทธนาวีที่ราบคาบที่มิดเวย์ทำให้สมดุลอำนาจเปลี่ยนไปวันที่ 6 สิงหาคม 1945 สหรัฐทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในเมืองฮิโรชิม่าอีก 3 วันต่อมาที่เมืองนางาซากิสังหารประชาชนโดยเฉลี่ย 150,000 คน และในวันที่ 2 กันยายน 1945 ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้อย่างเป็นทางการและถูกยึดโดยสหรัฐสหรัฐในร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยมีชื่อว่า รัฐธรรมนูญปี 1947 ก็ยังใช้มาจนถึงทุกวันนี้โดยสรุปคร่าวๆเป็นการป้องกันไม่ให้ญี่ปุ่นประกาศสงครามได้อีก
โดยสรุปแล้วการฟื้นฟูสมัยเมจิทำให้เกิดการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของญี่ปุ่นขึ้นและญี่ปุ่นก็ถูกยามด้วยชาติตะวันตกมากหน้าหลายตาไม่สนความสำเร็จของญี่ปุ่นและเลือกที่จะมองว่าตนนั้นดีกว่า การที่ทหารมีอำนาจในการเมืองมากเกินไปทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมหัวรุนแรงซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบจักรวรรดิญี่ปุ่นและประเทศที่ญี่ปุ่นได้ยึดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้เกิดขบวนการประกาศเอกราชขึ้นในประเทศนั้นๆด้วย
การฟื้นฟูสมัยเมจิและจักรวรรดิญี่ปุ่น
คำสั่งปิดประเทศนั้นมาจาก บากูฟุ หรือที่รู้จักกันในนามโชกุน บากูฟุ นั้นเป็นรัฐบาลกลางของญี่ปุ่นนำโดยโชกุนที่อาศัยอยู่ในเอโดะ ในทางเทคนิคแล้วเขาจะถูกเลือกโดยจักรพรรดิที่เกียวโตแต่ก็อย่างที่รู้กันว่าจักรพรรดิก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ญี่ปุ่นในขณะนั้นการรวมอำนาจเป็นกลางนั้นน้อยมาก โดยจะมีไดเมียวในแคว้นต่างๆที่สามารถกำหนดเก็บภาษีเองได้ และก็เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีอย่างมาก การขาดแคลนอาหารและรายได้ของกลุ่มพ่อค้าที่มากขึ้นทั้งๆที่อยู่ล่างสุดของระบบศักดินา
ผลตอบรับคืนจักรพรรดิโคเมปฏิเสธและฮอทต้าก็ลาออกด้วยความอับอาย ไดเมียวในแคว้น Chōshū ได้ออกมาต่อต้านโชกุนและในปี 1866 ญี่ปุ่นก็อยู่ในสภาวะวิกฤต โชกุนคนใหม่นาม โทกูงาวะ โยชิโนบุ ต้องการที่จะปราบแคว้น Chōshū แนะนำประเทศกลับสู่สภาวะปกติแต่ก็ต้องแพ้ไปเพราะไดเมียวในแคว้น Satsuma ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ ชัยชนะนี้ทำให้แคว้น Chōshū และ Satsuma นำทางไปที่เกียวโตและยึดเมืองไว้ได้ในปี 1867 และระหว่างนั้นจักรพรรดิใหม่ในนาม เมจิ ได้สถาปนาการฟื้นฟูพระราชอำนาจสมัยเมจิ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดสงครามโบชินซึ่งสายโชกุนก็แพ้ไปอย่างรวดเร็วด้วยการผนวกรวมความทันสมัยของกองทัพในเชิงอาวุธและยุทธวิธีรวมถึงความช่วยเหลือจากฝ่ายตะวันตก
หลังจากชนะสงครามจักรพรรดิเมจิย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตไปเอโดะเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียวซึ่งจะเป็นสถานที่ที่เขาบริหารประเทศญี่ปุ่นในช่วง 20 ถึง 30 ปีนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มมีนโยบายสร้างชาติโดยละทิ้งระบบศักดินาที่ล้าหลังและในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ก็ได้ถือกำเนิดพรรคการเมืองแลกในญี่ปุ่นโดยมีแนวคิดเกี่ยวกับการยึดเกาหลี กองทัพญี่ปุ่นก็อยู่ในช่วงปฏิรูปเช่นกัน โดยญี่ปุ่นจะสู้ป้ายธงเดียวกันในนามประเทศญี่ปุ่นโดยในเริ่มต้นเป็นกองทัพนี้มีแต่ซามูไรเท่านั้นแต่ก็ถูกปฏิรูปโดยจอมพลยามางาตะ อาริโตโมะ ซึ่งเสนอการเกณฑ์ทหารสำหรับชายญี่ปุ่นทุกคนที่อายุถึง 20 ปีและในเชิงเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่นก็มีโรงงานผุดขึ้นจำนวนมากที่จ่ายโดยรัฐบาลและมีทางรถไฟสายแรกในปี 1872 แต่ก็ยังต้องจ่ายเงินให้กับซามูไรจะได้เงินจากไดเมียวซึ่งเป็นอะไรที่เปลืองงบประมาณมากๆ โดยคร่าวๆงบประมาณครึ่งนึงต้องจ่ายให้กับซามูไร ทำให้ในปี 1871 รัฐบาลจึงเริ่มต้นที่จะไม่จ่ายเงินให้กับซามูไรทำให้ซามูไรไม่พอใจอย่างมากพวกเขาไม่ได้อยู่บนสุดของระบบศักดินา ไม่ได้รับเงินฟรีๆ ไม่แม้กระทั่งคนที่มียศศักดิ์เพราะให้ก็สามารถเป็นทหารรับราชการได้
เหตุการณ์นี้นำไปสู่กบฏซัตสึมะในปี 1877 ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นก็สามารถปราบลงได้อย่างง่ายดายแต่สิ่งที่เปลี่ยนโฉมญี่ปุ่นไปจริงๆ รัฐธรรมนูญปี 1889 ซึ่งทำให้รัฐบาลที่เหมือนชาติตะวันตกที่มีนายกรัฐมนตรีทำงานให้องค์จักรพรรดิและมีการเลือกตั้งซึ่งผู้หญิงไม่สามารถโหวตได้ และก็มีการเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรมเช่นกันเริ่มมีแนวคิดตั้งคำถามว่าการเป็นคนญี่ปุ่นนั้นต้องทำอะไรบ้าง รัฐบาลได้ตอบคำถามนี้โดยใส่เป็นระบบการศึกษาแบบใหม่และการเกณฑ์ทหารนั่นคือการเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ทันสมัยชาติหนึ่งในโลก สิ่งที่ชาติพัฒนาแล้วทำในตอนนั้นทำอะไร? คงจะรู้กันดี พวกเขามีจักรวรรดิ
นี่ทำให้เกิดช่วงเวลาขยายอาณานิคมในปี 1875 ญี่ปุ่นได้ยึดหมู่เกาะรีวกีวเกาะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือเกาะโอกินาว่าหลังจากนั้นญี่ปุ่นเอ็งความสนใจมาที่เกาหลีซึ่งเป็นหุ่นเชิดของประเทศจีนซึ่งรู้กันดีว่าเกาหลียังไงก็ต้องถูกยึดในวันหนึ่งเพราะฉะนั้นอยู่ในมือญี่ปุ่นจะดีกว่า ซึ่งเริ่มต้นจากการทําสนธิสัญญาการค้าที่ไม่เป็นธรรมส่งผลให้เกิดกบฏทงฮักทำให้จีนและญี่ปุ่นส่งทหารเข้าไปและเกิดการปะทะขึ้นทำให้เกิดสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง โดยญี่ปุ่นชนะไปอย่างง่ายดายเนื่องจากกองทัพที่ทันสมัยและกองเรือที่ใหญ่กว่าทำให้เกาหลีและไต้หวันไปอยู่ในมือญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นนั้นต้องการให้ชาติตะวันตกยอมรับว่าเท่าเทียมกันแต่มันก็ไม่เกิดขึ้นทั้งๆที่ญี่ปุ่นส่งทหารมาช่วยปราบกบฏนักมวยมากที่สุดมีเพียงชาติเดียวที่เห็นใจญี่ปุ่นคือสหราชอาณาจักรซึ่งได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันเขาทำให้สหราชอาณาจักรเป็นชาติแรกพี่ยอมรับการยึดเกาหลี และในปี 1905 ญี่ปุ่นก็ได้โจมตีรัสเซียแบบไม่ทันตั้งตัวที่พอร์ตอาเธอร์ทำให้เกิดสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นในปี 1905 ซึ่งรัสเซียก็แพ้ไปอย่างราบคาบ ทำให้รัสเซียต้องออกจากแมนจูเรียและญี่ปุ่นได้พื้นที่ทางเหนือจากเกาะฮอกไกโด
ในปี 1920 สหราชอาณาจักรถอนตัวจากพันธมิตรกับญี่ปุ่นและในปี 1923 ก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งได้ฆ่าคนดีกว่า 150,000 คน รวมถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำและทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเมืองมากขึ้น ในปี 1926 จักรพรรดิโชวะหรือที่รู้จักกันในโลกตะวันตกว่าจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ได้ทำให้ลัทธิบูชาจักรพรรดิ์มีความรุนแรงมากขึ้น วันที่ 18 กันยายน 1931 เกิดเหตุการณ์ระวังระเบิดรางรถไฟที่แมนจูเรียทำให้ญี่ปุ่นได้ใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการบุกยึดแมนจูเรียและในปี 1936 ก็เกิดการรัฐประหารขึ้นแต่ก็ถูกปราบโดยจักรพรรดิซึ่งทำให้รู้ว่ากองทัพนั้นมีบทบาททางการเมืองมากที่สุดแล้ว ในปี 1937 เกิดการปะทะที่สะพานมาโคโปโลทำให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ฟูมิมาโระ โคโนเอะ ได้เสนอแผนการโจมตีและไม่กี่เดือนถัดไปญี่ปุ่นก็สามารถบุกยึดนานกิงและเกิดการสังหารหมู่นานกิงขึ้น
ในปี 1941 สหรัฐได้ยกเลิกการส่งออกน้ำมันให้ญี่ปุ่นทำให้ญี่ปุ่นได้ทำการโจมตีสหรัฐที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ซึ่งก็ได้ผลดีมากโดยสหรัฐได้เสียทหารไป 4,500 นายเมื่อเทียบกับฝ่ายญี่ปุ่นแค่ 65 นายและในเวลาเดียวกันญี่ปุ่นก็โจมตีอาณานิคมของอังกฤษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในปี 1942 ญี่ปุ่นก็ได้ยินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดโดยประเทศที่ถูกยึดญี่ปุ่นก็สรรหาผู้คนในประเทศมาปกครองซึ่งก็สนับสนุนขบวนการประกาศเอกราชหลังจบสงคราม
โดยสรุปแล้วการฟื้นฟูสมัยเมจิทำให้เกิดการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของญี่ปุ่นขึ้นและญี่ปุ่นก็ถูกยามด้วยชาติตะวันตกมากหน้าหลายตาไม่สนความสำเร็จของญี่ปุ่นและเลือกที่จะมองว่าตนนั้นดีกว่า การที่ทหารมีอำนาจในการเมืองมากเกินไปทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมหัวรุนแรงซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบจักรวรรดิญี่ปุ่นและประเทศที่ญี่ปุ่นได้ยึดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้เกิดขบวนการประกาศเอกราชขึ้นในประเทศนั้นๆด้วย